“ข้าน้อยคิดว่า…อาจจะคุยกันเรื่องงานบ้านงานเรือนพ่ะย่ะค่ะ ถึงอย่างไรการดูแลจวนก็หาใช่เรื่องง่าย”
หลงเทียนอวี้ไม่เคยดูแลงานภายในจวนมาก่อน แต่พ่อบ้านเติ้งย่อมรู้ดี จวนอวี้ที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้มีคนเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้นเรื่องที่ต้องให้จัดการจึงมากตาม
ทว่าพระชายาล้วนเป็นผู้จัดการดูแลงานทั้งหมด ดังนั้นคนที่เป็นผู้ดูแลจวนเช่นเขาจึงเบาตัวลงมาก
“พระชายา…เก่งมากจริงๆ”
ก้มหน้าลง หยักยิ้มเล็กน้อย พู่กันที่ถืออยูในมือจรดลงบนกระดาษ
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เสียงหัวเราะของนางทำให้หัวใจของเขาเกิดความรู้สึกบางอย่างที่แม้แต่ตัวเขาเองก็อธิบายไม่ถูก
“ท่านอ๋อง อันที่จริงหากดูจากอายุของพระองค์แล้ว ข้าน้อยคิดว่าถึงเวลาอันสมควรที่พระองค์จะมีทายาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พ่อบ้านเติ้งเป็นคนซื่อสัตย์เสมอมา ดังนั้นเขาจึงอยากเห็นทายาทของท่านอ๋องมากกว่าผู้ใด
หลงเทียนอวี้เงียบขรึมลง ทายาท…สำหรับคนในราชวงศ์เป็นเรื่องสำคัญ
เสด็จพ่อมีองค์ชายทั้งหมดสิบเอ็ดคน แต่ตายก่อนวัยอันควรไปค่อนข้างมาก ตอนนี้จึงเหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ดังนั้นเสด็จพ่อจึงเข้มงวดกับองค์ชายที่เติบโตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่มากเป็นพิเศษ องค์ชายทุกพระองค์จะต้องเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งราวกับมังกร
ทว่าตอนนี้ไท่จื่อกลับมีความทะเยอทะยานเกินขีดจำกัด ฮองเฮาเองก็ใช้อำนาจปกครองโดยมิฟังความเห็นผู้อื่น องค์ชายอย่างพวกเขาจึงพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการควบคุมของฮองเฮา
ส่วนองค์ชายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะหรือองค์ชายที่อยู่ในครอบครัวซึ่งกำลังล่มจม ฮองเฮาจะมอบความเมตตาให้กับคนเหล่านั้น
ถ้าหากเขาให้กำเนิดทายาทตอนนี้ เกรงว่าจะกลายเป็นหนามยอกอกของฮองเฮา
เขาไม่อยากให้ครอบครัวหรือลูกของตนเองต้องพบเจอกับอันตราย
“ร่างกายของพระชายายังไม่แข็งแรง หากให้กำเนิดบุตรจะไม่ดีต่อร่างกายของนาง อีกทั้งตอนนี้ยังหาใช่โอกาสเหมาะสม เรื่องนี้รอไปก่อนเถิด”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกน้องพยายามคะยั้นคะยอให้เขาวางแผนกำเนิดทายาท
คราวก่อนมีคนโน้มน้าวให้เขามีชายารองหรือสนม ทว่าหลงเทียนอวี้มักจะเงียบไป หรือไม่ก็อ้างเหตุผลอื่นเพื่อยุติความคิดของคนเหล่านั้น
ตอนนี้ผู้หญิงในจวนมีมากเกินพอแล้ว แค่เรื่องของเจียงหรูฉินกับป๋ายซ่าวก็ทำให้จวนหลังของเขาไฟแทบไหม้
ท่านอาจารย์พูดถูก ผู้หญิงเปรียบเสมือนสัตว์ร้ายที่อยู่ใต้น้ำ อย่าพยายามเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยจะดีกว่า
“อย่าพูดเรื่องนี้อีก ข้าตัดสินใจเองได้”
พ่อบ้านเติ้งมองหลงเทียนอวี้ ก่อนจะแอบถอนหายใจในใจ แต่ไหนแต่ไรมา ท่านอ๋องมักจะเก็บปัญหาทุกอย่างไว้ที่ตนเองเสมอ
ทางฝั่งของหลินเมิ้งหยา นางจัดการแบ่งงานเสร็จสรรพแล้ว
หากเป็นไปตามแผนการของนาง งานเลี้ยงวันไหว้พระขอพรจะต้องมีสีสันมากอย่างแน่นอน แต่ถ้าหากอยากให้ฮองเฮาและไท่จื่ออ้าปากค้าง นางจะต้องทำอะไรที่พิเศษกว่านี้อีกสักหน่อย
“เอาล่ะ ข้าขอรบกวนพวกเจ้าด้วย หากทำงานนี้สำเร็จ ท่านอ๋องจะตบรางวัลให้อย่างงาม”
สายตาของหลินเมิ้งหยาเปลี่ยนรูปเป็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว นางอุตส่าห์ช่วยงานหลงเทียนอวี้ครั้งใหญ่ อย่างน้อยก็ต้องมีรางวัลตอบแทนมิใช่หรือ?
หลงเทียนอวี้ที่กำลังเตรียมจรดพู่กันเพื่อลงชื่ออนุมัติถึงกับชะงัก มือสั่นเล็กน้อย
สุดท้ายรอยยิ้มขมขื่นปรากฏขึ้นที่มุมปาก
ผู้หญิงคนนี้คิดจะเข้ามาฉกชิงเงินส่วนตัวของเขาอีกแล้ว
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา หลงเทียนอวี้และหลินเมิ้งหยาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันท่ามกลางความอึดอัด
ตอนกลางวัน หลงเทียนอวี้ออกไปทำงานด้านนอก ส่วนนางฝึกฝนการร้องเพลงและเต้นระบำ
ตอนเย็น เขานั่งอ่านเอกสารราชการอยู่ด้านนอก ส่วนนางใช้ชีวิตปกติสุขอยู่กับเหล่าสาวใช้ภายใน
แต่ทุกครั้งที่เงยหน้า เขามักจะพบน้ำแกงไก่ ขนมและน้ำชาวางเอาไว้เสมอ สิ่งเหล่านี้แสดงถึงความใส่ใจของนาง เพียงแค่ทั้งคู่มิได้ออกมาพบกันเท่านั้น
ทั้งที่อาศัยอยู่ในเรือนเดียวกัน แต่กลับเหินห่างกันอย่างชัดเจน
สามวันผ่านไป งานที่หลินเมิ้งหยาตระเตรียมเริ่มดำเนินการเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
ใต้เท้าฉินเดินทางมาที่จวนอวี้ทุกวันเพื่อสอนลำดับพิธีการวันละสองชั่วโมง
ช่วงเวลาเหล่านั้นหลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้จึงมิอาจทำตัวห่างเหินกันได้ เหตุเพราะในสายตาของคนภายนอก พวกเขาเป็นคู่สามีภรรยาที่รักกันหวานชื่น
ยกแขนทั้งสองข้างขึ้น ฝ่ามือสัมผัสกัน หลินเมิ้งหยาสวมชุดทางการตัวใหญ่ ท่ามกลางการสั่งสอนชี้แนะของใต้เท้าฉิน นางสามารถดำเนินการตามลำดับพิธีด้วยท่วงท่าสง่างาม
“ดีมาก การเคลื่อนไหวลื่นไหลดุจสายน้ำ ไร้ซึ่งข้อผิดพลาดใดๆ เท่าที่กระหม่อมได้เห็น ท่วงท่าของพระองค์สง่างามเสมือนฮองเฮาพระองค์ก่อนไม่มีผิด”
จะว่าแปลกก็ใช่ การเคลื่อนไหวของหลินเมิ้งหยาลื่นไหลไร้ที่ติ ท่วงท่าอ่อนช้อย งดงามและน่าเกรงขามไม่ต่างอะไรจากเหล่าองค์หญิงที่อาศัยอยู่ในรั้วในวังเลยแม้แต่น้อย
พยักหน้าเสมือนคนกำลังถ่อมตัว
ความสงสัยบังเกิดขึ้นในหัวใจ บางทีอาจเพราะนางข้ามภพมาจากอนาคต ดังนั้นนางจึงมีความรู้ความเข้าใจค่อนข้างมาก
เมื่อเห็นว่าการเคลื่อนไหวของหลินเมิ้งหยาสมบูรณ์งดงาม ใต้เท้าฉินจึงหันไปชี้แนะหลงเทียนอวี้
เหตุเพราะเป็นหนึ่งในองค์ชาย ดังนั้นความสำคัญของหลงเทียนอวี้จึงไม่น้อยไปกว่าไท่จื่อ
ชำเลืองมองหลงเทียนอวี้ซึ่งสวมชุดสีดำยืนอยู่ในห้องโถงด้วยสีหน้าและแววตาเคร่งขรึม
ในพิธีของวันงานเทศกาลฤดูหนาว หลินเมิ้งหยามีส่วนร่วมเพียงน้อยนิด แต่หลงเทียนอวี้นับเป็นแขกคนสำคัญ ฉะนั้นใต้เท้าฉินจึงค่อนข้างเข้มงวดกับเขา การเคลื่อนไหวทุกอย่างจึงต้องถูกต้องและสง่างาม หลงเทียนอวี้จะต้องแผ่ราศีขององค์ชายออกมาให้เป็นที่ประจักษ์
ใบหน้าด้านข้างเคร่งขรึม หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าบางทีเขาอาจจะกำลังทำเรื่องที่น่าเบื่อที่สุดอยู่ก็เป็นได้ ทว่าคนมองกลับรู้สึกได้ถึงความสง่างามและน่าเกรงขาม
ราวกับว่าจ้องมองมากขนาดไหนก็ยังไม่พอ หลินเมิ้งหยานั่งลงอีกฝั่ง สายตาไม่อาจเบนไปทางอื่น นางไม่รู้สึกตัวเลยว่าท่าทางที่จ้องมองหลงเทียนอวี้ของตนเองในเวลานี้เหมือนคนกำลังคลั่งไคล้เขาอย่างไรอย่างนั้น
“ข้าว่านะเจ้าเด็กน้อย หากเจ้ายังมองตาไม่กะพริบเช่นนี้ ลูกตาของเจ้าอาจจะไปติดอยู่บนร่างกายของเจ้านั่นก็ได้”
เสียงที่เจือความอิจฉาดังขึ้น หลินเมิ้งหยาหันหน้าไป ก่อนจะเห็นชิงหูที่กำลังแต่งกายเป็นผู้หญิง
ไม่มีทางเลือก ช่วงนี้มีคนนอกเข้าออกค่อนข้างมาก หลินเมิ้งหยาไม่อาจซ่อนตัวอยู่ในตำหนักได้ตลอดเวลา ฉะนั้นชิงหูจึงต้องปลอมตัวเป็นหญิงสาวเพื่อมาอยู่ข้างกายนางเช่นนี้
ทว่าหลินเมิ้งหยาเริ่มสงสัยหนักขึ้น หรือเขาจะชอบการแต่งกายข้ามเพศเช่นนี้กันนะ?
ก่อนนั้นเขาปลอมตัวเป็นท่านน้าผู้มีเสน่ห์เย้ายวน หลายวันต่อมาก็แต่งตัวเป็นหญิงสาวไร้เดียงสา
ทั้งปิ่นปักผมหรือเครื่องประดับศีรษะล้วนไม่เคยใส่ซ้ำกันเลยสักอันเดียว
ส่วนตอนนี้เขาแต่งกายเป็นเด็กสาวใสซื่อบริสุทธิ์
“ก็เขาหล่อนี่นา ฉะนั้นข้าต้องมองมากๆ หน่อย มิใช่ว่าเจ้ากำลังฝึกเต้นระบำอยู่ที่ท้ายจวนหรือ? เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า?”
ชิงหูปรายตามองหลงเทียนอวี้อย่างไม่สบอารมณ์ แต่ถึงกระนั้นเขาก็มีสิทธิพิเศษได้เข้าไปในห้องของหลินเมิ้งหยาทุกคืน อีกทั้งยังสามารถส่งเสียงกระซิบกระซาบกับนางได้อีกด้วย
แม้ว่าทุกครั้งหลงเทียนอวี้จะส่งสายตาแข็งกร้าวใส่ แต่เขาเป็นใครกันเล่า? เขาไม่เคยสนใจใยดีเจ้านี่อยู่แล้ว
ทุกครั้งเขามักจะเดินกลับห้องของตัวเองด้วยรอยยิ้มลำพองใจเสมอ
“ตอนนี้ฝึกฝนจนคล่องแคล่วแล้ว แต่วันนี้นักแสดงหลักนามว่าเยว่เซียงมิได้มาซ้อม ข้าลองส่งคนไปถาม ได้ความว่าเมื่อคืนนางไม่สบายก็เลยไม่ได้มาในวันนี้”
คำพูดของชิงหูทำให้คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากัน เยว่เซียงคือนักเต้นระบำที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง
ไม่เพียงแค่หน้าตาที่งดงาม อีกทั้งท่วงท่าการเต้นรำของนางพลิ้วไหวจนยากจะหาตัวจับได้ ตอนนี้เวลาทุกนาทีย่อมมีค่า แต่เยว่เซียงกลับล้มป่วยลง นางรู้สึกตงิดใจอย่างบอกไม่ถูก
“เจ้าลองไปดูด้วยตนเองเถิด หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมา พวกเราจะได้รับมือทัน”
ชิงหูพยักหน้า ก่อนจะหมุนตัวจากไป
อีกสามวันก็จะถึงวันงานเทศกาลฤดูหนาวแล้ว หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนถึงวันงาน!
สามวันผ่านไป ในที่สุดวันงานเทศกาลฤดูหนาวที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง
เหตุเพราะต้องร่วมเฉลิมฉลองกับราษฎร ฉะนั้นเส้นทางจากวังหลวงจนถึงวัดจึงแน่นขนัดไปด้วยผู้คน
ยังไม่ทันที่ฟ้าจะเปลี่ยนสี หลินเมิ้งหยา หลงเทียนอวี้และพระสนมเต๋อเฟยเดินทางเข้าวังหลวง
นางจำเป็นต้องแต่งตัวที่นี่ จากนั้นจึงเดินทางไปที่วัดพร้อมกับหลงเทียนอวี้เพื่อทำพิธีขอพร
หลินเมิ้งหยาเป็นถึงชายาอวี้ อีกทั้งยังเป็นลูกสาวของเจิ้นหนานโหว ดังนั้นฐานะของนางจึงไม่ธรรมดา
สวมใส่ชุดทางการสง่างาม บริเวณเอวคาดผ้าคาดเอวปักลายชิงหลวน
ด้านซ้ายและขวาประดับด้วยถุงหอมและป้ายหยกประจำตำแหน่งที่เป็นของนางเพียงคนเดียวเท่านั้น
เท้าสวมใส่รองเท้าที่ถักทอด้วยด้ายหลากสีและหนังวัวราคาแพง สัมผัสอ่อนนุ่มอบอุ่น ยามที่ชายกระโปรงสะบัดพลิ้วไหวจึงจะเผยออกมาให้เห็น
ปิ่นปักผมลายหงส์ประดับไว้บนเส้นผมสีดำขลับที่ถูกรวบเป็นมวย
ใบหน้างดงามโดดเด่นเกินกว่าจะมีใครเทียบเทียม อีกทั้งยังส่งความรู้สึกใสซื่อบริสุทธิ์และอ่อนหวาน ทว่าไร้ซึ่งความรู้สึกเย่อหยิ่งแบบพวกเหนียงเหนียงในวังหลวง
ไม่ว่าจะเหลียวซ้ายแลขวา ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความฉลาดเฉลียว ริมฝีปากสีแดงขับให้ใบหน้ายิ่งงามสง่า
หลินเมิ้งหยามองตนเองในกระจก นางรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเล็กน้อย
คนในกระจกงดงามไร้ที่ติ นาง…คือนางจริงๆ หรือ?
“พระชายา ถึงเวลาอันสมควรแล้วเพคะ ท่านอ๋องรออยู่ที่สวนแล้ว”
สาวใช้ทั้งสี่สวมชุดนางในสีชมพูอ่อน เมื่อเทียบกับความงามของหลินเมิ้งหยา พวกนางมีความโดดเด่นแตกต่างกัน
เพียงเจ้านายและลูกน้องทั้งห้าคนเดินมาถึงสวน สายตาของทุกคนก็จับจ้องมาทางพวกนาง
หลงเทียนอวี้ยืนอยู่ในสวน มองดูพระชายาของตนเองที่กำลังย่างกรายเข้ามา สายตาของเขาเหม่อลอย
หญิงสาวตรงหน้างดงามราวนางฟ้า ชุดสีแดงขับให้ผิวสีขาวดุจหิมะของนางยิ่งงดงามราวกับหยก
ใบหน้ายกยิ้มเล็กน้อย ท่วงท่าสง่างาม ดวงตาเปล่งประกาย สายตาราวกับจะมองทะลุไปถึงหัวใจคน
เยื้องย่างเข้ามายืนข้างกายเขา ทั้งคู่เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก
จู่ๆ หลงเทียนอวี้ก็หวนนึกถึงภาพเหตุการณ์วันงานอภิเษกสมรสขึ้นได้
จำได้ว่าวันนั้นนางเองก็สวมชุดสีแดงฉานเช่นนี้ แต่ตอนนั้นเขาหารู้ไม่ว่าพระชายาพระองค์นี้จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง
“ท่านอ๋อง พวกเราไปกันเถิดเพคะ”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยปากส่งเสียงหวาน
“ได้ พวกเราไปกันเถอะ”
หลงเทียนอวี้ยื่นมือเข้าไปจับมือเล็กบอบบางและเดินเคียงข้างนางออกไป
ด้านนอกมีเกี้ยวรออยู่แล้ว
หลินเมิ้งหยากุมมือหนาของหลงเทียนอวี้