หากอ้างอิงจากขนบธรรมเนียม เหล่าคนในราชวงศ์จะต้องเดินรอบเมืองก่อนเพื่อแสดงความยินดีกับราษฎร จากนั้นจึงเข้าไปในวัด
จากนั้นขุนนางร้อยคนจะเดินตามขบวนเสด็จ พระราชพิธีเช่นนี้มิอาจพบเห็นได้ทั่วไป
หลินเมิ้งหยานั่งบนเกี้ยว เหยียดกายตรง รักษาภาพลักษณ์สง่างาม
อันที่จริง…มันเหนื่อยมาก
ทั้งที่ทำเช่นนี้ไปเพียงแค่ครู่เดียว หลินเมิ้งหยากลับรู้สึกปวดหลังปวดเอวไปหมด
ขณะที่คิดจะบิดเอวคลายเมื่อย นางก็กลัวว่าเหล่าราษฎรจะเห็นเข้า หากเป็นเช่นนั้นคงทำให้หลงเทียนอวี้ต้องขายหน้า
ทั้งที่ยังไม่ถึงครึ่งทาง แต่นางกลับรู้สึกว่าคอของตนแทบจะไม่อาจตั้งตรงอยู่บนบ่าได้อีกต่อไป
แม้เครื่องประดับศีรษะจะมีราคาและเป็นของหายาก แต่นางก็สงสารคอตัวเองเหลือเกิน คองามระหงของนางต้องมารับน้ำหนักมากมายมหาศาล
ตอนนี้นางคิดเพียงแค่ว่าหากนางยังสามารถขยับคอได้เมื่อไปถึงวัด แค่นี้ก็เป็นเรื่องน่ายินดีมากแล้ว
เหล่าราษฎรที่อยู่สองฝากฝั่งต่างคุกเข่าลง สีหน้าเกรงกลัวปรากฏอยู่บนใบหน้าราษฎรที่มิรู้อีโหน่อีเหน่เหล่านี้
อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็รู้แล้วว่าเหตุใดราษฎรเหล่านี้จึงหวังว่าจะได้ฮ่องเต้ของพวกตนเอง แม้ราษฎรจะเป็นหัวใจหลักของประเทศ แต่ฮ่องเต้คือผู้ชี้นำให้ชีวิตของพวกเขามีความสุข
มองดูแผ่นหลังของหลงเทียนอวี้ อุปนิสัยใจคอของไท่จื่อไม่เหมาะสมที่จะเป็นฮ่องเต้ เช่นนั้นตัวเลือกที่ดีที่สุดคือเขากระนั้นหรือ?
ขบวนเกี้ยวนำพาเหล่าราชวงศ์ไปยังวัด
ภายในนั้นเหล่าขุนนางต่างตระเตรียมสถานที่เอาไว้แล้ว ก่อนงานพิธีจะเริ่มขึ้น หลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้ต้องรอที่ห้องโถง
แม้นางจะมีส่วนร่วมในพิธีการน้อยมาก
แต่เพราะนางมีฐานะเป็นถึงลูกสะใภ้ของฮ่องเต้ ดังนั้นนางจึงต้องเพียบพร้อมสง่างามตลอดเวลา
แม้รองเท้าปักลายมงคลจะมีรูปลักษณ์งดงาม แต่เมื่อต้องยืนอยู่นานตลอดทั้งบ่าย นางกลับรู้สึกว่ามันไม่ช่วยอะไรเลย
นั่งอยู่ภายในห้องโถง สาวใช้ทั้งสี่ของตนเองยืนอยู่ด้านข้างเพื่อคอยรับใช้ พวกนางเองก็เดินตามนางตลอดทั้งเช้าแล้ว แม้จะรู้สึกเมื่อยแต่ก็จำต้องกัดฟันอดทน
“อีกเดี๋ยวหากข้าเข้าไปร่วมงานพิธี พวกเจ้าจงพักผ่อนอยู่ที่นี่เถิด ถึงอย่างไรก็มีนางในจากวังหลวงมาคอยชี้แนะ ไม่มีทางเกิดปัญหาใดๆ หรอก”
ไท่จื่อและฮองเฮาจะต้องเข้าไปทำพิธีก่อน แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องเอ่ยคำขอพรเรื่องดินฟ้าอากาศต่างๆ นานา จากนั้นเหล่าองค์ชาย ราชนิกุล ชายาและเหล่าขุนนางจึงจะเข้าไปร่วมพิธี
ทุกขั้นตอนล้วนสำคัญและเข้มงวด ฉะนั้นไม่ว่าจะก้าวเท้าหรือขยับกายจะต้องทำให้ถูกต้องตามธรรมเนียมปฏิบัติ
เหตุเพราะงานพิธีในวันนี้จะส่งผลต่อความสงบสุขของเจียงซาน ฉะนั้นจึงไม่อยากให้มีใครทำผิดพลาด
สาวใช้ทั้งสี่พากันส่ายหน้า แต่เพราะหลินเมิ้งหยายังคงยืนยันคำพูดเดิม สุดท้ายพวกนางจึงฝืนพยักหน้ารับ
“พระชายา ตอนนี้งานเริ่มแล้ว เชิญพระองค์เสด็จไปร่วมพิธีเถิด”
ด้านนอกมีเสียงของผู้ดูแลงานพิธีดังขึ้นอย่างมีมารยาท หลินเมิ้งหยาจัดแต่งชุดของตนเอง ก่อนจะแสดงสีหน้าเคร่งขรึมแล้วเดินออกจากประตูไป
โอ้ พิธีในวันนี้ยิ่งใหญ่ใช้ได้
ชาติภพที่แล้ว นางเคยเห็นการทำพิธีแบบสมัยโบราณของคนยุคปัจจุบัน
แต่เมื่อเทียบกับตอนนี้ คนยุคปัจจุบันยังทำได้ไม่ดีเท่า
คนยุคปัจจุบันจัดพิธีเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น บางครั้งก็เพื่อเชิญแขกเหรื่อมาร่วมงานสานความสัมพันธ์ต่างๆ ไม่เหมือนกับคนสมัยโบราณที่ตั้งใจขอพรกันอย่างตั้งใจ
ไม่ว่าองค์ชายหรือราษฎร พวกเขาล้วนคาดหวังให้ชีวิตพบพานแต่ความสุข
แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่เข้าใจ แต่ถึงกระนั้นก็ถูกบรรยากาศภายในงานดึงดูด บางทีนางเองก็ควรขอพรด้วยความจริงใจเช่นเดียวกัน เหตุเพราะเรื่องราวความน่าเหลือเชื่ออย่างเช่นการข้ามภพชาติก็เกิดขึ้นกับนางแล้วมิใช่หรือ?
“เริ่มงานพิธี….”
ผู้ดำเนินงานฝ่ายพิธีการสวมชุดสีแดงเข้มส่งเสียงประกาศดังกังวาน แม้แต่คนที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดก็ได้ยินอย่างชัดเจน
บรรยากาศภายในงานพิธีจึงเงียบสงบลง ทุกคนล้วนก้มหน้าต่ำเพราะกลัวจะถูกฟ้าดินลงโทษ
ในมือของผู้ดำเนินงานคือคำสั่งสอนของฮ่องเต้พระองค์ก่อน เขาอ่านชัดถ้อยชัดคำเสียงดังฟังชัด
หลินเมิ้งหยาชำเลืองมองทางแท่นบูชาด้านหน้า นึกถึงคำสั่งสอนของใต้เท้าฉินที่กำชับเสมอ อีกประเดี๋ยวนางจะต้องเข้าไปยืนข้างกายหลงเทียนอวี้ จากนั้นถวายคำนับ ไหว้ขอพรและทำตัวให้นิ่งเสมือนเสาหนึ่งต้น เท่านี้ก็เป็นการจบพิธี
คนในลานพิธีของวัดล้วนคุกเข่าลงเพื่อกราบไหว้ด้วยความจริงใจ
หลินเมิ้งหยาเองก็คุกเข่าลงที่ตำแหน่งของตนเอง จากมุมมองของนางในเวลานี้ นางเห็นสีหน้าท่าทางของทุกคนได้อย่างชัดเจน
ฮองเฮาสวมใส่ชุดสีเหลืองอร่าม เครื่องประดับทองลายหงส์ประดับไว้บนศีรษะอย่างสง่างาม
คนที่คุกเข่าอยู่ข้างกายคือไท่จื่อซึ่งสวมชุดสีเหลืองอร่ามเช่นเดียวกัน ภายในลานพิธีแห่งนี้ มีเพียงพวกเขาสองแม่ลูกที่โดดเด่นจากผู้อื่น
หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ บางทีในใจของพวกเขา ฮองเฮาและไท่จื่อคงเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ส่วนนาง…จะเป็นผู้ลากคนทั้งสองลงมาจากบัลลังก์มังกรเอง
ความแค้นของพี่เยว่ถิงยังคงวนเวียนอยู่ในใจเสมือนหนามที่คอยทิ่มแทงจนนางมิอาจลืมเลือน
ฮองเฮาและไท่จื่อคำนับสามครั้ง จากนั้นเหล่าองค์ชายจึงเป็นผู้เข้าไปทำพิธีต่อ
ไม่นานก็ถึงคราวที่หลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้ต้องเข้าไปร่วมพิธีด้วยกัน หากอ้างอิงจากพิธีการ นางและหลงเทียนอวี้จะต้องผ่านการชำระล้างร่างกายด้วยควันซึ่งเกิดจากธูปหอมในกระถาง จากนั้นจึงเข้าไปไหว้ขอพรในวัด
ผู้ดูแลงานสวมใส่ชุดสีแดงเข้มสำรวจร่างกายของหลินเมิ้งหยา แต่หลังจากได้เห็นหงส์บนชุดทางการของนาง สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไป
“พระชายา ท่าน…ชุดของท่านไม่เหมาะสมหรือไม่?”
เหตุเพราะอยู่ท่ามกลางงานพิธี ดังนั้นคำพูดของผู้ดูแลงานจึงฟังมิได้ศัพท์เสียเท่าไร
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับเบนหน้าไปทางเขาแล้วส่งยิ้มเล็กน้อย
“นี่เป็นชุดที่ฝ่ายในส่งมาให้ข้า ข้าลองตรวจสอบดูแล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไรไม่เหมาะสม”
ยิ่งผู้ดูแลงานได้เห็น สายตาของเขาก็ยิ่งกระวนกระวาย สุดท้ายเขารีบเดินไปหาหัวหน้าขันที
“ฮวงกงกง ท่านรีบไปดูเถิด อาจเกิดเรื่องใหญ่ได้!”
ฮวงกงกงที่ยืนรับใช้ฮองเฮาถลึงตาใส่ผู้ดูแลงาน ก่อนจะลากตัวผู้ดูแลงานออกไปอีกฝั่งพร้อมทั้งกระซิบเสียงเบา
“เจ้าอยากตายใช่หรือไม่ เหตุใดจึงพูดจาเลื่อนเปื้อนเช่นนี้? หากทำให้เจ้านายทั้งหลายขุ่นเคืองขึ้นมา คอเจ้าจะหลุดจากบ่า”
ผู้ดูแลงานไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก เขาทำเพียงกระซิบที่ข้างใบหูของฮวงกงกง
“เรื่องนี้ร้ายแรงยิ่งนัก เจ้าอย่าได้พูดจาส่งเดช เจ้าดูแน่ใจแล้วใช่หรือไม่? อย่าได้โป้ปดมดเท็จเชียว”
ผู้ดูแลรีบพยักหน้า เรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรง หากเขาดูพลาด อย่าว่าแต่ฮวงกงกงเลย แม้แต่เหล่าขุนนางเองก็คงส่งตัวเขาไปเลาะเนื้อเฉือนหนัง
“ดี ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าออกไปก่อน ข้าจะไปทูลเหนียงเหนียง เจ้าจงจัดลำดับให้ชายาอวี้รอไปก่อน จากนั้นให้ขุนนางเก่าเป็นผู้เข้าไปไหว้แทน”
งานพิธีสะดุดลงเล็กน้อยเพราะเรื่องของหลินเมิ้งหยา
คิ้วของหลงเทียนอวี้ขมวดแน่น มองดูหญิงสาวที่ยังคงแสดงสีหน้าปกติด้านข้าง เมื่อครู่เขาเห็นสีหน้าของผู้ดูแลงานอย่างชัดเจน
หรือจะเกิดเรื่องอันใด?
“เป็นอะไรไป?”
ลางสังหรณ์ไม่ดีเกิดขึ้น หลงเทียนอวี้รู้จักวิธีการที่ฮองเฮาใช้เป็นอย่างดี
พวกเขาจะต้องใช้แรงกดดันจากทุกคนในการกำจัดหลินเมิ้งหยา เมื่อถึงเวลานั้น คนที่จะตกอยู่ในที่นั่งลำบากก็คือแม่ทัพหลิน
แต่ก่อนจะออกมา เขาก็ตรวจสอบหลินเมิ้งหยาอย่างละเอียดแล้ว หรือยังมีจุดไหนที่ไม่ถูกไม่ควรกระนั้นหรือ?
“ไม่มีอะไรหรอกเพคะ พระองค์เข้าไปไหว้บรรพบุรุษก่อนเถิด หลังจากเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยออกมาหาหม่อมฉัน อย่าทำให้พวกเขาคิดว่าพระองค์อกตัญญูต่อบรรพบุรุษเพียงเพราะผู้หญิงคนเดียวเลย”
ตั้งแต่วันที่ได้รับชุด หลินเมิ้งหยาก็รู้ได้ทันทีว่าฮองเฮาต้องการป้ายความผิดให้กับนาง
อีกทั้งนางยังไม่สามารถตัดเย็นชุดทางการขึ้นมาใหม่ได้ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงสวมชุดนี้ออกงานเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าผู้ดูแลเป็นคนที่พวกเขาได้ตระเตรียมเอาไว้แล้ว มิเช่นนั้นเขาจะหาจุดผิดพลาดเจอได้อย่างไร
กลอุบายแพรวพราวซ้ำยังไม่อาจหลบเลี่ยงได้
“พระชายา เนื่องจากมีบางอย่างไม่เหมาะสม เช่นนั้นพระองค์โปรดตามกระหม่อมมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หลินเมิ้งหยาพยักหน้า ส่งสายตาปลอบโยนให้กับหลงเทียนอวี้ ก่อนจะก้าวเท้ายาวๆ ไปที่ด้านข้างลานพิธี
ด้านนอก เสียงเจื้อยแจ้วอย่างมีความสุขยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีเพียงนางที่ต้องออกมายืนเพียงผู้เดียวที่ด้านข้างงานพิธี โดยไม่รู้ว่าชะตาชีวิตของตนเองจะเป็นเช่นไร
“พระชายา หนู่ฉายคือหัวหน้าขันทีที่ดูแลงานพิธีในคราวนี้ เมื่อครู่ผู้ดูแลงานมารายงานว่าชุดของท่านมีบางอย่างที่ไม่เหมาะสม ฉะนั้นจึงเชิญพระองค์มาที่ตำหนักด้านข้างเพื่อตรวจสอบ หวังว่าพระองค์จะไม่ขัดข้องใจ”
คำพูดของขันทีดูดีมีเหตุผลจนนางไม่อาจปฏิเสธ
“อืม กงกงพูดมีเหตุผล งานพิธีวันนี้ยิ่งใหญ่นัก มิควรจะมีเรื่องไม่ดีอันใดเกิดขึ้น”
หลินเมิ้งหยานั่งยืดตัวตรง ฮองเฮาเตรียมตัวมาดียิ่งนัก
เหตุเพราะชุดของนางมีข้อบกพร่องจึงไม่อาจเข้าร่วมงานพิธีได้ แม้นางจะเอาตัวรอดไปได้ แต่สุดท้ายก็ยังมิวายถูกคนครหาว่าอกตัญญูต่อบรรพบุรุษ
หากมิอาจเอาตัวรอด เกรงว่าชีวิตของนางก็คงต้องพบจุดจบ ไม่ว่าจะเส้นทางไหนก็ล้วนมีแต่ความน่ากังวลทั้งสิ้น
แน่นอนว่านางอาจแก้ตัวว่าเป็นความผิดพลาดของฝ่ายพิธีการ
แต่ฮองเฮาวางแผนมาอย่างแยบยลแล้ว แม้จะหนีก็หนีไม่พ้น ดูเหมือนคราวนี้จะต้องการเล่นงานนางให้ถึงที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ท่านพ่อเองก็คงมิอาจช่วยชีวิตนางได้
ฮวงกงกงเหยียดยิ้ม เขาบอกให้หลินเมิ้งหยารอสักครู่ หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ ดูเหมือนพวกเขาจะมั่นใจแล้วว่านางมิอาจเอาตัวรอดได้
“ฮองเฮาเหนียงเหนียงเสด็จ…”
“ท่านอ๋องฉงซานเสด็จ…”
“ท่านอ๋องหลีซานเสด็จ…”
เสียงประกาศที่ด้านนอกดังอย่างต่อเนื่อง พิธีการดำเนินไปได้ครึ่งทางแล้ว ฮองเฮาและเหล่าพระญาติต่างพากันเข้ามาภายในตำหนักด้านข้าง
หลินเมิ้งหยาล้วนรู้จักคนเหล่านี้เป็นอย่างดี ฮองเฮาตัวดี! เพื่อลบล้างความสงสัยต่อตนเอง ดังนั้นนางจึงพามาแต่เพียงคนสนิทของตนเองเท่านั้น
เครื่องประดับงามสง่าบนศีรษะ สายตาเย็นชาดุจน้ำแข็งปรายมองนาง
ตอนนี้หลินเมิ้งหยาทำได้เพียงก้มหน้าลง ก่อนจะถวายคำนับตามขนบธรรมเนียม