“มากความไปไยกัน” เว่ยจางเอ่ยขึ้นอย่างไร้ความอดทน
“เข้าใจแล้วขอรับ” ถังเซียวอี้หันหน้าไป ใบหน้าไม่เคล้าด้วยรอยยิ้มอีก แววตาเฉยชาฉายแววเลือดเย็น “น่าเสียดาย นายท่านของพวกเราไร้ความอดทนเสียแล้วสิ” ขณะที่เอ่ย เขายื่นมือจับแขนของคนๆ นั้นแล้วแล้วกระดิกนิ้ว พลังมืดแผ่ซ่านออกมาทันที
“อ๊า…อ๊าๆ…” ชายหนุ่มคนนั้นร้องไห้จวนจะขาดใจ เท้าถีบไปเรื่อย สีหน้าดูทรมานเหมือนตายทั้งเป็น
“นายของเจ้าแซ่ปั๋วใช่หรือไม่” ถังเซียวอี้ดึงมือออกจากบุรุษที่ใกล้จะสลบแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงเลือดเย็น
“ไม่…ไม่…” ชายคนนั้นทุกข์ทรมานถึงขั้นที่ใกล้จะสลบไป เขารู้สึกถึงทุกความทรมานที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน ช่างเป็นความเจ็บปวดที่แทบจะตายให้รู้แล้วรู้รอด
“ปากยังแข็งนี่!” ถังเซียวอี้ยิ้มอ่อน ชักดาบเล่มหนึ่งออกจากรองเท้า ดาบแหลมคมทอประกายแสงเย็นเฉียบขยับเข้าใกล้เปลือกตาของชายผู้นี้ ใบมีดคมเฉียบแผ่ความเย็นยะเยือกออกมา ทำให้เขาตกใจจนต้องถอยไปด้านหลัง ร่างแนบชิดกับพื้น เขาถอยจนไม่มีที่ให้หลบอีกต่อไป
“เจ้า…เจ้าฆ่าข้าเถอะ!” ชายผู้นั้นหลับตาลงทันที
“ฆ่าเจ้ากระนั้นหรือ” ถังเซียวอี้แย้มยิ้มอีกครั้ง “คงไม่ได้หรอก การฆ่าคนก็เป็นการกระทำความผิด อีกอย่างสุนัขรับใช้อย่างเจ้าไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับข้า ไม่เช่นนั้น…เอาตาของเจ้าให้ข้าไหม เจ้าเซียนหลี่ของข้าก็ได้เวลากินเนื้อพอดี”
เจ้าเซียนหลี่เป็นสุนัขหมาป่าที่อยู่ในเจียงหนาน เขาจับได้ตอนที่ไปล่าสัตว์ป่าให้เหยาเยี่ยนอวี่ คุณหนูเหยาสั่งให้คนใช้แกะน้อยเลี้ยงมันตลอดเวลา จึงตั้งชื่อที่สื่อถึงความใจกว้างว่า ‘เซียนหลี่’
ถังเซียวอี้พูดไป ปลายแหลมคมของดาบสั้นในมือสัมผัสกับเปลือกตาของชายผู้นั้น แค่ใช้แรงหน่อยก็อาจทำให้เปลือกตาของชายคนนี้หลั่งเลือดได้
ชายคนนั้นแทบจะสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านจากใบมีดกำลังปะทะเข้าไปในลูกตาของตน เขาตกใจจนไม่กล้าขยับ เปลือกตากระตุกไม่หยุด
“จะพูดหรือไม่พูด” หลังจากถังเซียวอี้ถามจบ ไม่รอให้เขาตอบกลับก็เอาดาบสั้นในมือปาดเปลือกตาอย่างเบามือ
หยาดเลือดหลั่งรินออกมา
ชายคนนั้นกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมาน “ข้าพูด! ข้าพูดๆ…”
“ดูสิ ต้องให้หลั่งเลือดถึงจะยอมเชื่อฟัง!” ถังเซียวอี้ยกมือแล้วเอาปลายดาบเปื้อนเลือดเช็ดบนร่างของชายคนนี้ให้สะอาด “พูดมาเถอะ”
“นายของข้าแซ่ปั๋ว…”
“เจ้าของร้านยาปั๋วซื่อคุนแห่งเจียงหนานหรือ”
“ไม่…ข้าไม่ใช่คนของนายท่านผู้เฒ่า…ข้า ข้าคือคนของคุณชาย…”
“คุณชาย?”
“คุณชายรอง…”
“ปั๋วซื่อคุนไม่ได้มีบุตรชายเพียงคนเดียวนามว่าปั๋วจิ๋งหร่านหรือ”
“คุณชายรองคือบุตรบุญธรรมของนายท่านผู้เฒ่า…” ท้ายที่สุดคนๆ นั้นก็ยืนหยัดไม่ไหวอีกต่อไปแล้วพูดทุกอย่างที่ตนรู้ออกมา
ที่แท้ปั๋วซื่อคุนมีบุตรชายปั๋วจิ๋งหร่านตอนอายุสี่สิบ หลังจากที่ฮูหยินของเขาคลอดบุตรีให้เขาทีเดียวห้าคนถึงได้คลอดบุตรชายที่เป็นต้นกล้าต้นเดียวนี้ ปีนี้มีอายุแค่เก้าขวบ ดังนั้นเขาจึงรับเลี้ยงบุตรจากสถานเด็กกำพร้าอยู่สามคน บุตรชายทั้งสามคนนี้ถูกรับเลี้ยงหลังจากมีบุตรชายภรรยาเอกคลอดออกมา จึงมีระดับความอาวุโสอยู่หลังปั๋วจิ๋งหร่าน
ส่วนคนที่นามว่าปั๋วเสี้ยวคือบุตรคนแรกที่เขารับเลี้ยง ปีนี้อายุยี่สิบเก้า เขารับผิดชอบดูแลกิจการที่อยู่ในชิ่งโจว อี้โจว และโจวอื่นๆ ทั้งหมดห้าโจวแทนปั๋วซื่อคุน เป็นคนที่มีจิตใจอำมหิต ทำทุกวิถีทางเพื่อความมั่งมีได้ ก่อนหน้านี้ปั๋วซื่อคุนขายยาทำเงินมหาศาลเพราะโรคระบาดในเขตที่เกิดภัยพิบัติ ความสำเร็จครึ่งหนึ่งก็คือผลงานปั๋วเสี้ยว
เหตุเพราะเรื่องหญ้าตู๋จวีที่สองพี่น้องตระกูลเหยาค้นพบทำให้แผนการที่ปั๋วเสี้ยวจะแสวงหาผลกำไรล้มเหลว ยาสมุนไพรที่กักตุนไว้มากมายเริ่มขึ้นราและเน่าเสีย เหตุเพราะหลังจากเกิดอุทกภัยทำให้อากาศชื้นเรือนที่กักตุนสมุนไพรก็รั่วและมีน้ำซึม พอคำนวณความเสียหายทั้งสองด้านที่เกิดขึ้นจึงเป็นตัวไม่น้อย
ปั๋วซื่อคุนจึงด่าทอปั๋วเสี้ยวอย่างแรง ทำให้ปั๋วเสี้ยวโมโหเป็นฟืนเป็นไฟแต่ไม่มีที่ระบาย ดังนั้นจึงคิดหาวิธีที่โหดเหี้ยมเช่นนี้มาทำร้ายสองพี่น้องตระกูลเหยาให้ตาย ต่อให้ไม่ทำให้พวกเขาตาย ก็ถือว่าเป็นการตักเตือนคนของตระกูลเหยาว่าอย่าคิดว่าตนเองมีทักษะความรู้ด้านยาจึงนึกว่าตัวเองน่าภูมิใจ พวกเขาทำเรื่องขัดขวางหนทางความั่งมีของคนอื่น ทำให้แผนการทุกอย่างล้มเหลว
แน่นอนนี่เป็นเพียงคำพูดของบ่าวปั๋วเสี้ยว สำหรับความจริงจะเป็นเช่นนี้หรือไม่ ทุกการกระทำและท่าทีของปั๋วเสี้ยว ปั๋วซื่อคุนจะสมรู้ร่วมคิดหรือไม่ นี่ก็คงไม่ใช่สิ่งที่บ่าวคนนี้รู้อยู่แล้ว
เว่ยจางจึงไม่ได้ไปไต่ถามเรื่องเกี่ยวกับปั๋วซื่อคุน เขานึกถึงปัญหาอีกอย่างหนึ่ง “เรื่องของเจ้าไม่ใช่ว่าสำเร็จลุล่วงตอนอยู่บนท่าเรือที่แล้วหรอกหรือ เหตุใดถึงจะโผล่ที่ท่าเรือนี้อีก” นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาตั้งใจเปิดโปงความจริงแล้วรอให้คนอื่นมาจับกุมตัวหรือไร
“ข้าแค่อยาก…ยืนยันผลสรุปให้แน่ชัด…”
“แค่นี้?” ถังเซียวอี้ก็รู้สึกไม่น่าเชื่อเช่นกัน
“คุณชายอยากรู้…พวกเจ้า…ได้รับพิษเข้าสู่ร่างกายแล้วหรือ…”
ถังเซียวอี้และเว่ยจางแลกเปลี่ยนสายตากัน ต่างคนต่างหัวเราะอย่างเลือดเย็น
ที่แท้เจ้าปั๋วเสี้ยวคนนี้ไม่รู้ว่าคนบนเรือมีผู้ที่ล่วงรู้ในวิชาการแพทย์ ดังนั้นเขานึกว่าหากคนบนเรือได้รับพิษแล้วก็ต้องมาหาหมอบ้านๆ ไปรักษาบนท่าเรือแน่นอน ต่อให้ไม่หาหมอทว่าต้องหาร้านขายยา
พูดถึงตอนสุดท้าย เหล่าพ่อค้าและชาวบ้านต่างก็ยังไม่รู้ว่าบุตรีตระกูลเหยามีฝีมือวิชาการแพทย์ที่ไร้เทียมทาน พวกเขาแค่นึกว่าหญ้าตู๋จวีเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ นึกว่าใต้เท้าเหยารองเจ้ากรมป่าไม้คนนี้แค่โชคดีถึงได้ค้นพบหญ้าตู๋จวีก็เท่านั้น มิเช่นนั้นพวกเขาต้องไม่มีทางใช้ “คื่นฉ่ายพิษ” มาทำร้ายคนแน่นอน
พอนึกเรื่องเหล่านี้ได้ เว่ยจางเหลือบตามองบ่าวคนนั้นอย่างเลือดเย็นอีกครั้งแล้วสั่งถังเซียวอี้ “จับตามองเขาให้ดี หากเขาหนีไปได้ข้าจะโยนเจ้าไปเป็นอาหารปลาในแม่น้ำ”
“รับทราบขอรับ” ถังเซียวอี้พยักหน้าตอบกลับแล้วมองแม่ทัพเว่ยเดินขึ้นบันไดไป
บังเอิญเหยาเหยียนอี้กำลังชงชารอฟังข่าวดีจากเว่ยจาง หลังจากที่เว่ยจางขึ้นมาจากใต้ท้องเรือแล้วเล่าเรื่องทุกอย่างให้เหยาเหยียนอี้ฟัง คุณชายรองเหยาฟังจบจึงนิ่งงันไปสักพักแล้วเปรยขึ้น “ลงโทษสุนัขรับใช้ตัวหนึ่งเช่นนี้ช่างไม่มีความหมายเอาเสียเลย”
เว่ยจางขมวดคิ้ว “ทว่าหากอยากใช้เรื่องนี้แฉธาตุแท้ของตระกูลปั๋ว หลักฐานกลับไม่เพียงพอ ต่อให้ฮ่องเต้ทรงทราบ เกรงว่าคงไม่อาจเอาความพวกเขาได้”
คุณชายรองเหยาจับถ้วยชาจื่อซาพลางดมกลิ่นหอมกรุ่นแล้วพูดด้วยเสียงต่ำ “ดังนั้นพวกเรายังต้องการหลักฐานมัดตัวมากกว่านี้ หากไม่ปกปิดเรื่องเหล่านี้ไว้เป็นความลับ ก็ต้องถอนรากถอนโคนพวกเขาให้ถึงที่สุด”
“เช่นนั้นคนคนนั้นที่อยู่ในใต้ท้องเรือล่ะ”
เหยาเหยียนอี้หรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นช้าๆ “เขาทำเรื่องนี้ได้ทำให้เห็นว่าเขาคือบ่าวคนสนิทของปั๋วเสี้ยว ต้องรู้เรื่องชั่วๆ ที่ปั๋วเสี้ยวเคยทำไม่น้อยแ น่นอนตระกูลปั๋ว…เหมือนเกี่ยวดองกับตระกูลขุนนางใหญ่ท่านหนึ่งในเมืองหลวง”
เว่ยจางพยักหน้า “อืม ข้าให้เซียวอี้ไปสืบดู”
“ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องรีบ” เหยาเหยียนอี้ยิ้มเย็นชา
“ต่อให้รีบร้อนก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว” หากเกี่ยวข้องกับขุนนางในเมืองหลวง เช่นนั้นก็ต้องเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนแน่นอน สุดท้ายยังไม่รู้ว่าจะหมายหัวไปถึงใคร หากไม่อาจเอาหลักฐานสำคัญออกมา อาจจะนำพาความเดือดร้อนมาให้ตนเองก็ได้ มุมปากของเว่ยจางกระตุกยิ้มเย็นชาออกมา ทำให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความเลือดเย็นที่ยิ่งอยู่ยิ่งน่ากลัว
ผู้คนที่ได้รับพิษเข้าสู่ร่างกายบนเรือต่างได้รับการแก้พิษด้วยการฝังเข็มทีละคนจากคุณหนูเหยา ตอนนี้ระยะทางที่กลับถึงเมืองหลวงอวิ๋นก็อยู่ไม่ไกลแล้ว
รุ่งเช้าหลังจากกินมื้อเช้าเสร็จ น้อยครั้งที่เหยาเยี่ยนอวี่จะมีเวลานอนผ่อนคลายชมทิวทัศน์ริมหน้าต่าง ชุ่ยเวยยกน้ำชาเข้ามาแล้วพูดอย่างร่าเริง “คุณชายรองบอกว่าบ่ายวันนี้พวกเราจะเดินทางถึงเมืองหลวงอวิ๋นแล้วเจ้าค่ะ”