ตอนที่ 246 : การชุมนุมศิลปะการต่อสู้

ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进c化系统)

ตอนที่ 246 : การชุมนุมศิลปะการต่อสู้

หวังเย่าเห็นข่าวนั้นก็แปลกใจ ไม่คิดเลยว่าในหัวเซี่ยจะมีสำนักและนิกายลึกลับมากมายขนาดนี้ กองกำลังเหล่านี้ก็เหมือนกับสำนักแปดหมัดที่อันตงจ๋าอธิบายว่าอยู่ในป่าล่าอสูรและฝึกฝนกันอยู่ตลอด

แล้วพระกับนักพรตที่หน้าประตูเมืองอยู่สำนักไหนกัน ?

เมื่ออ่านข่าวนั้นเขาก็ทำการค้นหาเรื่องนี้ต่อ เขาอ่านรายงานจำนวนมากและรู้ว่าพระพวกนั้นคือคนจากวัดโชโคะคุจิ ส่วนนักพรตเหล่านั้นเป็นคนต่างชาติ

และยังมีเพิ่มมาอีก 2 สำนัก

สำนักที่ถูกพูดถึงในอินเตอร์เน็ตนั้นมีกว่า 10 แห่งแล้ว เขาไม่รู้ว่าคนพวกนี้แข็งแกร่งแค่ไหน หากเทียบกับสำนักแปดหมัดแล้ว มันจะมีช่องว่างต่างกันเพียงใด ?

ฟ่านฉิงเหมยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ได้พูดขึ้นมาว่า “ สำนักเหล่านี้หากไม่มีเหตุผลคงไม่มาที่เมือง พวกเขาละทิ้งทางโลก ไม่สนใจของนอกกาย หากไม่จำเป็นฉันว่าพวกเขาคงไม่มาไกลถึงขนาดนี้เพื่อเข้าร่วมการประมูล ”

ประโยคนี้ทำให้หวังเย่าเข้าใจว่าสำนักเหล่านี้คงรู้อะไรบางอย่าง ทำให้พวกเขาไม่อาจนิ่งเฉย และลงจากเขาเข้าเมืองมา เพื่อเตรียมการล่วงหน้า

ดูเหมือนว่าสิ่งที่พวกเขารู้นั้นจะทำให้พวกเขาไม่อาจจะฝึกฝนต่อได้ มันคือหายนะที่จะส่งผลกระทบต่อทั้งหัวเซี่ยงั้นหรือ ?

“หวังเย่า คนของเขามังกรพยัคฆ์ก็มา นี่คือสำนักที่อาจารย์จางเทียนก่อตั้งขึ้นมา พวกเขาสามารถทำนายดวงชะตาได้ หากมีความสามารถแบบนั้นอยู่จริง ๆ งั้นพวกเขาคงจะมาดูดวงชะตาบ้านเมืองของเราว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น” ฟ่านฉิงเหมยเดา

“มันน่าจะเป็นแบบนั้น” หวังเย่าคิ้วขมวด รึว่าเป็นเพราะคำใบ้ที่เขาได้มาก่อนหน้านี้ ?

ถ้าเป็นแบบนั้น งั้นโลกก็คงไม่สงบสุขอีกต่อไป หากสัตว์อสูรพวกนั้นโผล่ขึ้นมาจริง ๆ แม้จะโดนจำกัดพลังเอาไว้เพราะพลังของโลก แต่ตราบใดที่พวกมันคิดจะโจมตี มันก็ไม่ได้ยากอะไร

เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มันคงเร่งด่วนอย่างมาก

“ฉันต้องรีบพัฒนาอสูรของตัวเอง ยังไงซะนี่คือวิธีที่ใช้เวลาน้อยที่สุดในการเพิ่มความแข็งแกร่ง”

ไม่กี่วันก่อน หวังเย่าเพิ่งจะให้ตือโป๊ยก่ายกินหมอกเลือดเข้าไปแล้วปล่อยมันไว้ในมิติป่า ส่วนการ์ฟิลด์และหงอคงก็อยู่ในป่าเช่นกัน เขาให้พวกมันหาอาหารกินเอง

ตอนนี้อสูรทั้งสามมีค่าความภักดีสูงถึง 90 หน่วย แม้ว่าจะอยู่ห่างออกไปหลายพันกิโลเมตรแต่ก็ยังติดต่อกันได้ เขาไม่มีทางสูญเสียพวกมันไปแน่ ดังนั้นหวังเย่าจึงตั้งใจจะให้พวกมันอยู่ในป่าไปก่อน การให้พวกมันอยู่ในป่ายังเป็นการฝึกฝนทักษะของตัวมันอีกด้วย

ยังไงซะระหว่างนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรในป่ารึมิติลับ

ตอนนี้เขาจะต้องทำความเข้าใจหินกฎไฟเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองพร้อมกับฝักไข่ไทแรนโนซอรัสและผึ้งแปดปีก ด้วยวิธีนี้จะยกระดับความแข็งแกร่งของกลุ่มทหารรับจ้างโลกาทั้งหมด มันจะเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นมาหลายเท่า แต่เรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา ไม่อาจจะทำสำเร็จได้ในชั่วข้ามคืน

ตอนนั้นเองก็มีข่าวใหม่เข้ามา ข่าวนี้มาจากฝ่ายดูแลเมือง ลงข่าวนี้ได้ไม่กี่นาทีก็มีคนมาคอมเมนต์นับไม่ถ้วนพร้อมกับคำค้นหาเรื่องนี้จนทำให้เรื่องนี้ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ภายในวันเดียว

หวังเย่าและฟ่านฉิงเหมยอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากัน มันกลับเป็นว่า…ฝ่ายดูแลเมืองคิดจะใช้โอกาสนี้เป็นเจ้าภาพในการจัดงานชุมนุมศิลปะการต่อสู้ระดับชาติขึ้นมา

พวกที่อยู่ใน 10 อันดับแรกจะได้รับรางวัลมหาศาลโดยเฉพาะผู้ชนะอันดับ 1 จะได้รับรางวัลประมาณ 100 ล้านเครดิต

รางวัลก้อนใหญ่แบบนี้แน่นอนว่าต้องทำให้ทุกคนตาแดงก่ำ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้าร่วมการชุมนุมนี้ได้ นี่คือการชุมนุมศิลปะการต่อสู้ระดับชาติ ไม่ใช่การแข่งขันทั่วไป พวกเขาไม่อาจจะยืมพลังของสัตว์อสูรได้ พวกเขาต้องพึ่งความแข็งแกร่งของตัวเอง ดังนั้นจึงมีแต่พวกที่ฝึกทักษะต่อสู้มาเท่านั้นที่จะเข้าร่วมได้

นอกจากจะกำหนดเกณฑ์ความแข็งแกร่งไว้ที่ระดับ C แล้วยังต้องมีอายุต่ำกว่า 25 ปีเท่านั้นถึงจะเข้าร่วมได้

กฎเหล่านี้ไม่ว่าจะมองยังไงก็เหมือนตั้งให้กับสำนักลับ สำนักลับเหล่านั้นได้ออกมาจากภูเขาก็เพื่อการนี้ นี่ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของประเทศ

หวังเย่าอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วการชุมนุมนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมากนัก เพราะคนส่วนใหญ่เป็นได้แค่ผู้ชมเท่านั้น

“หวังเย่า ฉันคิดว่านี่อาจจะเป็นตัวทดสอบสำนักลับ ยังไงซะพวกเขาก็อยู่ในป่ามาหลายปี ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน ที่จัดการชุมนุมนี้ขึ้นมาก็เพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของพวกนั้น”

“ยังไงซะความแข็งแกร่งที่แสดงออกมาย่อมชัดเจนมากกว่าคำพูด มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะทดสอบพวกอาจารย์ แต่ถ้าทดสอบพวกศิษย์แทนก็เป็นไปได้อยู่” ฟ่านฉิงเหมยคาดการณ์

“คนจากสำนักเหล่านี้คงจะถูกล่อลวงพอสมควร ก่อนที่โลกจะเปลี่ยนแปลงไป มีสำนักหมัดมวยแค่ไม่กี่แห่งที่มีชื่อเสียง”

หวังเย่าพยักหน้า “แต่หลังจากที่โลกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ทุกสำนักที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ก็ได้สร้างทักษะการต่อสู้ที่เข้ากับยุคสมัย เป็นธรรมดาที่จะไม่มีใครยอมใครและคิดจะแข่งขันกัน ซึ่งงานชุมนุมศิลปะการต่อสู้นี้จะรวบรวมทุกคนให้มาอยู่บนเวทีเดียวกัน เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาแข่งขันกันโดยไม่ทำลายความสามัคคีของกันและกัน นอกจากนี้ก็ยังมีรางวัลจำนวนมากสำหรับผู้ชนะ ซึ่งนี่คงเป็นผลลัพธ์ที่ดีกว่า”

“แล้วนายจะเข้าร่วมรึเปล่า ? ” ฟ่านฉิงเหมยยิ้มและถามขึ้นมา “หวังเย่า แม้ว่าฉันจะรู้ว่านายแข็งแกร่งแค่ไหนในวิถีนักรบ แต่ในความเห็นของฉันแล้ว นายควรจะเข้าร่วมการแข่งขันนี้เพื่อวัดความแข็งแกร่งกับศิษย์เหล่านั้น”

“นี่…เอาจริง ๆ แล้วฉันน่ะไม่ได้แข็งแกร่งอะไร การเข้าร่วมงานชุมนุมคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก แต่ในฐานะที่ฉันเป็นเยาวชนคนหนึ่งและเป็นหนุ่มเลือดร้อน แน่นอนว่าฉันอยากจะเข้าร่วมการชุมนุมนี้” หวังเย่าครุ่นคิดสักพักก่อนจะพยักหน้าตอบรับ

เพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเอง งั้นเขาก็ต้องสู้ การชุมนุมครั้งนี้จะทำให้เขาได้ต่อสู้กับผู้คนมากมาย คู่ต่อสู้นั้นคือผู้เยาว์ที่ไม่รู้ว่าแข็งแกร่งเพียงใด มันจะทำให้ประสบการณ์ในการต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ดูเหมือนว่ารัฐบาลเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ยังไงซะการประมูลก็เป็นแค่การขายของ การเอาสินค้าจากทั้ง 36 เมืองมาที่นี้ น่าจะมีหลายพันชิ้น พวกเขาต้องใช้เวลา 2-3 วัน กว่าจะประมูลออกไปจนหมด ด้วยเวลาที่นานแบบนี้เพียงพอจะทำอย่างอื่นที่น่าสนใจด้วยได้

หากพวกสำนักลับได้ยาจิตวิญญาณหรือสมบัติจิตวิญญาณไป พวกเขาก็จะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายได้อย่างรวดเร็ว

หากเป็นเช่นนั้นมันก็ยากที่จะมองออกว่าทักษะต่อสู้ของใครเหนือกว่าใคร แค่องค์ประกอบเพียงเล็กน้อยก็อาจจะทำให้ผลลัพธ์เปลี่ยนแปลงไปได้

“พรุ่งนี้เราหาเวลาไปลงทะเบียนที่ศาลาว่าการกันดีกว่า” หวังเย่าอดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าสงสัยออกมา ตั้งแต่ที่อยู่ในเมืองนี้ เขายังไม่เคยไปยังศาลาว่าการของเมืองเลย