เมื่อหรี่ตามองผ่านกล้องส่องทางไกล กู่ฉิงซานก็สามารถมองเห็นสถานการณ์ภายในประตูเบื้องหน้าได้

 

งู

 

มันเป็นรังงูล่ะ!

 

ภายใต้สายตาของกู่ฉิงซาน ทั้งหมดที่เขาเห็นคืองูที่เลื้อยลด เกาะกลุ่มพัวพันกันอย่างหนาแน่น

 

ตลอดทั้งห้องเต็มไปด้วยงูกองพะเนินที่ซ้อนทับๆกัน เพียงแค่ได้มอง หนังศีรษะก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกด้านชา

 

แต่น่าฉงนนัก ที่งูเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะมีภูมิปัญญา

 

พวกมันขดตัวเข้าด้วยกัน ทั้งหมดกำลังยืดชูคอสูง สาดสายตามองมาที่ประตูด้วยความเย็นชา

 

คล้ายกับว่ากำลังเฝ้ารอให้ประตูถูกเปิดออก และเมื่อจังหวะนั้นมาถึง พวกมันก็จะกรูกันออกไป และโถมท่วมทับผู้ที่กล้าบุกรุกเข้ามา!

 

และงูเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

 

เพราะบนกายของพวกมัน ได้ปรากฏให้เห็นถึงพลังของธาตุต่างๆสลับๆกันไป

 

ไม่ว่าจะเป็น น้ำแข็ง , ไฟ , สายฟ้า , ลม , ความมืด และพิษ

 

พลังธาตุต่างๆถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ก่อให้เกิดกระแสวังวนพลังงานที่ดูสับสนวุ่นวาย

 

เมื่อประตูถูกเปิดออก ผู้บุกรุกคงมิแคล้วถูกดูดกลืนเข้าสู่กระแสวังวนดังกล่าว

 

หากผู้บุกรุกไม่มีความสามารถมากพอ เขาก็คงมิอาจหลบหนีไปจากมัน โชคชะตาคงไม่พ้นต้องตกเป็นอาหารของงู

 

สิ่งที่ต้องเผชิญเบื้องหน้านี้ คงจะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากมากทีเดียว

 

กู่ฉิงซานลองปรับเลนส์กล้องให้ยืดไกลออกไปอีกเล็กน้อย

 

แล้วฉากในห้องถัดไป ก็ปรากฏสู่สายตาของเขาผ่านกล้องส่องทางไกล

 

มันคือฝูงของวิญญาณชั่วร้ายที่กำลังต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงศพ แต่ละตนไม่มีตัวใดยินยอมแสดงความอ่อนแอออกมา

 

มองไปยังศพที่ถูกกัดแทะจนเหลือเพียงครึ่งร่าง ชัดเจนว่าคงจะเป็นรุ่นเยาว์บางคนที่เข้าร่วมการเรียกขานของวิหคหนามในครั้งนี้

 

มองลอดผ่านห้องที่สองไป กู่ฉิงซานก็เห็นอีกห้องหนึ่งที่เต็มไปด้วยวัวที่ลุกท่วมไปด้วยเปลวไฟ มันกำลังวิ่งวนไปรอบๆ ขณะเดียวกันสายตาก็คอยเหลือบมองมาทางบานประตูอยู่ตลอดเวลา

 

จากชั้นที่ 600 เขาคอยมองสำรวจมันผ่านกล้องไปเรื่อยๆจนถึงขั้นที่ 550

 

ที่นี่มีเผ่ามารตัวจริงบางตนอาศัยอยู่ ขณะนี้พวกมันกำลังไล่ตามสองชายกับหนึ่งหญิงอย่างไม่หยุดยั้ง

 

มองไปมองมา อาจแลคล้ายว่าทั้งสองกลุ่มนี้กำลังละเล่นวิ่งไล่จับกันอยู่

 

-แต่ที่เป็นแบบนั้น นั่นก็เพราะความแข็งแกร่งระหว่างทั้งสองฝ่ายมันห่างไกลกันมากเกินไปต่างหาก

 

ถ้ามิใช่เพราะสองชายหนึ่งหญิงที่ว่า มีไม้กางเขนเงินคอยสาดแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาปกป้องแล้วล่ะก็ พวกเขาคงจะถูกสังหารโดยเผ่ามารไปแล้ว!

 

อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปในลักษณะนี้ พลังของไม้กางเขนก็คงจะถดถอยลง และสลายลงไปในที่สุด

 

หลังจากนั้น พวกเขาก็คงจะถูกเผ่ามารจับกิน และแต้มพลังวิญญาณก็จะถูกดูดกลืนสู่เชื้อไฟ

 

“นี่มันดูจะไม่ใช่ปัญหาเล็กๆน้อยๆของทริสเต้ซะแล้ว แต่มันเป็นปัญหาใหญ่ของฉันต่างหาก”

 

กู่ฉิงซานบ่นพึมพำ

 

เมื่อตระหนักได้ถึงภารกิจของระบบเทพสงคราม กู่ฉิงซานก็ปรับเลนส์เจาะทะลุไปหลายร้อยชั้น มองลอดสังเกตไปในชั้นที่ 239

 

—ภายในชั้นนี้ มีผู้ที่เข้าสู่วิถีมารอยู่

 

เห็นแค่เพียงทรายดูดที่กระเพื่อมไหว บ้างสูงบ้างต่ำ ขยับเป็นคลื่นไปตลอดทั้งชั้น

 

มองไปยังเม็ดสายสีแดงไหม้ และชั้นอากาศที่ดูบิดเบี้ยว ก็พอจะคาดเดาได้ว่าอุณหภูมิในสถานที่นี้ นั้นสูงเพียงไร

 

ดูเหมือนว่าภายในชั้นนี้จะไม่มีอะไรเลยนอกจากทะเลทรายร้อนระอุ

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยกล้องส่องทางไกล กู่ฉิงซานจึงสามารถมองเห็นเข้าไปจนถึงส่วนลึกที่สุดของทรายดูด ที่ซึ่งมีชายคนหนึ่งซุ่มซ่อนตัวอยู่ภายใน

 

ชายผู้นั้นถือดาบยาวสีกระจ่างใสดั่งหิมะ ยืนนิ่งอยู่เบื้องล่างของทรายดูด

 

แล้วจังหวะนั้นเอง ก็บังเอิญมีประตูถูกเปิดขึ้นเหนือทะเลทราย

 

พร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถือเคียวในมือกระโดดลงมาจากประตู

 

“ฮะฮ่า! ในที่สุดฉันก็ก้าวลงมาได้อีกระดับหนึ่งแล้ว!”

 

เขาหัวเราะเสียงดัง

 

แต่ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางความเงียบ จู่ๆก็บังเกิดเส้นแสงบางเบาราวกับผ้าไหม กระพริบวาบ! ผ่านร่างของเขาไปอย่างกระทันหัน

 

ชายหนุ่มคนดังกล่าวแข็งค้างไปตลอดทั้งร่าง

 

วินาทีต่อมา หัวของเขาก็ร่วงตกลงไปในทะเลทราย ขณะที่ร่างของเขาถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนทั้งๆที่ยังอยู่กลางอากาศ

 

ชิ้งงงง ..

 

ดาบบินมุดกลับไปเข้าไปทรายดูด และตกลงในมือของคนที่ซ่อนตัวอยู่ในพื้นทรายที่ได้อธิบายไปในตอนแรก

 

เขาคว้าจับดาบบิน สองตาค่อยๆปิดลง และกลับคืนสู่สภาะตัดขาดกลิ่นอายอีกครั้ง

 

แล้วกู่ฉิงซานก็สังเกตเห็นว่า ใต้ฝ่าเท้าของผู้ฝึกดาบคนนั้น มีบานประตูไม้ตั้งอยู่

 

บนบานประตูไม้ มีแถบตัวเลขเขียนอยู่ว่า : 238

 

แท้จริงแล้ว กลับกลายเป็นว่าเดิมทีตำแหน่งที่คนๆนั้นยืนอยู่คือประตูสู่ชั้นถัดไปนั่นเอง

 

ทว่าเขากลับเลือกแฝงตัวอยู่ที่นี่อย่างเงียบๆ ไม่ยินยอมลงไป ขณะเดียวกันก็ไม่ปล่อยให้ใครผ่านสถานที่แห่งนี้ไปเช่นกัน

 

‘หืม? เป็นนักฆ่าที่อำมหิตไม่เบาเลยนี่’ กู่ฉิงซานลอบประเมินอีกฝ่าย

 

“ระบบ คนที่ถูกฆ่าโดยชายผู้เข้าสู่วิถีมารคนนั้น เขาได้ทำการโหลดเชื้อไฟมาไหม?”

 

ระบบเทพสงครามตอบ “หากเป็นคนธรรมดาเกินไป เชื้อไฟจะเก็บพวกเขาไว้ใช้เป็นอาหารเท่านั้น”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

สายตาของกู่ฉิงซานไม่ได้หยุดลงเพียงแค่นี้

 

เขายังคงหมุนเลนส์ยาวต่อไป กวาดสายตามองสำรวจตลอดทั้ง 600 ชั้น

 

แล้วฉากต่างๆก็ปรากฏสู่สายตา ไม่ว่าจะเป็น บึงที่เต็มไปด้วยโคลนและกระดูก , ป่าลึกลับ , สระลาวาเดือด และเมืองเผ่ามาร …

 

ในบางชั้น กู่ฉิงซานก็ยังเห็นว่ามีผู้คนมากมายยังคงดิ้นรนต่อสู้อยู่

 

ท้ายที่สุดนี้ ต้องไม่ลืมนะว่ามีผู้คนมากมายจากโลกตลอดทั้ง 900 ล้านชั้นที่ตอบรับการเรียกขานของวิหคหนาม

 

กู่ฉิงซานเห็นคนหนึ่งที่พึ่งถูกกินโดยมอนสเตอร์ไป ทั้งๆที่คนๆนั้นยังมีชีวิตอยู่

 

แต่น่าเสียดาย ที่นั่นมันเป็นชั้นที่ 97 และอยู่ไกลเกินกว่าที่กู่ฉิงซานจะไปช่วยชีวิตได้

 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “ถ้าคนพวกนี้ตายลงในตัวตึก แต้มพลังวิญญาณจะถูกดูดซับไปโดยเชื้อไฟไหม?”

 

“แน่นอนว่าใช่ เชื้อไฟสามารถซึมซับแต้มพลังวิญญาณของคนที่ตกตายลงทั้งหมดในโลกแห่งนี้ได้” ระบบเทพสงครามตอบ

 

“แต่ฉันกำลังรีบอยู่ ถ้าฉันไม่เลือกที่จะไม่ช่วยพวกเขาเลย มันจะเป็นอะไรไหม?”

 

“คุณไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือคนเหล่านี้ก็ได้ แต่หากสิ่งมีชีวิตในตลอดทั้งสิ่งปลูกสร้าง 600 ชั้นนี้ตายลง ก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงทีเดียวที่เชื้อไฟจะได้รับพลังมากพอจนเกิดการวิวัฒนาการ”

 

กู่ฉิงซานไม่พูดอีกต่อไป

 

เขาหมุนเลนส์ยาวกลับ ถอนสายตาคืนมาสำรวจชั้นที่ 550 อีกครั้ง

 

สองชายหนึ่งหญิงที่กำลังหลบหนี เริ่มตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแล้ว

 

เผ่ามารใกล้จะทำลายการป้องกันของกางเขนเงินสำเร็จในไม่ช้า

 

กู่ฉิงซานถอนสายตาออก ปากอ้าผ่อนลมหายใจยาว

 

ถ้าอย่างงั้นในกรณีนี้ เขาคงจำเป็นต้องช่วยเหลือทุกคน – แต่ขณะเดียวกันตนก็ไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น …

 

“ทำไมเจ้าถึงได้ดูผิดหวังนัก? ไอเท็มของเรามันใช้งานได้ไม่ดีหรือ?” ลอร่าเอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานส่ายหน้าและยื่นกล้องส่องทางไกลคืนให้แก่ลอร่า

 

“เปล่าหรอก กระหม่อมแค่ยังหาแฟนสาวไม่พบน่ะ”

 

“นั่นเป็นข่าวร้ายจริงๆ” ลอร่าแสดงท่าทีเห็นใจ

 

กู่ฉิงซานลองขบคิดดูเล็กน้อย

 

ว่าถ้าหากตนลงมือช่วยเหลือผู้คนในตัวตึก ตนเองก็จะล่าช้า และกินเวลานานเกินไป

 

ทว่าหากละทิ้งพวกเขาไว้เฉยๆ ตนก็ไม่สามารถทำได้

 

เพราะเชื้อไฟจะได้รับแต้มพลังวิญญาณของพวกเขา และความน่าจะเป็นในการวิวัฒนาการของมันก็จะพุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมาก

 

ในระหว่างที่กำลังลังเล กู่ฉิงซานก็หันไปเห็นข้อมูลบนหน้าต่างระบบเทพสงครามอย่างไม่ตั้งใจ

 

“ภารกิจแรก : วิหค ได้ถูกปล่อยออกมาแล้ว!”

 

กู่ฉิงซานชะงักไป

 

ขณะเดียวกันก็เกิดประกายบางอย่าง วาบผ่านเข้ามาในจิตใจของเขา

 

จริงสิ แต่เดิม เป็นเพราะตนรู้สึกว่า ตึก 600 ชั้นนี้มีความซับซ้อนและยุ่งยากเป็นอย่างยิ่ง และคงมีเพียงวิหคเท่านั้นที่จะสามารถละเลยทุกสิ่ง และโผบินจากตึกไปได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งใด ดังนั้นมันจึงได้ถูกตั้งเป็นชื่อของภารกิจ

 

แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะต้องขอบคุณสมองของตน ที่ได้ตั้ง ‘วิหค’ เป็นชื่อภารกิจซะแล้ว

 

เขาชักดาบขุนเขาเทวะหกโลกาออกมา และค่อยๆตัดมันเป็นรูปสี่เหลี่ยมอย่างช้าๆบนพื้นดิน

 

แล้วปากทางเข้าในชั้นที่ 600 ก็เปิดออก

 

“เปิดช่องว่างทิ้งไว้แบบนั้นทำไมกัน? นั่นเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?”

 

ลอร่าเอ่ยถาม

 

“มันก็เป็นแค่การทดลองเล็กๆน้อยๆน่ะ” กู่ฉิงซานตอบ ขณะเดียวกันก็มองลึกเข้าไปในหลุมบนพื้น

 

“ดาบของเจ้าไม่เลวเลย การที่อาวุธเย็นสามารถเจาะทำลายกำแพงของโลกได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ นับว่าเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากจริงๆ” ลอร่ากล่าวด้วยความสนใจ

 

กู่ฉิงซานไม่ตอบเธอ เขาแค่เพียงลอบผ่อนคลายในหัวใจ

 

ช่วงก่อนหน้านี้ เขาเคยถูกขัง ติดอยู่ในกับดักการคุ้มภัยของจอมมารทะเลเลือดมาแล้ว และกว่าจะออกมาได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย

 

ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น กู่ฉิงซานต้องแสร้งทำเป็นหลับ ไร้ซึ่งการป้องกัน แต่ด้วยการแสดงที่สมบูรณ์แบบนั้น ทำให้เขาต้องติดแหง่กไปโดยสมบูรณ์

 

แต่มาคราวนี้ เขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นแล้ว ตอนนี้แหละ! คือช่วงเวลาที่สามารถทำลายข้าวของได้อย่างสบายใจล่ะ!

 

โชคยังดีที่คราวนี้ พลังศักดิ์สิทธิ์ในการแหกกฏเกณฑ์ของดาบขุนเขาเทวะหกโลกามีผลโดยสมบูรณ์ มันสามารถตัดกำแพงของตึก 600 ชั้นนี้ได้โดยตรง และคงสภาพที่ตัดผ่านไว้ดังเดิม (ไม่เหมือนกับการแสดงผลของไพ่จอมมารคุ้มภัย ที่ตัดแล้วคงสภาพไว้ไม่ได้)

 

หากเป็นแบบนี้ กู่ฉิงซานคิดว่า เขาก็น่าจะสามารถลงมือตามแผนในหัวของตนได้

 

ซี่ ซี่ ซี่ ซี่ ~

 

เสียงขู่ฟ่อดังขึ้นออกมาจากช่องว่างที่กู่ฉิงซานพึ่งเปิดมัน

 

ภายในรังงู คลื่นความผันผวนของพลังธาตุเริ่มที่จะเกิดความโกลาหล

 

“นั่นมันเสียงอะไรกันน่ะ? มีอะไรอยู่ภายในนั้นหรอ?” ลอร่าถามเสียงดัง

 

เธอนี่ช่างเป็นเด็กสาวขี้กังวล รู้สึกตื่นตระหนกอยู่เสมอๆจริงๆ

 

“มันไม่เหมาะสมที่จะให้เด็กๆดูหรอกนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

แต่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ลอร่ารีบยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาทันที เพื่อต้องการที่จะเห็นว่ามันคือสิ่งใด

 

แต่กู่ฉิงซานใช้มือหยุดมันเอาไว้ซะก่อน

 

“ไม่มองจะดีกว่านะ”

 

“ทำไมกัน?”

 

“เอาเถอะหน่า ไม่ต้องมองหรอก เพราะพวกมันไม่ใช่สิ่งที่สาวน้อยน่ารักควรจะให้ความสนใจเลย”

 

กล่าวจบ กู่ฉิงซานก็ทำการเปลี่ยนสมญาเทพสงครามของเขาเป็น ‘ไพ่ตายนักฆ่า’

 

“สมญา : ไพ่ตายนักฆ่า”

 

“เมื่อสวมใส่สมญานี้ จะได้รับสกิลพิเศษ : เก็บเกี่ยว(ขั้นสูง)”

 

“เก็บเกี่ยว(ขั้นสูง) : เมื่อใดก็ตามที่คุณสามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้ในกระบวนท่าเดียว พลังวิญญาณที่สูญเสียไปในการโจมตีครั้งนั้นจะถูกฟื้นฟูกลับมาจนเต็มดังเดิม”

 

-ด้วยวิธีนี้ มันจะช่วยรับประกันได้ว่าพลังวิญญาณของเขาจะไม่สูญเสียไป

 

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระอีกครั้ง

 

เห็นแค่เพียงชุดเกราะที่เต็มไปด้วยร่องรอยเสียหายบินออกมา

 

มันคือเกราะรบต่อสู้ของนายพลชั้นโหยวจี

 

ครั้งหนึ่ง เคยมีผู้คนมากมายเอ่ยถาม

 

—ว่าเพราะเหตุใดสีของเกราะรบนายพลจึงโดดเด่นนัก โดดเด่นถึงเพียงนี้แล้วในยามที่อยู่ในสนามรบ ในด้านความปลอดภัยของนายพลมันจะไม่เป็นปัญหาเอาหรือ?

 

ในเวลานั้น นางเซียนไป่ฮั่วได้ตอบกลับไปเพียงประโยคเดียว ก็สามารถหุบปากของเหล่าผู้คนทั้งหมดที่ตั้งคำถามลงได้ในทันที

 

“ย่อมแน่นอนว่านั่นเป็นการจงใจ เพราะมีเพียงผู้ฝึกยุทธที่แกร่งพอจะแบกรับการโจมตีจากศัตรูได้เท่านั้น จึงจะเหมาะสมที่จะสวมใส่เกราะรบชั้นนายพล”

 

เกราะรบพลันกระจายตัวออกทันใด แต่ละชิ้น แต่ละส่วนราวกับมีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง ดูคล้ายกับปลาที่แหวกว่ายในสายธาร ชิ้นแล้วชิ้นเล่าเริ่มโคจรเข้ามาประกบติดกับส่วนต่างๆของร่างกายกู่ฉิงซาน

 

ชุดเกราะรบนายพลโหยวจีนี้ โดยรวมแล้วประกอบไปด้วย เกราะอก เกราะไหล่ เกราะแขน เกราะมือ เข็มขัด เกราะเข่า เกราะขา ฯลฯ แต่ละชิ้นส่วนล้วนดูเรียบง่าย มิได้รับการตกแต่งใดๆเป็นพิเศษ ทว่าภายในกลับสลักไปด้วยอักษรรูนโบราณที่ดูลึกลับซับซ้อน

 

แม้เกราะรบจะมีสีทองแลดูองอาจอยู่แล้ว แต่เมื่อมันถูกสวมใส่ลงโดยกู่ฉิงซาน มันกลับส่งคลื่นความผันผวนอันคงกระพันออกมาอย่างมิอาจอธิบายได้

 

ลอร่าประเมินชุดเกราะของเขา และเอ่ยแสดงความคิดเห็น “เป็นชุดของเล่นที่งดงามไม่เลวเลยนี่”

 

“ของเล่นงั้นหรือ?”

 

“ใช่ เกราะนี่มันเลวร้ายเกินไป มันแย่กว่าดาบของเจ้าอย่างเทียบไม่ติดเลย” ลอร่าวิจารย์จุกจิก

 

“แต่อย่างน้อยมันก็ยังใช้งานได้นะ”

 

ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ยกลอร่าลงจากไหล่ และวางเธอลงบนอกเขา

 

ก่อนจะหยิบเชือกยาวออกมา และเริ่มมัดลอร่าเข้ากับตนเอง

 

“นี่เจ้าคิดจะทำอะไร?” ลอร่าเริ่มหวาดระแวง

 

“ที่ต้องทำแบบนี้ก็เพื่อที่ฝ่าบาทจะได้ไม่แยกจากกระหม่อมในระหว่างการต่อสู้ขั้นรุนแรงไง โปรดวางใจเถิด กระหม่อมได้ให้คำมั่นสาบานไปแล้ว ว่าจะนำพระองค์ออกไปจากที่แห่งนี้ให้จงได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

มือของเขาวูบไหวอย่างรวดเร็ว แล้วเชือกก็ผูกติดทั้งสองเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์

 

โอเคมันแน่นแล้ว ดีมาก

 

-ทีนี้ก็ไม่ต้องมากังวลว่าลอร่าจะตกลงกลางทางแล้ว

 

เขาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

 

“เหตุใดเราจึงรู้สึกคล้ายว่าเจ้ากำลังมีบางสิ่งปิดซ่อนจากเราอยู่กันนะ?” ลอร่าบ่นด้วยความสงสัย

 

“มีซะที่ไหนกันเล่า”

 

กู่ฉิงซานยิ้มแหะๆ และเร่งเดินตรงไปยังขอบระเบียงของสิ่งปลูกสร้าง 600 ชั้นอย่างรวดเร็ว

 

“ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้น่ะ ก็เป็นแค่ฉากของวิหคที่จะโผบินก็เท่านั้นเอง”

 

ว่าจบ หน้ากากเงินก็ถูกสวมทับลงบนใบหน้า … เพียงเท่านี้เกราะรบชิ้นสุดท้ายก็ถูกสวมใส่โดยสมบูรณ์แล้ว

 

ลอร่าเหมือนจะตระหนักได้ถึงบางสิ่ง เธอเริ่มตะโกนโวยวาย “ช้าก่อน เจ้าก็รู้ว่าเรากลัวความสูง ทำไมพวกเราไม่คิดหาวิธีอ — อ๊าาาาา กู่ฉิงซาน เราเกลียดเจ้า!”

 

ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของลอร่า กู่ฉิงซานกระโดดลงจากตัวตึก

 

ทั้งสองร่วงตกลงมาอย่างรวดเร็ว ภายในหูอื้ออึงไปด้วยเสียงหอนของสายลมและหิมะ

 

พริบตาเดียวกู่ฉิงซานก็สามารถข้ามผ่านหลายสิบชั้นของตัวตึกมาได้อย่างรวดเร็ว

 

—ด้วยวิธีนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับมันไปทีละชั้น ทีละชั้น แถมยังประหยัดเวลาได้เป็นอย่างมากอีกด้วย

 

และแทบจะในทันที บนหน้าต่างเชื้อไฟ ปรากฏบรรทัดตัวอักษรกระพริบไหวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

และบรรทัดอักษรเหล่านั้นก็แปลงเป็นคำพูดในทันที

 

“โปรดกลับไปยังยอดบนสุดของสิ่งปลูกสร้างทันที!”

 

“โปรดกลับไปยังยอดบนสุดของสิ่งปลูกสร้างทันที!”

 

“คุณไม่สามารถกระโดดลงจากตัวสิ่งปลูกสร้างโดยตรงได้ มิฉะนั้นแล้วคุณจะไม่ได้รับรางวัลจากทริสเต้!”

 

“รางวัลงั้นหรอ? ฉันไม่ต้องการรางวัลหรอก” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“แต่ถ้าคุณกระโดดลงมาแบบนี้ คุณก็จะไม่ได้รับแต้มพลังวิญญาณใดๆเลยนะ”

 

เชื้อไฟกล่าวต่อว่า “โปรดไตร่ตรองถึงปัญหานี้อย่างจริงจังด้วย เพราะหากไม่มีแต้มพลังวิญญาณ คุณก็จะไม่ได้รับอะไรเลย!!”

 

หากไม่มีแต้มพลังวิญญาณ …

 

กู่ฉิงซานนิ่งงันไม่ตอบสนองไปครู่

 

แล้วจู่ๆทันใดนั้นก็มีดาบปรากฏขึ้นในมือของเขา

 

-ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา

 

“ชั้นที่ 550 … อยู่ตรงนี้สินะ!” กู่ฉิงซานตะโกนเสียงต่ำ

 

พร้อมกับดาบที่วูบไหว

 

—เทคนิคลับแห่งดาบ : ฝ่าวารีเชี่ยว!

 

บังเกิดรังสีดาบอันไพศาล ควบแน่นจับตัวกันเป็นกลุ่มก้อน พุ่งเข้าเจาะกำแพงส่วนนอกของตัวตึกอย่างรวดเร็ว

 

ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง!

 

พร้อมด้วยเสียงระเบิดปะทะที่กึกก้องราวกับฟ้าร้อง กำแพงขนาดใหญ่ด้านนอกของชั้นที่ 550 เกิดการระเบิด เปิดช่องว่างแยกออกทันใด

 

สายลมและหิมะหวีดหวิวเข้าไปภายใน

 

กู่ฉิงซานผละดาบขุนเขาเทวะหกโลกา แล้วคว้าจับดาบพิภพออกมาแทนที่

 

ทันใดนั้น ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็หายวับไปอย่างกระทันหัน

 

และเกือบจะในเวลาเดียวกัน ก็บังเกิดเสียงกรีดร้องร้ายแรงดังออกมาจากช่องกำแพงที่พึ่งถูกเปิดออก

 

ตามมาด้วยเสียงล้มตึงหนักทึบ ต่อด้วยเสียงโห่ร้องร่ำไห้ด้วยความปิติยินดี

 

หนึ่งลมหายใจต่อมา กู่ฉิงซานก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งภายนอกตัวตึก

 

เชายังคงร่วงตกลงไป

 

ขณะที่เลือดบนใบดาบถูกกระแสลมเป่า พัดกระจายไปกับสายลมและหิมะ

 

กู่ฉิงซานกุมดาบไว้ในมือข้างหนึ่ง ขณะที่อีกข้างโอบกอดลอร่าที่กำลังสั่นเทา

 

เขาหันไปกล่าวกับเชื้อไฟ “เป็นไง แค่นี้ฉันก็ได้รับแต้มพลังวิญญาณแล้วเห็นไหม”