ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 44
แต่หากจักรพรรดิเหลียงไม่ตาย เซี่ยจื่ออานก็ต้องเป็นลูกสะใภ้ของตน นึกถึงตรงนี้นางก็เกลียดชังเธอที่สุด
หวงไท่โฮ่วส่งหมอหลวงและหยวนพ่านเข้าไปในวังแล้วหลายคน กุ้ยไท่เฟยและฮองเฮาเองก็เข้าไปด้วยกัน
ส่วนมู่หรงเจี๋ย หวงไท่โฮ่วให้เขาคอยดูอยู่ที่นี่ ความหมายก็คือ ไม่อยากให้เขาได้ยิน
หวงไท่โฮ่วนั่งอยู่ตรงกลางมีสีหน้าซีดเซียว “เจ้าว่ามาสิ ตอนนี้อาการของจักรพรรดิเหลียงตกลงเป็นไงกันแน่? พวกเจ้าบรรดาหมอหลวงมีทางหรือไม่?”
หยวนพ่านลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในสมองเปรียบเทียบระหว่างผลดีและผลร้าย เขาไม่มีทางเลือกแล้ว อาการป่วยของจักรพรรดิเหลียงยังวนอยู่ที่เดิม และหากแสดงอาการออกมาอีกครั้งหนึ่ง สิ่งที่เห็นมาทั้งหมดเมื่อครู่ คำพูดที่ว่าขาดออกซิเจนอะไรนั่นเขาก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน เพราะงั้นจึงไม่สามารถฝากความหวังไว้กับหญิงสาวคนหนึ่งได้ และที่สำคัญนางยังอวดอ้างตนว่าเป็นผู้สืบทอดของเวินอี้อีก ช่างเหลวงไหลสิ้นดี
อาการของจักรพรรดิเหลียง แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ว่าจากสีหน้าและการตรวจวัดชีพจรการหายใจแล้ว ไม่ค่อยจะดีแล้ว เขาไม่เชื่อว่าเซี่ยจื่ออานจะพลิกสถานการณ์ได้
“พูดสิ!” หวงไท่โฮ่วไล่มองแต่ละคนที่เอาแต่ปิดปากไม่ยอมพูด จึงโมโหขึ้นมา “อาการเป็นอย่างไรก็แค่พูดมาตรง ๆ ต่อให้จะเป็นคำพูดที่เลวร้ายที่สุด ข้าก็จะอภัยความผิดให้พวกเจ้า ข้าแค่อยากรู้อาการของหลานข้าตอนนี้”
หยวนพ่านคุกเข่าลง เงยหน้าและพูดอย่างตรงไปตรงมา “จากที่หวงไท่โฮ่วถามมา ในเมื่อเป็นแบบนี้ หม่อมฉันก็จะรายงานไปตามตรง อาการขององค์จักรพรรดิเข้าขั้นวิกฤติมาก โดยเฉพาะตอนนี้พระองค์หายใจไม่คล่อง ชีพจรก็อ่อนแรงลงเรื่อย ๆ มือและเท้าเย็น บางครั้งก็เป็นสีขาวซีดบางครั้งก็เป็นสีม่วงคล้ำ มันเกินกำลังหม่อมฉันไปแล้ว”
หลังจากที่ฮองเฮาได้ฟังหมอหลวงไป ก็รู้สึกเหมือนโลกจะหมุน ตรงหน้ามืดมิด จนเธอเกือบจะเป็นลมไป
นางเอามือมาบังหน้าไว้ และเริ่มร้องไห้ออกมาแบบไม่มีเสียง
สีหน้าท่าทีของหวงไท่โฮ่วเองก็เศร้าโศกเสียใจมาก ปากของนางสั่นอยู่หลายครั้ง นางจ้องไปที่หยวนพ่าน “ไม่มีหนทางใดจริง ๆ รึ?”
หยวนพ่านกล่าวด้วยความลำบากใจ “หวงไท่โฮ่วพ่ะย่ะค่ะ อาการขององค์จักรพรรดิเหลียงค่อนข้างวิกฤติ พวกหม่อมฉันเองก็หมดหนทางแล้วเช่นกัน พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าคาดว่า ยังมีเวลาอีกประมาณเท่าใด?” หวงไท่โฮ่วถามกลับ
หยวนพ่านกล่าว “หม่อมฉันคาดว่า คงจะไม่พ้นพรุ่งนี้เช้า พ่ะย่ะค่ะ”
หวงไท่โฮ่วถอนลมหายใจออกมายาว ๆ และลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงน กุ้ยไท่เฟยรีบเข้าไปพยุงไว้ “เสร็จพี่อย่าเศร้าใจไปเลยเพคะ ซินเอ๋อร์เป็นคนมีบุญ พระเจ้าจะต้องคุ้มครอง”
ในตาของหวงไท่โฮ่วหลั่งน้ำตาออกมาสองหยดอย่างเงียบงัน ท่าทางดูอ่อนแรง เป็นเวลานานจนกว่านางจะกล่าวไปว่า “ออกคำสั่งไปว่า เตรียมเรื่องหลังความตายให้พร้อมเถอะ”
ฮองเฮาลุกขึ้นยืนอย่างตกใจ “ไม่นะเพคะเสด็จแม่ เซี่ยจื่ออานนั่นบอกว่ามีหนทางไม่ใช่เหรอเพคะ? นางยังบอกอีกว่าสามวันหลังจากนั้น อาซินจะอาการดีขึ้น การเตรียมพร้อมเรื่องหลังความตาย จะเตรียมก่อนไม่ได้นะเพคะ หากเซี่ยจื่ออาน…”
หวงไท่โฮ่วตวาดตัดบทนางไป “ข้าเห็นว่าเจ้ากังวลและสับสนแล้ว สำนักหมอหลวงที่ใหญ่ที่สุดยังรักษาให้หายดีไม่ได้ แล้วเจ้าว่าหญิงสาวที่เก็บตัวอยู่ในห้องจะรักษาให้หายได้? เจ้านี่พูดไปเรื่อย หากหลุดออกไป ผู้คนคงหัวเราะกันจนเห็นฟัน
เจ้ายังเป็นฮองเฮาองค์ปัจจุบันอยู่นะ แต่ไปเชื่อหญิงสาวที่พูดจาไร้สาระที่อาจมีเจตนาร้ายแฝงอยู่ ปัญญาของเจ้ามันไปอยู่ที่ไหนหมด? เจ้ายังเป็นแม่ขององค์รัชทายาท หากพูดออกไป เกียรติยศของเจ้าและองค์รัชทายาทได้พังทลายแน่ คราหน้าข้าจะส่งเซี่ยจื่ออานออกไป อาเจี๋ยก็เหลือเกินจริง ๆ เชื่อคำพูดของนางไปได้อย่างไร?”
นางพูดจบประโยคสุดท้ายนี้ ก็กวาดตามองกุ้ยไท่เฟยอย่างเฉยเมย กุ้ยไท่เฟยก้มหน้าลง ไม่กล้าออกปากออกเสียง แต่สีหน้ากลับดูไม่ค่อยดี
ฮองเฮาร้องไห้คร่ำครวญอย่างเศร้าโศกเสียใจ สะอื้นไห้พลางพูดว่า “เสด็จแม่ หม่อมฉันไม่สนว่าคนรอบข้างจะพูดอะไร ยังไงเซี่ยจื่ออานก็บอกว่าสามารถช่วยชีวิตจักรพรรดิได้ หม่อมฉันก็พร้อมใจที่จะกอดความหวังนี้ไว้ และอีกอย่าง ท่านอ๋องเองก็รับปากจะให้เซี่ยจื่ออานได้อยู่ที่นี่สามวัน ใยไม่ให้เวลานางสักสามวันล่ะเพคะ? ต่อให้จะมีความหวังอีกเพียงเสี้ยวเดียว หม่อมฉันก็ไม่อยากยอมแพ้เพคะ”
พูดจบก็ร้องไห้อย่างเจ็บปวดออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็คุกเข่าลงพร้อมพูดว่า “เสด็จแม่เพคะ อาซินก็เป็นหลานที่เสด็จแม่รักมากที่สุดนะเพคะ เสด็จแม่ทนได้ที่จะส่งหลานไปตายก่อนจริง ๆ เหรอเพคะ?”
หวงไท่โฮ่วได้ฟังก็เจ็บปวดใจอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ ความจริงแล้ว มู่หรงซินเป็นหลานชายที่นางรักมากที่สุด เด็กคนนี้ลำบากมาตั้งแต่เด็ก ๆ เพิ่งจะถูกล้มงานแต่งไป แล้วยังจะเป็นโรคนี้อีก หากต้องตายไปแบบนี้จริง ๆ ตนจะตายตาหลับหรือ?