บทที่ 357 เขาเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง / บทที่ 358 ได้ของดีราคาถูกแต่กลับพูดว่าตัวเองเสียเปรียบ

แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี

บทที่ 357 เขาเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง / บทที่ 358 ได้ของดีราคาถูกแต่กลับพูดว่าตัวเองเสียเปรียบ Ink Stone_Romance

บทที่ 357 เขาเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง

“อ๊ะ…นายท่าน…ขอ…ขอโทษครับ…”

เหยียบพลาด…

เมื่อกี้นี้ได้ยินว่าเยี่ยหวันหวั่นบอกจะพานายท่านไปพบพ่อแม่ ด้วยความตกใจสวี่อี้เลยไม่ทันระวังเผลอเหยียบคันเร่งลงไป

สวี่อี้ตกใจเสียจนลนลาน รีบร้อนเก็บโทรศัพท์ที่ตกลงจากมือนายท่านส่งกลับไปด้วยมือที่สั่นระริก

จากนั้นเงยหน้าขึ้นก็พบว่า…ใบหน้าของเจ้านาย…เผยอารมณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนออกมา…

คล้ายกับเจอศัตรูตัวฉกาจ ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับเรื่องที่รับมือยากมากๆ

แต่ว่าสิ่งที่มั่นใจได้ก็คือ ไม่ได้มีสัญญาณของความโกรธอยู่

ฟู่ว คงไม่ใช่เพราะนายท่านต้องไปเจอกับพ่อตาแม่ยายเลยตื่นเต้นหรอกมั้ง?

สวี่อี้รีบสะบัดศีรษะไล่ความคิดไร้สาระในสมองออกไป “อะแฮ่ม นายท่าน จะรอคุณหนูเยี่ยไหมครับ?”

“กลับสวนจิ่นหยวน”

“ครับ”

งานเลี้ยงฉลองดำเนินมาถึงช่วงท้ายแล้ว บรรดาแขกทั้งหลายทยอยจากไป

เยี่ยอีอีและกู้เยว่เจ๋อฝีนปั้นหน้าส่งแขกอยู่ที่ประตู

เวลานี้ในชาติที่แล้ว ทั้งสองคนได้ประกาศข่าวการหมั้นหมายและกำลังรับคำอวยพรจากผู้คนทั้งหลาย ทว่าเวลานี้กลับได้เพียงสายตาประหลาดจากแขกทั้งหลาย

……

งานเลี้ยงดำเนินมาถึงช่วงท้าย แขกเหรื่อทั้งหลายจึงทยอยกันกลับบ้าน

เยี่ยอีอีและกู้เยว่เจ๋อกำลังฝืนปั้นหน้าส่งแขกอยู่ที่หน้าประตู

เวลานี้ในชาติก่อน ทั้งสองได้ประกาศข่าวการหมั้นหมายและกำลังรับคำอวยพรจากผู้คน ทว่าเวลานี้ สิ่งที่ได้มีเพียงสายตาแปลกประหลาดจากบรรดาแขกทั้งหลาย

เยี่ยหวันหวั่นเดินออกมาจากบ้านใหญ่ หางตาเห็นรถสีดำคันหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลกำลังเคลื่อนออกไป รู้สึกกังวลขึ้นมาแวบหนึ่ง

รถคันนั้น…ทำไมดูคุ้นตาเหลือเกิน…

“หวันหวั่น เป็นอะไรไปลูก” เหลียงหวั่นจวินถามขึ้น

“แม่ ไม่มีอะไรค่ะ” เยี่ยหวันหวั่นส่ายหน้า จากนั้นกุมมือมารดาเอ่ยว่า “พ่อคะแม่คะ พวกเรากลับบ้านกันเถอะค่ะ สัมภาระของพ่อกับแม่ หนูให้คนย้ายไปไว้ที่บ้านเรียบร้อยแล้ว!”

เหลียงหวั่นจวินได้ยินดังนั้น ส่งสายเป็นกังวลมองไปทางเยี่ยหวันหวั่น “หวันหวั่น…ลูกไถ่บ้านกลับมาแล้วจริงเหรอ?”

เยี่ยเส่าถิงเอ่ยก็เอ่ยเสียงหนักใจ “จากที่พ่อรู้ หลังจากงานประมูลบ้างหลังนั้นถูกฉู่หงกวงซื้อไป…”

เยี่ยหวันหวั่นผงกศีรษะ “ถูกต้อง หนูไถ่กลับมาจากมือของฉู่หงกวงนั่นแหละค่ะ”

เยี่ยเส่าถิงได้ยินดังนั้น หน้าตาพลันตื่นตกใจ “อะไรนะ? ไอ้จิ้งจอกเฒ่านั่น ลูกทำได้อย่างไร…”

เยี่ยหวันหวั่นรู้ว่าพ่อแม่กำลังกังวลเรื่องอะไร จึงส่งสายตาให้ทั้งสองสบายใจ “พ่อคะแม่คะ สบายใจได้ หนูได้บ้านมาอย่างถูกต้อง ไว้หนูจะเล่ารายละเอียดให้พ่อแม่ฟังนะคะ”

เหลียงหวั่นจวินกับเยี่ยเส่าถิงเห็นท่าทางหนักแน่นของลูกสาว ภายในใจก็สงบลงอย่างประหลาด จึงพยักหน้า

เยี่ยมู่ฝานยืนอยู่ด้านข้าง ไม่รู้ด้วยสาเหตุใดสมองพลันนึกถึงสิ่งที่เยี่ยหวันหวั่นพูดกับตนเองทางโทรศัพท์ในวันนั้น ต่อไปฉันจะปกป้องพ่อกับแม่เอง ความแค้นของตระกูลเยี่ย ฉันจะเป็นคนชำระให้เอง…

เวลานั้นเขาแค่รู้สึกว่าเธอพูดเพ้อฝันถึงสิ่งที่ไม่มีทางเป็นจริง ไร้เดียงสาเกินไป หรืออาจจะเป็นความรู้สึกชั่ววูบ แต่คิดไม่ถึงว่า เวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น เธอไม่เพียงแค่พูดออกมา ยังลงมือทำแล้วจริงๆ อีกทั้งยังทำได้ถึงขั้นนี้แล้ว…

ไม่รู้ว่าเหลียงหวั่นจวินคิดอะไรได้ เอ่ยถามอย่างอึกอักขึ้น “หวันหวั่นลูก สถานการณ์ของบ้านเราเป็นแบบนี้ แฟนของลูกรู้หรือเปล่า?”

เยี่ยหวันหวั่นพยักหน้า “ค่ะ เขารู้ค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นเขาไม่ถือสาเหรอ?” สิ่งที่เหลียงหวั่นจวินกับเยี่ยเส่าถิงกังวลที่สุดคือด้วยเหตุผลของที่บ้านส่งผลกระทบถึงความสุขของลูกสาว

เพื่อให้พ่อแม่สบายใจ เยี่ยหวันหวั่นลอบคิดอยู่แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยออกไปอย่างชัดเจน “พ่อแม่ สบายใจได้ เขาไม่ใช่คนในวงการเดียวกับเรา เป็นแค่…คนธรรมดาคนหนึ่ง พนักงานออฟฟิศธรรมดา เป็นคนซื่อสัตย์จริงใจมาก หน้าตาก็ไม่มีพิษมีภัย”

เยี่ยหวันหวั่นรู้สึกว่า คำโกหกครั้งนี้อาจจะต้องใช้ความสามารถทั้งชีวิตของเธอแล้ว…

เยี่ยเส่าถิงฟังจบก็รู้สึกวางใจจริงๆ  เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าสบายใจ “ดี…คนธรรมดาดีแล้ว! ไม่ต้องร่ำรวยมีฐานะ ต่อให้หน้าตาบ้านๆ ก็ไม่เป็นอะไร ขอแค่เขาดีกับลูกก็พอแล้ว”

เหลียงหวั่นจวินเองก็พึงพอใจมาก “ผู้ชายมีเงินจะนิสัยไม่ดีเอาง่ายๆ หน้าตาดีเกินไปก็ไม่ค่อยปลอดภัย แม่กลัวว่าลูกจะคุมไม่อยู่ เป็นอย่างนี้ก็ดีเลย!”

เยี่ยหวันหวั่น “เอ่อ…อื้อ…”

……………………………………………….

บทที่ 358 ได้ของดีราคาถูกแต่กลับพูดว่าตัวเองเสียเปรียบ

 ทั้งครอบครัวกำลังจะจากไป เสียงของเหลียงเจียหาวพลันดังขึ้นจากทางด้านหลัง

“พี่…”

ร่างของเหลียงหวั่นจวินชะงักเล็กน้อย สายตาที่มองเหลียงเจียหาวไม่มีความรู้สึกใด

เธอเคยรักและเอ็นดูน้องชายคนนี้มากแค่ไหน วันนี้ก็ผิดหวังในตัวเขามากเท่านั้น ความผิดหวังสั่งสมจนมากเกินไป จนกระทั่งไม่เหลือแม้แต่ความเศร้าโศกเสียใจ เหลือเพียงความชินชา

“พี่ พวกพี่จะย้ายออกไปจริงๆ หรือ?” เหลียงเจียหาวเอ่ยถาม

เหลียงหวั่นจวินมองไปทางลูกสาวด้วยสายตาแน่วแน่ “อือ รบกวนพวกนายมานานพอแล้ว”

“พี่ ผม…” เหลียงเจียหาวถอนหายใจพูดว่า “ผมรู้ว่าตอนนั้นพี่กับพี่เขยช่วยพวกเราเอาไว้มาก ขอโทษครับ ผมเองก็ลำบากใจมากเหมือนกัน…ถ้าอย่างนั้น เรื่องบริษัท พี่เขยยังจะไปอยู่หรือเปล่า?”

เยี่ยหวันหวั่นยืนอยู่ด้านข้างแค่นหัวเราะออกมา พูดมามากมายขนาดนี้ ก็แค่อยากจะถามว่าบิดาของเธอจะไปบริษัทหรือเปล่าสินะ?

ใช้คนคนเดียวแทนคนหลายคน ถึงขั้นใช้งานอย่างกับวัวกับควาย แน่นอนว่าคงตัดใจจากแรงงานสุดคุ้มคนนี้ไม่ได้

น้าชายของเธอคนนี้ไม่มีความสามารถด้านบริหาร ช่วงนี้เพราะว่ามีบิดาของเธออยู่ ไม่รู้ว่าเขาเบาลงไปตั้งเท่าไร

แต่ว่าคนในครอบครัวนี้ ได้ของดีราคาถูกแต่กลับพูดว่าตัวเองเสียเปรียบ

ไม่รอให้พ่อแม่ตอบ เยี่ยหวันหวั่นก็เอ่ยขึ้น “อย่างที่น้องพูดไว้ พวกเราคนเป็นลูกจะปล่อยให้พ่อแม่ลำบากลำบนอยู่ข้างนอกได้อย่างไร”

คำพูดประโยคเดียว ขีดเส้นความสัมพันธ์กับครอบครัวของเหลียงเจียหาวอย่างสมบูรณ์แบบ

ถ้าหากดูแลดุจญาติมิตรก็ช่างเถอะ แต่คนครอบครัวนี้เป็นหมาป่าตาขาวเนรคุณแย่ยิ่งกว่าคนแปลกหน้าเสียอีก

ฟางซิ่วหมิ่นที่อยู่ด้านหลังได้ยินก็พลันร้อนใจ “จะทำอย่างนั้นได้อย่างไร งานที่บริษัทยังมีอีกมากมายที่ทำมาถึงครึ่งทางเท่านั้น เขาออกไปแบบนี้ ไร้ความรับผิดชอบเกินไปหรือเปล่า!”

เยี่ยหวันหวั่นยิ้ม “อ้อ ไร้ความรับผิดชอบ? ถ้าอย่างนั้นให้คุณพ่อเป็นเจ้าของจะได้รับผิดชอบให้ถึงที่สุดดีไหมคะ? จู่ๆ หนูก็นึกขึ้นได้ว่า ตอนแรกบริษัทนี้ก็เป็นพ่อที่ลงทุนสร้างขึ้นมาใช่ไหมคะ?”

“แก…แกฝันไปเถอะ” ใบหน้าฟางซิ่วหมิ่นเปลี่ยนสีไปทันที

“สู้ฝันของน้าสะใภ้ไม่ได้หรอกค่ะ” เยี่ยหวันหวั่นพูดพลางคลี่ยิ้ม ทำน้ำเสียงปลอบโยนเอ่ยว่า “คุณน้าก็ไม่ต้องกังวลไป ไม่ว่าจะเป็นบ้านหลังนั้นหรือว่าบริษัท พวกเราไม่สนใจหรอกค่ะ ในเมื่อพวกเราไม่ได้มีงานอดิเรกเก็บกระดูกที่ขว้างออกไปแล้วกลับมา”

เสียงพูดนี้ ชัดเจนว่ากำลังถากถางพวกเขาทั้งครอบครัวว่าเทียบกับหมูหมาไม่ได้…

เยี่ยหวันหวั่นคร้านที่จะโต้เถียงกับครอบครัวนี้ต่อ จึงคล้องแขนพ่อแม่เดินจากไปแล้ว

ฟางซิ่วหมิ่นโกรธจนควันแทบออกหูอยู่ด้านหลัง หันไปต่อว่าเหลียงเจียหาว “คุณจะมองฉันถูกนังเด็กนั่นรังแกแบบนี้โดยไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ?”

เห็นเหลียงเจียหาวนิ่งเงียบไม่พูดสิ่งใด ฟางซิ่วหมิ่นจึงเริ่มผลักและตีเขา “คุณพูดอะไรสักอย่างสิ! เยี่ยเส่าถิงไปแล้ว งานกองโตที่บริษัทนั่นจะให้ใครทำ!”

เหลียงซือหานจับจ้องแผ่นหลังของเยี่ยหวันหวั่นด้วยความริษยา “แม่คะ ไปก็ไปสิ ก็แค่หมาจรจัดไม่กี่ตัว จะได้ใจอะไรกันนักหนา บริษัทไม่มีเขาแล้วจะอยู่ไม่ได้หรือยังไง!”

ฟางซิ่วหมิ่นสูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยว่า “ซือหานพูดถูก นั่นก็แค่หมาจรจัดไม่กี่ตัว มีอะไรน่าภูมิใจ วันหน้าป้าเหม่ยเซวียนกับพี่อีอีจะช่วยพวกเราเอง พวกเราไม่เห็นจะเสียดายบ้านซอมซ่อกับบริษัทเล็กๆ นี่เลย!”

เหลียงซือหานพยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย “ตอนนี้ครึ่งหนึ่งของวงการบันเทิงล้วนอยู่ใต้สังกัดเยี่ยกรุ๊ปของคุณลุง พี่อีอีเป็นหัวหน้าแผนกผู้จัดการส่วนตัวศิลปินของหวงเทียน พี่เขยเป็นประธานของหวงเทียน พวกเขาหางานไม่ได้ด้วยซ้ำ ยังกล้าคิดเพ้อเจ้อจะพลิกตัวฟื้นขึ้นมา ไร้สาระจริงๆ!”

จินโตวปี้ไห่

“ผมมีธุระ ขอตัวก่อนนะครับ!” เมื่อมาถึงหน้าประตู เยี่ยมู่ฝานกลับไม่เข้าไป

“มู่ฝาน! มู่ฝาน! ดึกขนาดนี้แล้ว ลูกจะไปไหน…” เหลียงหวั่นจวินมองลูกชายเดินออกไปด้วยใบหน้าที่ไม่รู้จะทำอย่างไร

สีหน้าเยี่ยเส่าถิงที่อยู่ด้านข้างหม่นลง เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า “ช่างเถอะ ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก”

……………………………………………………………………….