ตอนที่ 435 ใช่เธอจริงๆ ด้วย / ตอนที่ 436 เป็นเด็กดีจริงๆ...เห็นแล้วก็น่าสงสาร

ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย

ตอนที่ 435 ใช่เธอจริงๆ ด้วย

“หุบปาก!”

เจียงหรงหรงตวาดลั่น ทั้งห้องรับแขกตกอยู่ในความเงียบงัน

หยางลี่เวยตกใจจนสะดุ้งโหยง หัวใจของเธอเต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกมาจากอก

หัวใจของเฉินเชียนโหรวเองก็เต้นอย่างหนักหน่วง

หลังจากนั้นหัวคิ้วเธอก็ขมวดเข้าหากัน

ทำไมคุณย่าถึงได้ห้ามไม่ให้เอ่ยถึงแม่ของเฉินฝานซิงในตอนนี้

จีเฟิ่งเหมียน?

ตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่

เจียงหรงหรงผุดลุกขึ้นอย่างสุดจะทน ดวงตาวาวโรจน์กราดมองไปยังเฉินเชียนโหรว

“พวกการกุศลกับสาธารณะประโยชน์แกก็ทำต่อไป! เรื่องนี้ฉันจะคุยกับฝ่ายประชาสัมพันธ์ดูอีกที คิดจะเหยียบมันเอาไว้ไม่น่าจะใช่ปัญหา ถึงตอนนั้นก็คงเป็นกระแสอยู่แล้ว อัลบั้มเพลงที่เธอกำลังเตรียมอยู่ช่วงนี้…จะให้ดีต้องเป็นเพลงที่ให้พลังบวก! หาโอกาสใช้จังหวะในช่วงที่กำลังเป็นกระแสอยู่ปล่อยเพลงโปรโมทออกมา! แล้วก็อย่าได้สร้างปัญหาอะไรขึ้นมาอีก!”

เฉินเชียนโหรวกัดริมฝีปากพร้อมพยักหน้าเบาๆ ใบหน้าขาวซีดเต็มไปด้วยความเศร้าใจและไร้เรี่ยวแรง

“หนูเข้าใจแล้วค่ะคุณย่า…”

ท่าทางที่ดูอดกลั้นและเชื่อฟังเช่นนั้น ทำเอาเจียงหรงหรงที่มองอยู่อดแสดงความประทับใจออกมาไม่ได้ สุดท้ายเธอก็ทำแค่เพียงเม้มปากแน่นแล้วแยกตัวออกจากห้องรับแขกไป

หลังจากที่ถูกทำให้ตกใจเช่นนี้ อารมณ์ขุ่นมัวของเฉินเชียนโหรวก็ดูสงบลง

แม้จะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเฉินฝานซิงกับเอเลนคุยอะไรกัน แต่เรื่องที่เธอเคยคัดลอกผลงานกลับไม่ได้แดงขึ้นขณะการขัดเลือก นั่นก็หมายความว่าเฉินฝานซิงยังไม่แน่ใจที่จะเปิดเผยตัวตนของเธอ การคัดเลือกได้ผ่านไปแล้ว และเฉินฝานซิงก็เสียโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้วเช่นกัน

เธอไม่มีอะไรให้ต้องห่วง!

ตอนนี้เธอแค่ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเท่านั้น

เมื่อซูเหิงเห็นว่าอารมณ์ของเฉินเชียนโหรวค่อยๆ คงที่ขึ้น เขาจึงตบไหล่เธอเบาๆ

เดิมเขาก็ไม่อยากให้เฉินเชียนโหรวก้าวเข้าไปในวงการบันเทิงอยู่แล้ว หรือไม่อย่างน้อยๆ ก็ไม่ถลำลึกไปมากกว่านี้ เมื่อถึงตอนนั้น ค่อยๆ ถอยออกมาได้ก็ยิ่งดี แต่ดูๆ ไปแล้ว…

ทั้งสกุลเฉินต่างก็ตั้งความหวังทุกอย่างเอาไว้กับเฉินเชียนโหรว

“เอาละ เชียนโหรวไม่ต้องไปคิดอะไรมากนะ พักผ่อนให้สบาย ทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าเข้าไว้เพื่อเตรียมโปรโมทเพลงของเธอ”

วันนี้เฉินเชียนโหรวเหนื่อยมากจริงๆ เธอโผเข้าหาอ้อมกอดของซูเหิงแล้วซุกอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะผละตัวออกมาช้าๆ อย่างอ้อยอิ่ง

ช่วงนี้ป๋อจิ่งชวนยุ่งมาก ถึงขนาดที่บางครั้งพวกเขาทั้งคู่ไม่ได้พบหน้ากันเลยถึงสองวัน

หลังจากที่เฉินฝานซิงอดทนมาหลายวันเพื่อเตรียมการแข่งขันระดับนานาชาติ ในที่สุดเธอก็ยอมออกไปพักผ่อนหย่อนใจ และไม่ลืมที่จะใช้โอกาสนี้หาแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง

แต่เธอก็ออกไปไหนได้ไม่ไกลนัก ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจไปเยี่ยมสถานสงเคราะห์เด็ก ‘เหอซือ’

เธอขับพาสสาทซีซีคันโปรดมุ่งหน้าไปยังสถานสงเคราะห์เด็ก

หลังจากลงมาจากทางด่วน ขับบนทางโล่งอีกสิบนาที เลี้ยวขวาข้างหน้าเพื่อเข้าสู่ถนนคอนกรีต จากนั้นขับตรงไปเรื่อยๆ ก็จะถึงสถานสงเคราะห์

ทว่าเมื่อครู่ขณะที่เธอกำลังตบไฟสัญญาณขึ้นมาบนถนนคอนกรีต ระหว่างที่กำลังใจลอยอยู่นั้น สายตาก็พลันสาดไปเห็นเข้ากับร่างที่ดูคุ้นตาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ความเร็วของรถค่อยๆ ลดลง เธอมองผ่านกระจกมองหลัง คอยสังเกตร่างของหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างถนนคนนั้น

เชิ้ตสีขาว กระโปรงสั้นสีเหลือง ทั้งดูผ่อนคลายและแฝงไปด้วยความอ่อนหวานในแบบฉบับของผู้หญิงร่างเล็ก

เพียงแต่อมยิ้มในปากนั้นกลับทำให้เธอดูเย็นชา

เธอนั่งหลังตรงอยู่ที่ปากทาง หันมองไปยังสุดสายตาของถนนคอนกรีตสายนี้

ใบหน้านั้นสะท้อนให้เห็นเด่นชัดผ่านกระจกมองหลัง

หัวใจเธอกระตุกวูบ เธอเผลอเหยียบเบรกอย่างเร็วราวกับถูกผีเข้า ก่อนจะวนรถกลับมาหยุดลงตรงหน้าของหญิงสาวคนนั้น

“เยี่ยชิงชิว?” เธอขานเรียกเสียงแผ่ว

หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นมา ใบหน้างดงามปรากฏแก่สายตาของเฉินฝานซิง

“ใช่เธอจริงๆ ด้วย” แม้ว่าท่าทีของเฉินฝานซิงจะดูเย็นชา แต่ก็เก็บซ่อนความประหลาดใจเอาไว้ไม่มิด

เยี่ยชิงชิวลุกยืน เมื่อได้เห็นเฉินฝานซิงผ่านทางหน้าต่างรถ เธอเองก็ชะงักนิ่งไปเล็กน้อย คิ้วเรียวค่อยๆ เลิกขึ้น เธอหยิบอมยิ้มออกจากปาก ทั้งยังมองเฉินฝานซิงด้วยตัวสั่นระริก

ตอนที่ 436 เป็นเด็กดีจริงๆ…เห็นแล้วก็น่าสงสาร

“เฉิน…ฝานซิง” เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง ราวกับจะจำชื่อของเฉินฝานซิงได้ไม่ค่อยแม่นนัก

เฉินฝานซิงเม้มปาก แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร

เยี่ยชิงชิวก็เป็นเช่นนี้ เธอเก่งในการเข้าหาใครต่อใคร ไม่ว่ากับใคร เธอก็สนิทไปด้วยเสียหมด แต่ความสนิทนั้นกลับลึกซึ้งไม่ถึงไหน

อุตส่าห์จำชื่อเธอได้ก็ถือเป็นเกียรติของเธอมากแล้ว

“เธอ…ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้”

ออกจากคุก ประโยคนี้เธอไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดออกมายังไงดี แค่ออกมาได้ก็บุญแล้ว

“ผ่านมาแถวนี้น่ะ พอดีกลิ่นบนรถเมล์มันน่าพะอืดพะอมไปหน่อย เลยมานั่งสูดอากาศตรงนี้”

เฉินฝานซิงพยักหน้า เมื่อก่อนนี้หากจะถามว่าใครใช้ชีวิตได้ละเอียดอ่อนที่สุด จุกจิกที่สุด และไร้เหตุผลที่สุด คำตอบก็คือเยี่ยชิงชิวอย่างไม่ต้องสงสัย

ในความเป็นจริง เธอไม่ได้รับความนิยมชมชอบจากเพศเดียวกันสักเท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนที่แย่มาก แต่เป็นเพราะนิสัยที่ไม่แยแสและใบหน้าของเธอมากกว่า

เฉินฝานซิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม “เธอจะไปไหน เดี๋ยวฉันไปส่ง”

เยี่ยชิงชิวมองเธอหนึ่งครั้งแล้วถามกลับ “แล้วเธอจะไปไหนล่ะ”

“ฉันจะไปสถานสงเคราะห์เด็ก ‘เหอซือ’ ที่อยู่ข้างในนั้น”

ดวงตาของเยี่ยชิงชิวเปล่งประกายขึ้นเล็กน้อย เธอคาบอมยิ้มไว้ก่อนจะเปิดประตูรถของเฉินฝานซิงตรงที่นั่งข้างคนขับ

“ไม่เจอกันซะนาน ไหนๆ ฉันก็ไม่มีอะไรจะทำอยู่แล้ว ไปสถานสงเคราะห์เด็กกับเธอสักเที่ยว แล้วเธอค่อยไปส่งฉันที่บ้านแล้วกัน”

เฉินฝานซิงสำรวจเธอเล็กน้อย แล้วหันมองกระจกมองหลังทางซ้ายมือ เมื่อเห็นว่าอีกฟากของถนนมีรถเก๋งจอดอยู่อีกคัน คิ้วของเธอก็ขยับเข้าหากันเล็กน้อย

เธอคิดสักพัก ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถไป หลังจากที่เดินเวียนตัวรถไปแล้วรอบหนึ่ง เธอถึงจะเดินขึ้นรถมาแล้วขับตรงไปด้านในต่อไป

ใบหน้าของเยี่ยชิงชิวดูไร้อารมณ์ มือที่วางอยู่ข้างๆ กำแน่นกลายเป็นหมัดสีขาวซีดจนเห็นได้ชัด

เมื่อถึงสถานสงเคราะห์ หลังจากที่เฉินฝานซิงจอดรถเสร็จ คุณครูที่ได้ยินเสียงก็ได้เดินออกมา

“คุณฝานซิง มาแล้วเหรอคะ”

เฉินฝานซิงพยักหน้าน้อยๆ

สายตาของคุณครูยังคงเคลื่อนไปให้ความสนใจกับเยี่ยชิงชิวที่อยู่ข้างๆ

“ท่านนี้คือ?”

“เพื่อนฉันเองค่ะ เรามาทางเดียวกัน”

เธอว่าพลางกดเปิดท้ายรถนำขนมและอุปกรณ์การเรียนที่เตรียมไว้ให้เด็กๆ ออกมา

“หลินหลินล่ะคะ”

คุณครูที่ชินกับการที่เฉินฝานซิงแค่เปิดปากออกมาก็ถามหาหลินหลิน เธอจึงตอบกลับไปอย่างเป็นธรรมชาติ

“อยู่ในห้องดนตรีค่ะ กำลังฟังจี้อี้เล่นเปียโนอยู่”

ดวงตาสุกใสของเฉินฝานซิงเป็นกระกายเล็กน้อย “แม่ของหลินหลินมาเยี่ยมเขาบ้างรึยังคะ”

เธอเอ่ยถามขึ้น ทว่าปลายหางตากลับให้ความสนใจอยู่กับสีหน้าของเยี่ยชิงชิว

เธอพบว่าริมฝีปากของเยี่ยชิงชิวเม้มเข้าหากันแน่น ก้านอมยิ้มที่อยู่ในปากเองก็ถูกเธอกัดจนเปลี่ยนรูป

คุณครูพ่นลมหายใจออกมา “เฮ้อ…ยังเลยค่ะ! ได้ข่าวว่าออกจากคุกมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่เห็นจะมาดูลูกบ้างเลย เราเองก็ไม่กล้าพูดความจริงกับเด็ก เด็กคนนั้นเฝ้ารอวันแล้ววันเล่า…นั่งรออยู่ที่ประตูทุกวัน พอได้นั่งแล้วก็นั่งนานเลยค่ะ พอคุณบอกว่าให้กินข้าวเยอะๆ ต่อไปจะได้ดูแลคุณแม่ได้ อาหารสามมื้อในหนึ่งวันเขาก็กินได้ตรงเวลามาก ขนาดป่วยอยู่ก็ไม่ลืมกินอาหารแม้แต่มื้อเดียว พอกินเสร็จก็อ้วกออกมาอีก…เฮ้อ เป็นเด็กดีจริงๆ…เห็นแล้วก็สงสาร…”

เยี่ยชิงชิวยืนอยู่ข้างๆ ด้วยร่างแข็งทื่อ ดวงตาเธอหลุบลง แพขนตายาวสั่นระริก

เฉินฝานซิงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันหนักหน่วงจากร่างของเธอ

แม้ว่าเธอจะพยายามแสร้งเป็นไม่รู้สึกอะไรมากแค่ไหนก็ไม่อาจปกปิดมันได้

จะซ่อนมิดได้เช่นไร

ขนาดคนอื่นยังพูดว่าอดสงสารไม่ได้ นับประสาอะไรกับ…คนที่เป็นแม่ของหลินหลิน

“เราเข้าไปดูเขากันเถอะ”

“เอาสิ เราเข้าไปกัน”

เฉินฝานซิงก้าวเข้าไปสองก้าว แต่เยี่ยชิงชิวกลับไม่ยอมตามเธอมา