ตอนที่ 437 เสียงที่เป็นเอกลักษณ์ / ตอนที่ 438 ไม่มีวันยอมให้เธอเด่นกว่าเฉินเชียนโหรวหรอก

ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย

ตอนที่ 437 เสียงที่เป็นเอกลักษณ์

เฉินฝานซิงก้าวเข้าไปสองก้าว แต่เยี่ยชิงชิวกลับไม่ยอมตามเธอมา

“ไม่เข้าไปเหรอ”

เยี่ยชิงชิวเงยหน้าขึ้นมองเธอ ร่างกายของเธอสั่นเทา เธอคิดจะก้าวเท้าขึ้นแต่มันกลับขยับเขยื้อนไม่ได้ราวกับมีรากงอกออกมา

คิ้วของเฉินฝานซิงไม่ขยับ “หลังจากวันนี้ไป เธอจะใช้เหตุผลนี้มาอ้างกับใครเพื่อมาที่นี่ไม่ได้อีกแล้วนะ”

เธอเอ่ยขึ้นเรียบๆ ก่อนจะก้าวฉับๆ เข้าไปในอาคารเรียน

เยี่ยชิงชิวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตบเท้าก้าวตามหลังเฉินฝานซิงไป

ยิ่งเข้าใกล้ทางเดิน เสียงของเปียโนก็ยิ่งได้ยินชัดขึ้น

เฉินฝานซิงหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู เธอหันกลับมามองเยี่ยชิงชิวที่สีหน้าซีดลงเล็กน้อย

“ตาของหลินหลินมองไม่เห็น”

กลีบปากคู่นั้นของเยี่ยชิงชิวสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนที่เธอจะกัดปากแน่นในทันทีจนหยดเลือดสีสดไหลรินออกมาตรงมุมปาก

ดึงดันที่จะไม่เผยความรู้สึกให้ใครได้รู้ เธอหันหน้ากลับมา เสียงที่เคยนุ่มนวลก่อนหน้ากลับฟังดูแหบพร่าในตอนนี้

“เข้าใจแล้ว”

เฉินฝานซิงก้มหน้าต่ำ เธอเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดที่ผุดขึ้นมาในใจ ก่อนจะกัดฟันแล้วออกแรงผลักประตูห้องเปียโนเข้าไป

เสียงกังวานของดนตรีหยุดลง

จี้อี้หันมองมายังประตู เฉินฝานซิงค่อยๆ เดินเข้ามา หลายนาทีหลังจากนั้น ร่างของเยี่ยชิงชิวก็ปรากฏขึ้นตรงประตู นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นทอดมองไปยังร่างของเด็กน้อยที่นั่งอยู่ตรงริมหน้าต่าง แม้จะพยายามสะกดกลั้นแค่ไหน แต่ทว่าก็ไม่อาจหยุดความสั่นเทาของมือที่วางอยู่ตรงขอบประตูข้างกายลงได้

ลูกของเธอ…

เธอขบกรามแน่น ไม่ให้ความรู้สึกเอ่อล้นออกมาแม้แต่เพียงเสี้ยวหนึ่ง ทำแค่เพียงมองนัยน์ตาสวยทว่ากลับดูไร้จุดหมายคู่นั้น คล้ายว่าความปวดร้าวได้ล้นทะลักออกมาจากหัวใจของเธอจนมันท่วมไปทั้งร่างกาย

ราวกับเด็กน้อยรู้สึกได้ถึงบางอย่าง ใบหน้าที่หันไปทางเปียโน ก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับเยี่ยชิงชิวที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูได้อย่างพอดิบพอดี…

ลมหายใจขาดห้วงไปชั่วขณะ นัยน์ตาสีน้ำตาลสั่นระริกอยู่ในกรอบตา

ใบหน้านั้น เป็นอย่างที่เธอเคยฝันไว้!

ช่าง ช่าง…

จี้อี้มองหญิงสาวแปลกหน้าตรงประตูด้วยความฉงน ทั้งยังมองเฉินฝานซิงที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างไม่เข้าใจ

คิ้วของเฉินฝานซิงดูเคร่งขรึม สีหน้าเองก็ดูไม่ค่อยจะสู้ดีนัก

เธอเดินไปหยุดลงข้างๆ หลินหลิน ย่อตัวลงแล้วลูบลงบนศีรษะของเด็กน้อยพลางเอ่ยเสียงแผ่ว “ทายถูกไหมว่าน้าคือใคร”

หลินหลินพยักหน้า

เฉินฝานซิงเผยยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “น้ารู้ว่าหนูชอบฟังดนตรี น้าเลยพาเพื่อนมาคนหนึ่ง ให้เขาเล่นเปียโนให้หนูฟังดีไหมครับ”

หลินหลินพยักหน้าแรงๆ อีกครั้ง

“เด็กดี”

เฉินฝานซิงยืดตัวตรง พร้อมทั้งหันมองไปยังจี้อี้ “เราคุยกันหน่อยได้ไหม”

จี้อี้ขยับคิ้วเข้าหากันน้อยๆ นับตั้งแต่จบงานเลี้ยงของวิทยาลัยไปเมื่อคราวก่อน ทั้งคู่ก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย

หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเธอก็พยักหน้ารับ

หลังจากที่ทั้งคู่เดินออกมาจากห้องเปียโน เยี่ยชิงชิวก็เดินเข้าห้องไป

เฉินฝานซิงไม่ได้มองเธออีก ก่อนที่ประตูจะปิดสนิทลง

แกร๊ก เสียงประตูที่ปิดสนิทลง เป็นดังเสียงสัญญาณ น้ำตาของเธอไหลพรากลงมาราวกับน้ำที่หลากออกมาจากเขื่อน

“หลิน…หนูคือหลินหลินใช่ไหม”

ร่างน้อยๆ ของหลินหลินสั่นเทายามที่ได้ยินเสียงของเยี่ยชิงชิว ใบหน้ากลมๆ ผินมองมาตามเสียงพูดของผู้เป็นแม่ ดวงตากลมโตสีนิลไร้อารมณ์คู่นั้นกำลัง ‘จ้องมอง’ มายังเธอ

เยี่ยชิงชิวยกมือขึ้นปิดปากอย่างห้ามไม่ได้ หยาดน้ำตารินรดลงบนหลังมือ ทว่ามันกลับแผดเผาอยู่ในหัวใจ

เธอค่อยๆ ก้าวเข้าไปยกมือขึ้นลูบลงบนใบหน้ากลมๆ พร้อมทั้งลอบสังเกตใบหน้าของเขาอย่างถี่ถ้วน

“หลินหลิน…” เธอเรียกชื่อของเด็กน้อยเสียงแผ่ว

เสียงที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นความรู้สึกที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจแทนที่ได้

หลินหลินเม้มปากแน่น หยดน้ำตาพลันร่วงหล่นลงมาจากกรอบตา…

ตอนที่ 438 ไม่มีวันยอมให้เธอเด่นกว่าเฉินเชียนโหรวหรอก

ใต้ร่มของต้นฮวายภายนอกอาคารเรียน

ใบหน้าของเฉินฝานซิงดูใสสะอาดตา

“ฉันรอให้เธอมาหาอยู่ตลอด”

จี้อี้เม้มปากยกยิ้มขึ้นจางๆ “ตอนนี้ฉันกำลังยุ่งอยู่กับการแต่งเพลง เลยไม่ค่อยมีเวลา”

ดวงตาสุกใสหรี่เล็ก “เหรอ ดูท่า เธอคงจะพอใจมากล่ะสิ”

จี้อี้พยักหน้า เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก

“ตั้งแต่เล็กจนโต ฉันก็พูดไม่เต็มปากหรอกนะว่าตัวเองเล่นเครื่องดนตรีได้เก่งทุกชนิด แต่ฉันก็คุ้นเคยกับมันหมดทุกชิ้น ก่อนแม่ฉันจะเสีย ท่านเข้มงวดกับฉันมาก แต่ฉันเองก็สนุกกับมัน แม้บางครั้งฉันจะดื้อรั้นไปบ้างก็เถอะ

ฉันเคยแต่งเพลงไว้มากมาย แต่สุดท้ายกลับโดนแม่ปฏิเสธ ฉันก็แค่อยากจะแสดงให้ท่านได้เห็น ก็แค่อยากจะเอาชนะท่าน แต่สุดท้าย…

กลับกลายเป็นฉันที่กดดันตัวเองมากเกินไป…ช่วงนี้ได้มาที่นี่บ่อยๆ ก็เหมือนกับได้เข้าใจอะไรมากขึ้น เพราะฉะนั้นฉันถึงได้พอใจในเพลงนั้นมาก…ฉันเอาไปให้รุ่นพี่ดูมาแล้ว และขอช่วยให้เขาแก้คำให้นิดหน่อย ฉันเชื่อว่าเพลงนี้จะต้องไปได้สวย…”

เฉินฝานซิงฟังเธอพูดจนจบอย่างเงียบๆ ก่อนจะพยักหน้า

จี้อี้นึกว่าเธอจะยอมถอยแล้ว แต่สุดท้ายเฉินฝานซิงกลับพูดขึ้นว่า

“หลานอวิ้นกำลังจะช่วยให้เฉินเชียนโหรวได้ออกอัลบั้ม เรื่องนี้เธอไม่มีทางไม่รู้หรอกใช่ไหม”

“…” จี้อี้ขมวดคิ้วมุ่น

“หากเธอคิดจะปล่อยอัลบั้มหรือซิงเกิ้ล ยังไงก็จะต้องผ่านการตรวจสอบของบริษัท เพราะงั้นถึงเพลงนี้เธอเป็นคนแต่ง แต่ก็ต้องผ่านบริษัทอยู่ดี

ทุนดีๆ ของหลานอวิ้นแทบจะหมดไปกับเฉินเชียนโหรว เธอคิดเหรอ ว่าหากเพลงเธอดีจริงๆ อย่างที่เธอว่า บริษัทจะยอมออกลิขสิทธิ์เพลงนี้ให้เธอ พวกเขาจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้มันเป็นของเฉินเชียนโหรว”

จี้อี้ส่ายหน้าปฏิเสธ

“มันเป็นของฉัน! ถ้าฉันไม่ยอมซะอย่าง พวกเขาจะทำอะไรได้!”

เฉินฝานซิงมองเธอก่อนเผยยิ้มอย่างจนใจ แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“เธอเองก็ออกอัลบั้มมาตั้งสองอัลบั้มแล้ว แถมยังเคยจัดคอนเสิร์ตเล็กๆ มาแล้วด้วย ฉันจำได้ว่าเธอเข้าวงการมาก็หลายปี แต่ทำไมเธอถึงยังไร้เดียงสาอยู่จนป่านนี้”

จี้อี้ขมวดคิ้วแน่น “คุณหมายความว่ายังไง”

เฉินฝานซิงพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ แล้วเดินไปหยุดลงตรงแปลงดอกไม้แล้วเด็ดดอกใบของมันออกมา

“หลานอวิ้นเทิดทูนเฉินเชียนโหรวอย่างไร้ข้อแม้ เธอคิดว่าถ้าเธอไม่ให้เพลงกับคนพวกนั้น หลานอวิ้นก็จะยอมให้เธอปล่อยเพลงงั้นเหรอ พวกเขาบีบเธอจนสิ้นใจและปล่อยให้เพลงของเธอเน่าตายคามือ

ถ้าหากเธอปล่อยเพลงก่อน ก็อาจจะไปขวางทางของเฉินเชียนโหรวได้ แต่ถ้าเธอปล่อยออกมาหลังก็กลัวว่าจะไปบดบังความนิยมของเฉินเชียนโหรว หลานอวิ้น…พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้เธอเด่นกว่าเฉินเชียนโหรวหรอก…”

สีหน้าของจี้อี้ในตอนนี้ดูย่ำแย่จนถึงที่สุด เธอทั้งหงุดหงิดและเจ็บแค้น

คำพูดนั้นของเฉินฝานซิงทำเอาเธอเถียงไม่ออก

หลายปีมานี้ที่อยู่กับหลานอวิ้น ไม่ใช่แค่กับเธอเท่านั้น แต่พวกเขายังปฏิบัติกับศิลปินทุกคนราวกับเป็นกระจกใส

แต่ส่วนใหญ่ก็ได้แค่ผูกใจเจ็บแต่ก็ไม่กล้าโต้แย้ง

เพราะสัญญาอยู่ในมือของพวกเขา ระหว่างอยู่ในสัญญา หากทำอะไรให้หลานอวิ้นไม่พอใจขึ้นมา บางครั้งการให้เงินทุนจำนวนมากมาแบบส่งๆ ก็ไม่ต่างอะไรกันกับการแบล็คลิสต์

เมื่อเห็นจี้อี้แสดงความไม่พอใจออกมา เธอจึงยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ซิงเฉินกั๋วจี้ไม่ใช่แบบนั้น เธอมีฝีมือ มีผลงาน ฉันมีลู่ทางและมีงบให้ ฉันจะไม่ข่มเธอเพื่อใคร ขอแค่เธอมีศักยภาพพอ แน่นอนว่าฉันจะช่วยให้เธอได้ในสิ่งที่ปรารถนาและทำให้ความฝันของเธอเป็นจริง”

จี้อี้ยังคงลังเลที่จะตัดสินใจ เฉินฝานซิงเองก็ไม่ได้บังคับเธอ

“ฉันให้เวลาเธอมามากพอแล้ว ตอนนี้เฉินเชียนโหรวกำลังเตรียมจะปล่อยอัลบั้ม เสียงของเธอนับว่าไม่เลวเลย แถมยังมีพื้นฐานทางด้านดนตรีอีกต่างหาก ขอแค่จับเพลงดีๆ ได้สักเพลง เธอก็คงจะดังระเบิด แต่ก่อนหรือหลังจากนั้นเธอก็หมดสิทธิ์ปล่อยอัลบั้ม เพื่อให้แสงอันรุ่งโรจน์ของเฉินเชียนโหรวคงอยู่ไปได้นานยิ่งขึ้นและเจิดจรัสยิ่งขึ้น ส่วนเธอก็ทำได้แค่รอ…”