ตอนที่ 67 ไว้ชีวิต!

“ส่งไปแผนกห้องคลอดแล้วครับ”

โจวเจ๋อนั่งลงข้างๆ หมอหลิน มองใบหน้าของเธอที่ยังทรมานอยู่ จึงเอ่ยว่า

“คุณต้องพักผ่อนเยอะๆ ไม่อย่างนั้นถือว่าไม่มีความรับผิดชอบ”

“ฉันยังไหว” หมอหลินส่ายหน้าด้วยความดื้อรั้นอยู่บ้าง

“ความหมายของผมคือสภาพร่างกายของคุณแบบนี้ ถือว่าคุณไม่มีความรับผิดชอบต่อคนไข้”

หมอหลินเงียบไป

“เหอะๆ” โจวเจ๋อเลียริมฝีปาก แล้วพูดขอโทษ “ขอโทษด้วย ผมเข้าโหมดตัวเองในอดีตอย่างไม่รู้ตัว”

“ดีมากค่ะ” หมอหลินพูดเบาๆ

“กลับไปพักผ่อนเถอะ รอให้รักษาร่างกายให้แข็งแรงแล้วค่อยกลับมาทำงาน งานของหมอสำคัญมากก็จริง แต่ไม่ถึงขั้นที่ว่าหมอหยุดงานชั่วคราวแล้วสังคมนี้จะเดินต่อไปไม่ได้”

หมอหลินพยักหน้า

เวลานี้โทรศัพท์ของโจวเจ๋อดังขึ้น เมื่อเห็นสายที่โทรเข้ามา เป็นสายของสวี่ชิงหล่าง

เขาลุกขึ้นเดินไปรับสายตรงหน้าบันได

“ฮัลโหล มีธุระอะไร”

“วันนี้กิจการที่ร้านของคุณไม่เลวนะครับ คุณรีบกลับมาดูเถอะ” สวี่ชิงหล่างพูดพลางหาวหวอด

“กิจการดี?” โจวเจ๋อรู้สึกดีใจอยู่บ้าง ตัวเองเพิ่งจะได้ใบรับรอง งานก็เริ่มมาหาถึงที่แล้ว

“ได้ ฉันจะกลับไปเดี๋ยวนี้”

โจวเจ๋อกะว่าครั้งนี้ไม่ว่าพวกผีที่อยู่ในร้านหนังสือจะเล่าเรื่องราวความไม่ยุติธรรมมากกว่า ‘โต้วเอ๋อ’ เขาก็จะส่งผีพวกนี้ไปลงนรกอย่างเที่ยงธรรมโดยไม่สนหน้าใครทั้งสิ้น

พวกเขาเป็นวิญญาณ ส่งไปนรกคือสิ่งที่ถูกต้อง ผู้ซื่อสัตย์ไม่เห็นแก่หน้าพระอินทร์พระพรหม เขาจึงไม่รู้สึกผิดอะไร

“คุณมีธุระก็กลับไปก่อนเถอะค่ะ” หมอหลินชี้ไปที่ออฟฟิศของตัวเอง “เดี๋ยวอีกสักพักฉันจะกลับเองค่ะ”

โจวเจ๋อพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก ตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องที่ตัวเองจะได้เป็นพนักงานประจำอีกแล้วส่วนความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับหมอหลิน ค่อยเป็นค่อยไปก็แล้วกัน

ลิฟต์อาคารฉุกเฉินถึงแม้จะดึกมากก็มีคนเต็มตลอด โจวเจ๋อจึงเดินลงทางบันได ตอนที่มาถึงชั้นสาม จู่ๆ โจวเจ๋อก็หยุดเดินกะทันหัน

ไม่รู้ว่าทำไม เขารู้สึกเหมือนมีคนกำลังตามตัวเองอยู่

หรือว่าหมอหลินอยากจะมองตัวเองมากกว่านี้แต่อาย จึงได้แต่แอบเดินตามตัวเองอยู่ข้างหลัง

โอเค ถึงแม้จะมีความเป็นไปได้ แต่โจวเจ๋อก็ไม่ใช่คนหลงตัวเองจนเชื่อสิ่งนี้ เขารีบเดินไปถึงชั้นหนึ่ง จากนั้นก็หันขวับตรงหัวมุมแล้วเดินกลับมา

“ฮู้…”

เสียงลมพัดผ่านมาจากด้านบน

โจวเจ๋อเงยหน้าทันที เริ่มวิ่งไปข้างบน แต่ก็ไม่พบอะไร

ไม่พบอะไร ก็หมายความว่าต้องมีอะไรแปลกประหลาดแน่นอน

โจวเจ๋อโน้มตัวลง เล็บนิ้วชี้สีดำยาวออกมา แล้วเคาะไปที่พื้นกระเบื้องเบาๆ

วินาทีต่อมา ก็ปรากฏรอยเท้าสีดำเป็นทางอยู่บนพื้นกระเบื้อง โจวเจ๋อกำนิ้วชี้ของตัวเองอย่างเงียบๆ แล้วซ่อนมันจากนั้นก็ลุกขึ้นอย่างช้าๆ เดินตามรอยเท้าสีดำที่โผล่ออกมาไปเรื่อยๆ

ตรงเล็บมือของเขา มีควันที่คนทั่วไปมองไม่เห็นด้วยตาเปล่ากระจายออกมาไม่หยุดเพื่อค้นหารอยประทับที่อยู่ข้างล่าง

เนื่องจากโรงพยาบาลมีความพิเศษเฉพาะตัวของมัน ดังนั้นจึงยากที่จะสะอาดหมดจด แต่ตอนนี้ยังไม่ถือว่าดึกสงัดมาก สิ่งอัปมงคลกลับกล้าเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด ถือว่าไม่ธรรมดามาก

โจวเจ๋อเดินตามรอยไปถึงชั้นสี่ รอยเท้าเดินออกไป จากนั้นก็เลี้ยวเข้าไปในห้องคนไข้ห้องหนึ่ง

ในห้องคนไข้มีคนไข้อยู่ และดูจากสถานการณ์ปัจจุบันของทรัพยากรทางการแพทย์ที่ตึงเครียด อยากจะควบคุมความว่างของห้องคนไข้เป็นเรื่องที่ยากมาก เหมือนอย่างตอนนี้ ยังมีคนไข้บางส่วนที่ได้แต่อยู่บนเตียง นอนพักผ่อนหรือไม่ก็ให้น้ำเกลืออยู่ตามทางเดินของตึก

โจวเจ๋อยื่นมือผลักประตูห้องคนไข้ ข้างในมีเตียงอยู่สามเตียง มีคนแก่นอนอยู่ข้างเตียงทั้งสอง และเป็นหญิงชราอีกด้วย มีหญิงสาวคนหนึ่งนอนอยู่ตรงกลาง และมีคนเฝ้าไข้อยู่ทุกเตียง

หลังจากโจวเจ๋อเดินเข้าไป ภายในห้องคนไข้นอกจากหญิงชราคนหนึ่งที่นอนหลับไปแล้ว สายตาของคนอื่นต่างมองมาที่โจวเจ๋อ

“สวัสดีครับรบกวนนิดหนึ่งครับ เมื่อครู่มีคนเดินเข้ามาไหมครับ” โจวเจ๋อเอ่ยถามตรงประเด็น

“ไม่มีค่ะ”

คุณป้าที่คอยเฝ้าไข้คนหนึ่งตอบ

คนอื่นๆ ล้วนส่ายหน้า

โจวเจ๋อพยักหน้า แสดงให้เห็นว่าตัวเองทราบแล้ว จากนั้นจึงหมุนตัวเดินออกจากห้องคนไข้

เวลานี้ โจวเจ๋อคิดจะกลับแล้ว

คุณจะโทษโจวเจ๋อว่าขาดคุณธรรมไม่ได้ เจอผีแล้วไม่จับ ควรทราบว่าเมื่อครู่สวี่ชิงหล่างโทรมาบอกว่าที่ร้านของตัวเอง ‘กิจการดีมาก’ โจวเจ๋อกังวลว่าถ้าหากตัวเองกลับช้าลูกค้าจะหายหมด อย่างนั้นคงขาดทุนแย่

ส่วนสิ่งอัปมงคลที่วิ่งอยู่ข้างนอก ถ้าหากเจอ สามารถจัดการได้ก็จัดการ ถ้าหากยากที่จะรับมือหรืออยากเล่นเกมซ่อนหากับตัวเอง โจวเจ๋อไม่อยากเสียเวลาตรงนี้จริงๆ

เขาเป็นยมทูต และมีคำเติมหน้าว่า ‘ชั่วคราว’ ซึ่งไม่ใช่คุรุเทพจางเทียนซือ

แต่ตอนที่โจวเจ๋อกำลังจะปิดประตู เล็บมือของตัวเองได้สัมผัสอะไรบางอย่างโดยไม่ตั้งใจ

วินาทีนั้น โจวเจ๋อรู้สึกเหมือนถูกไฟช็อต จากนั้นไฟในห้องคนไข้ก็ดับวูบลง แล้วแสงไฟก็กลับมาสว่างดังเดิม

เตียงทั้งสามในห้องคนไข้ว่างในพริบตา คนไข้รวมทั้งคนเฝ้าไข้ก็หายไปด้วย

โจวเจ๋อถอยหลังไปสองก้าวทันที แล้วจึงเห็นป้ายที่แขวนอยู่ตรงหน้าตัวเองว่า ‘ห้องเก็บของ’ นี่ไม่ใช่ห้องคนไข้!

“ฮู้…”

ลมพัดมาอีกแล้วและเร็วสุดๆ เหมือนจะรู้ตัวว่าวิชาพรางตาของตัวเองไม่ได้ผลจึงคิดเผ่นหนี

โจวเจ๋อยื่นมือคว้าหมับ เหมือนจับสิ่งของที่เย็นและมีเนื้อ แต่จากนั้นก็เกิดเสียงดังลั่น เจ้าสิ่งนั้นหลุดรอดไปจากเงื้อมมือของตัวเอง

สายลมกระจัดกระจาย โจวเจ๋อมองฝ่ามือของตัวเอง กลับมีขนสีดำพวงหนึ่ง ยาวและพันกันมาก

และด้วยความคุ้นชินในสายงานอาชีพ โจวเจ๋อเอาฝ่ามือมาใกล้จมูกตัวเองแล้วดม กลิ่นเหม็นคาวทะเลรุนแรงโชยเข้ามา น่าสะอิดสะเอียน เหมือนกับกลิ่นปลาเค็มตัวหนึ่งที่วางอยู่ในโกดังร้อนๆ มาหนึ่งเดือนแล้ว

“แหวะ…”

โจวเจ๋อพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้อาเจียนออกมา แล้วนั่งยองๆ อีกครั้งเคาะไปบนพื้นกระเบื้อง จากนั้นรอยเท้าสีดำก็ปรากฏขึ้นมาอีก

หลังจากปรบมือ โจวเจ๋อก็หันคอของตัวเองไปด้านข้าง แล้วจึงเดินตามรอยเท้าไปโดยตรง

สถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ถ้าหากอีกฝ่ายเหมือนกับสุภาพสตรีในห้องดับจิตของโรงพยาบาลตัวเองที่ยังวนเวียนอยู่เพราะทรัพย์สินของครอบครัว โจวเจ๋อก็ไม่เอาความ อย่างไรก็ตามวิญญาณที่ยังเร่ร่อนอยู่ในโลกมนุษย์เพราะมีพันธะผูกพันครั้งเมื่อยังมีชีวิตอยู่ มีเยอะเหลือเกิน และพวกเขาโดยทั่วไปแล้วก็ไม่มีความคิดก่อเรื่องไม่ดีและก็ไม่มีพลังสามารถทำอะไรได้

แต่เจ้านั่นที่ตัวเองเพิ่งสัมผัสเมื่อครู่ สะกดรอยตามตัวเองก็ยังไม่พูด แถมยังใช้ภาพลวงตาเสมือนจริงสุดๆ หลอกตัวเอง นอกจากนี้ยังดึงขนที่อยู่บนตัวของมันได้อีกด้วย สงสัยเจ้าสิ่งนั้นจะต้องมีตัวตนแน่นอน

ซึ่งหมายความว่าอีกฝ่ายมีกำลังมากพอที่จะก่อเรื่อง และยังอยู่ในโรงพยาบาลของภรรยาตัวเอง โจวเจ๋อตอนนี้อยากจะทำใจร่มๆ วางตัวนิ่งเฉย แต่ก็ยากที่จะเกลี้ยกล่อมตัวเองเล็กน้อย

จะว่าไปแล้ว มันรู้สึกละอายใจ!

โจวเจ๋อสองสามเดือนที่ผ่านมาได้อ่านนิยายในร้านหนังสือไม่น้อย และเขาเกลียดที่สุดก็คือบทของแม่พระ ไม่รู้สึกมีอารมณ์ร่วมอย่างสิ้นเชิง แต่พอถึงคราวตัวเอง กลับพบว่าไม่สามารถปล่อยวางได้จริงๆ

แน่นอนว่ายังมีเหตุผลที่สำคัญมาก นั่นก็คือตัวเองเพิ่งจะเป็นยมทูต ข้อมูลจากการสนทนาในตอนต้นของตัวเองกับสาวน้อยโลลิก็คือ ถ้าหากเจอสิ่งชั่วร้ายก่อเรื่องในพื้นที่ของตน เช่นนั้นยมทูตก็จะซวยไปด้วย

เมื่อตามรอยเท้าขึ้นไปข้างบน โจวเจ๋อเดินตามรอยเท้ามาถึงชั้นแปด ที่นี่เป็นชั้นของห้องผ่าตัด หลังจากเดินขึ้นบันไดแล้ว โจวเจ๋อใช้เวลาไม่นานก็เจอเป้าหมายของตัวเองแล้ว

“ท่านเป็นยมทูต จึงไม่อยากล่วงเกินท่าน แต่ท่านจะลำบากตามมาทำไม พวกเราต่างคนต่างอยู่ไม่ต้องก้าวก่ายกันได้อย่างสิ้นเชิง”

เสียงของอีกฝ่ายค่อนข้างแหบพร่า เหมือนกับคนชรากำลังพูด แต่โทนสียงแปลกอยู่บ้าง กัดคำแต่ละพยางค์พูดอย่างรวดเร็ว

“คุณกำลังทำอะไร” โจวเจ๋อชี้ไปที่มัน

“ข้ากำลังรอผู้หญิงของข้าออกมา” อีกฝ่ายตอบ “ยมทูต ท่านกลับไปเถอะ การฉีกหน้ากันไม่ดีกับใครทั้งนั้น และข้าสามารถรับประกันกับท่านได้ว่า จะไม่ทำเรื่องที่ผิดต่อฟ้าดิน จะไม่ทำให้ท่านลำบากใจ สวรรค์อยู่บนชั้นฟ้า ข้าเองก็ไม่กล้าก่อเรื่องอุกอาจ”

“ผู้หญิงของคุณเหรอ คุณกำลังรอใคร” โจวเจ๋อถาม

หรือว่าเป็นภาพยนตร์วิญญาณ ความรัก ความรู้สึกโผล่มาอีกแล้ว

แต่ในขณะนี้ ช่องทางเดินของห้องผ่าตัดอีกด้านหนึ่ง สาวน้อยที่คอยเฝ้าอยู่ข้างๆ พี่สะใภ้ของตัวเองถือใบเสร็จต่างๆ อยู่ในมือวิ่งเข้ามา น่าจะไปชำระเงิน

และข้างในนี้ คนที่นอนอยู่เป็นผู้หญิงที่กำลังคลอดบุตร!

“คุณไม่ใช่สามีของเธอ” โจวเจ๋อพูดดุ

“ผู้หญิงที่ข้าชอบ ก็คือผู้หญิงของข้า อีกทั้งเธอกับข้าก็เคยมีเวรกรรมและวาสนาต่อกัน นี่คือสิ่งที่สวรรค์ตกลงแล้ว”น้ำเสียงของอีกฝ่ายดูรำคาญมาก

ตอนแรกโจวเจ๋อเป็นคนตรวจอาการของผู้หญิงท้องคนนี้ โจวเจ๋อเดิมทีคิดว่าตัวเองเจอเรื่องคนนอกใจสวมเขาให้กันเสียแล้ว เขายังถอนหายใจ คิดว่าตัวเองก็เจอเรื่องคล้ายๆ กัน

เพื่อนสนิทของตัวเองกำลังเกิดเรื่องประเภทนี้

ตอนนี้ตัวเองเข้าโรงพยาบาลก็ยังเจอแม้แต่เรื่องแบบนี้ ดูเหมือนว่าหมู่นี้ตัวเองไปที่ไหนมักจะมีเหตุการณ์ที่คล้ายๆกัน

เขาจู่ๆ ก็อยากจะเปลี่ยนชื่อร้านหนังสือของตัวเองให้ชื่อว่า ‘ร้านหนังสือสีเขียว’

ตอบสนองคำเรียกร้องการรักษาสิ่งแวดล้อมของประเทศเสียหน่อย แต่ยังดีที่ว่า ครั้งนี้ไม่ใช่ความรักดราม่าธรรมดา แต่รับมือยากยิ่งกว่าเรื่องดรามาเสียอีก

“หนึ่งศพสองชีวิต” โจวเจ๋อเตือน พร้อมกับเดินไปข้างหน้าสองก้าวในเวลาเดียวกัน “ถ้าหากตอนนี้เธอผ่าตัดไม่สำเร็จ ก็เป็นจะเป็นหนึ่งศพสองชีวิต คุณยังจะพูดว่าจะไม่ทำเรื่องที่ผิดต่อสวรรค์อีกเหรอ”

“ท่านเป็นยมทูต ไม่รู้จักรักตัวกลัวตายเรอะ!” อีกฝ่ายเหมือนจะกลั้นไฟโกรธไม่อยู่แล้ว จึงหันมาโดยตรง

มันใส่ชุดกาวน์ของหมอ ก่อนหน้านั้นเห็นเงาหลังจึงมองอะไรไม่ออก แต่พอหันหน้ามาเท่านั้น กลับมีใบหน้าดุร้ายอย่างน่ากลัวปรากฏขึ้นมา

นี่คือลิงตัวหนึ่ง เป็นลิงที่สามารถยืนได้เหมือนคน

ร่างกายของมันส่วนใหญ่เน่าเฟะสุดๆ แม้แต่หัวกะโหลกของมันก็ว่างเปล่า ในนั้นว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย

“ท่านเป็นแค่ยมทูตระดับล่างสุดเท่านั้น อย่าคิดที่จะลามปาม!”

“แล้วคุณล่ะ เป็นอะไร” โจวเจ๋อย้อนถาม จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว

“เสียงแยกเขี้ยว!”

ลิงแยกเขี้ยวยิงฟัน พร้อมกับตวาดเสียงต่ำออกมาเบาๆ และหางสีดำที่อยู่ข้างหลังของมันได้ตั้งขึ้นมาในทันใดจากนั้นทิ่มไปบนพื้นกระเบื้องอย่างแรง

วินาทีต่อมา เพดาน กระเบื้อง และกำแพงที่อยู่รอบๆ โจวเจ๋อก็มีรูเล็กสีดำโผล่ออกมา

และมีหางยาวแต่ละอันโผล่ออกมาจากรูเล็กๆ จากนั้นก็พุ่งตรงมาหาโจวเจ๋อ

หางพวกนี้มีกลิ่นเหม็นคาวเป็นอย่างมาก แถมยังมีของเหลวหยดลงมา สำหรับคนอนามัยอย่างโจวเจ๋อความรู้สึกในเวลานี้เหมือนตัวเองกำลังอยู่ในโซนตลาดอาหารทะเลที่มีกลิ่นคาวมากที่สุด

และที่สำคัญที่สุดคือ ฉากนี้เขาเคยเห็นบ่อยในภาพยนตร์ จากนั้นโจวเจ๋อแบมือทั้งสองข้างออก เล็บสีดำงอกยาวออกมาทั้งหมด ส่วนลึกสุดของนัยน์ตาก็มีแสงสีดำหมุนวนออกมา

พูดตามจริง นอกจากสู้กับไป๋อิงอิงในครั้งนั้น ตัวเองก็ไม่เคยต่อสู้จริงๆ จังๆ สักที

และสิ่งที่ทำให้โจวเจ๋อคิดไม่ถึงก็คือ สมุดที่อยู่ในกระเป๋าของตัวเอง เวลานี้เริ่มร้อนเล็กน้อย ราวกับว่ามันอดใจไม่ไหวแล้ว

มีความตื่นเต้น มีความรอคอย ตัวเองเพิ่งจะได้หนังสือรับรอง จึงเหมือนกับคนที่เพิ่งสอบได้ใบขับขี่อย่างไรเสียก็ต้องลองขับเสียหน่อย

โจวเจ๋อตอนนี้อยากจะลองต่อสู้จริงๆ สักตั้ง

ทว่าฉากที่ปรากฏขึ้นทำให้โจวเจ๋อประหลาดใจอยู่บ้าง ตอนที่สมุดของตัวเองเริ่มร้อนนิดๆ เมื่อครู่เจ้าลิงที่ดูยโสโอหังอย่างยิ่งว่าตัวเองเป็นแค่ยมทูตระดับล่างกลับคุกเข่าลงอย่างกะทันหัน โขกศีรษะให้กับตัวเองไม่หยุด พร้อมกับตะโกนว่า

“ท่านฝู่จวิน จงไว้ชีวิตข้าเถิดๆ ข้าผิดไปแล้ว!”

ชั่วเวลาเดียว โจวเจ๋อที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นกลับต้องอารมณ์ค้างทันที

…………………………………………………………………………