บทที่ 267: การปรากฏตัวที่น่าสะพรึงกลัว
“หืม? ที่นี่ที่ไหน…”
ทันทีที่โรเอลลืมตา เขาก็พบว่าตัวเองกำลังแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน พร้อมกับลมหนาวที่พัดมากระทบร่างกายของเขา และใบไม้ที่ส่งเสียงกรอบแกรบก็สะท้อนจากรอบ ๆ
พื้นด้านใต้ที่แข็งทื่อไม่มีความนุ่มนวลของเตียง ทำให้เด็กหนุ่มเหลือบมองไปรอบ ๆ อย่างว่างเปล่า แต่เขาก็ไม่พบสิ่งใดในบริเวณใกล้เคียงเลย
หนาว
“นี่… ไม่ใช่ความฝันหรอกเหรอ?”
โรเอลพูดด้วยร่างกายที่สั่นเทาจากลมหนาว
เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้นเขาจึงรีบลุกขึ้นยืน เหลือบมองไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว ก่อนจะพบว่าตนอยู่บนดาดฟ้าสังเกตการณ์สักแห่ง ที่ทำให้เขามองเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบในมุมสูง
โรเอลสังเกตเห็นอาคารที่ดูคุ้นเคยในระยะไกลได้อย่างรวดเร็ว
ผ่านต้นไม้มากมาย เขาเห็นยอดหอคอยสูงที่ดูเหมือนจะสร้างขึ้นเมื่อหลายศตวรรษก่อน สถาปัตยกรรมอันโดดเด่นนี้ทำให้โรเอลจดจำได้ทันทีว่ามันเป็นหนึ่งในอาคารสามหลังที่เขาเคยพิจารณาว่าควรจะเป็นสำนักงานใหญ่ของกลุ่มกุหลาบน้ำเงินของเขา หอคอยที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ส่วนกลาง
“!”
โรเอลสะดุ้งขึ้นในทันที เขารีบวิ่งไปที่มุมระเบียงเพื่อจ้องมองทิวทัศน์ที่อยู่เบื้องล่าง ทว่ามันกลับทำให้เขาต้องตกตะลึง
เกิดอะไรขึ้น? เราถูกลักพาตัวงั้นเหรอ? มีคนพาเราออกจากคฤหาสน์สีกรมท่า ไปยังใจกลางของสถานศึกษาเพื่อโยนเราลงจากด้านบนดาดฟ้าสังเกตการณ์นี้เหรอ?
“ไม่ มันเป็นไปไม่ได้”
โรเอลปฏิเสธความเป็นไปได้ที่น่าหัวเราะนั้นในทันที มันไม่น่าเป็นไปได้อย่างยิ่งที่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 4 จะถูกนำออกจากคฤหาสน์ของตนไปยังเขตส่วนกลางได้โดยที่เขาไม่รู้สึกตัว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีทั้งกรันด้าและเปตราอยู่เคียงข้างอีกด้วย
กรันด้าและเปตรา อยู่ในอีกมิติที่แยกจากกันก็จริง แต่ยกเว้นช่วงเวลาที่โรเอลอยู่ในสภาพอ่อนแอ พวกเขาจะเชื่อมต่อกันตลอด ทำให้ใครก็ตามที่พยายามจะทำร้ายเด็กหนุ่มในขณะที่เขาหลับอยู่จะต้องถูกจัดการโดยเทพเจ้าโบราณทั้งสอง พวกเขาจะใช้พลังเวทของโรเอลในทันทีเพื่อปรากฏกาย
มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครลักพาตัวโรเอลออกไปที่ระเบียงโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวได้
ซึ่งหมายความว่านี่เป็นสถานการณ์พิเศษ หรือว่า… นี่คือแผนกลั่นแกล้งกันของนอร่าที่มีแรงบันดาลใจอยากลองเล่นอะไรแผลง ๆ ในที่แจ้ง?
ไม่ นั่นมันก็น่าจะเลยเถิดเกินไป…
ด้วยที่ไม่มีเงื่อนงำอะไรเลย โรเอลจึงสลัดความคิดที่บิดเบือนในใจออกไป พยายามสื่อสารกับโครงกระดูกยักษ์และเทพธิดาแห่งผืนปฐพีอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหน้าซีดลงด้วยความตกใจ
“นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน?”
โรเอลเบิกตากว้างในทันที
“เรา… ไม่สามารถติดต่อพวกเขาได้งั้นเหรอ? หน้าต่างเชื่อมต่อระหว่างพวกเราถูกปิดลงได้ยังไง? นี่หมายความว่าเราอยู่ในสถานะผู้เฝ้ามองงั้นเหรอ? เราเผลอไปกระตุ้นอะไรบางอย่างตอนไหนกัน?”
โรเอลพูดอย่างตกใจ พยายามที่จะตั้งสติ
เด็กหนุ่มพยายามสัมผัสถึงพลังคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของตน ก่อนจะปฏิเสธอย่างรวดเร็วว่าตนเองนั้นไม่ได้อยู่ในสถานะผู้เฝ้ามอง
สถานะผู้เฝ้ามองเป็นผลจากความสามารถทางสายเลือดของโรเอล ดังนั้นเขาจึงสามารถสัมผัสได้ถึงการเปิดใช้งานของมัน ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าเขาจะถูกส่งตัวไปยังมิติสถานะผู้เฝ้ามองแล้ว หน้าต่างของความสัมพันธ์ที่เขามีกับเปตราและกรันด้าก็ควรจะถูกปิดกั้นไว้เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่หน้าต่างในตอนนี้กลับหายไปโดยสิ้นเชิง ราวกับว่ามันไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่แรก
สิ่งนี้บ่งบอกถึงความเป็นจริงอันน่าสะพรึงกลัว ที่นี่โรเอลไม่สามารถใช้พลังของเทพเจ้าโบราณได้เลย
“เราต้องใจเย็น ๆ ก่อน มันไม่มีทางเลยที่เราจะสูญเสียพลังเหนือธรรมชาติของตัวเองไปแบบนี้ ซึ่งหมายความว่าตอนนี้เราไม่ได้อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ตอนนี้เราอยู่ในโลกแห่งความฝันงั้นเหรอ? ส่วนสาเหตุของมันก็น่าจะเป็น… แหวนกุหลาบดำ?”
โรเอลนวดขมับเพื่อสงบสติอารมณ์พลางเริ่มวิเคราะห์สถานการณ์ เขาจำได้ว่าตนเองไม่ได้ถอดแหวนกุหลาบดำก่อนจะผล็อยหลับไป ดังนั้นมันจึงเป็นไปได้ว่านี่คือ ‘การนำทาง’ ที่โรกล่าวถึง
รอบ ๆ ตัวเขา สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า ตอนเที่ยงคืนนั้นเงียบสงัดราวกับเมืองผี ปราศจากความพลุกพล่านตามปกติ มีแสงเทียนระยิบระยับจาง ๆ ในอาคารบางหลัง แต่นั่นกลับทำให้สภาพแวดล้อมดูน่ากลัวยิ่งไปกว่าเดิม
นี่มันเงียบเกินไป
จู่ ๆ โรเอลก็รู้สึกถึงความหนาวที่ไหลลงมาตามกระดูกสันหลัง ด้วยความคิดดังกล่าวที่ผุดขึ้นในใจ
เด็กหนุ่มถูกพามาที่ใจกลางของสถาบันโดยที่ไม่ทันได้รู้สึกตัว อีกทั้งยังสูญเสียการสนับสนุนจากเทพเจ้าโบราณ สิ่งนี้ทำให้เขาระแวดระวังมากขึ้น เด็กหนุ่มตรวจสอบลานสังเกตการณ์ที่ตนยืนอยู่ ก่อนจะเห็นประตูไม้ขนาดใหญ่ที่ดังเอี๊ยดภายใต้สายลมยามค่ำคืน ทุกอย่างมืดสนิท ราวกับเป็นรังของสัตว์ร้ายอันน่าสะพรึงกลัว
เราต้องลองเข้าไปดู
สิ่งที่โรเอลต้องการที่สุดในตอนนี้คือข้อมูล หากนี่คือการชี้นำของแหวนกุหลาบดำ เขาจะต้องไม่เสียโอกาสอันล้ำค่านี้โดยเด็ดขาด นอกจากนี้การเผชิญหน้ากับอันตรายหลายครั้งได้สอนให้โรเอลรู้ว่าการอยู่เฉย ๆ ในสถานการณ์เช่นนี้จะนำไปสู่ความตาย
เด็กหนุ่มเดินไปที่ประตูไม้อย่างมีสติ พยายามทำให้แน่ใจว่าได้ใส่ใจทุกรายละเอียดรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวในเงา เสียง หรือแม้แต่กลิ่น หลังจากแน่ใจว่าไม่มีอะไรแล้วหลังประตูไม้ เขาก็เริ่มเดินเข้าไป
ไม่มีใครอยู่ในห้องด้านหลังประตูไม้เลย
โรเอลส่งพลังเวทของตนไปที่ตา ทำให้รูม่านตาของเขาเปล่งแสงสีทองจาง ๆ และมองเห็นทุกสรรพสิ่งท่ามกลางความมืดได้อย่างชัดเจน การตรวจสอบอย่างรวดเร็วนี้ทำให้เขารู้ว่าตนอยู่ในสำนักงานบางประเภท
มีพรมแดงธรรมดา ๆ โต๊ะทำงานไม้ทั่วไป ถ้วยชาที่ไม่ทราบที่มา ชั้นหนังสือสองชั้นที่มีหนังสือเพียงไม่กี่เล่ม ธงของอาณาจักรแห่งการศึกาาโบรเนล นาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง และอุปกรณ์เวทมนตร์ทางโหราศาสตร์สองสามชิ้น
นี่น่าจะเป็นห้องทำงานของอาจารย์สอนวิชาโหราศาสตร์ โรเอลคิดขณะประเมินอุปกรณ์ที่แขวนอยู่ตรงผนัง
เด็กหนุ่มเดินไปที่โต๊ะและพยายามค้นหาข้อมูลจากของในลิ้นชักและชั้นหนังสือ พยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ส่งเสียงดัง แต่เขาก็ไม่พบอะไรเลย
มันว่างเปล่าทั้งหมด
รอยย่นเล็กน้อยเริ่มก่อตัวขึ้นบนหน้าผากของโรเอล การมีอยู่ของชุดถ้วยชาหมายความว่าที่สำนักงานนี้มีคนใช้งานมัน แต่การขาดซึ่งสิ่งของอื่น ๆ ทำให้เขาสับสนเป็นอย่างมาก ชิ้นส่วนของตัวต่อนั้นดูจะไม่พอดีกันสักเท่าไหร่
โรเอลกอดอกครุ่นคิดขณะหันความสนใจไปที่วัตถุอื่น ๆ ในห้อง
หืม? นาฬิกาที่แขวนอยู่ไม่เดินงั้นเหรอ?
โรเอลเริ่มรู้ตัวว่าเขาไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาบอกเวลาเลยตั้งแต่เดินเข้ามาในห้อง เด็กหนุ่มมองดูเวลา และมันก็ยังเป็นเวลา 01:13 น. ในช่วงกลางคืน
“นั่นมันเวลาที่เราหลับไปนี่นา…”
โรเอลตั้งข้อสังเกต
นาฬิกาเรือนนี้ดูเก่าแก่ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่วัตถุโบราณที่ล้ำค่าอะไร มันทำมาจากวัสดุที่ด้อยกว่าและงานฝีมือก็ต่ำต้อยเช่นกัน
ขณะที่โรเอลกำลังตรวจสอบห้อง เขาสังเกตเห็นว่าไม่มีการเคลื่อนไหวหรือเสียงที่ทางเดินนอกห้องเลยเช่นกัน
มีบางอย่างผิดปกติ ทำไมมันเหมือนกับว่าเราเป็นคนเดียวที่อยู่ในที่แห่งนี้?
นี่ทำให้โรเอลไม่สามารถต้านทานแรงกระตุ้นในใจที่อยากจะเปิดประตูและออกไปสำรวจทางเดินได้
ทว่าตามที่เด็กหนุ่มคาดไว้ ไม่มีใครอยู่ตามทางเดินอันมืดมิด สภาพแวดล้อมที่มืดมิดและความเงียบอันเยือกเย็นที่ถาโถมเข้าใส่จิตใจ ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง
โรเอลค่อย ๆ ออกจากห้องไปที่ทางเดิน ก้าวต่อไปจนมาถึงขั้นบันได ก่อนจะค่อย ๆ เดินลงไป เขาตรวจดูให้แน่ใจโดยการหยุดและมองไปรอบ ๆ ทุกครั้งที่เขามาถึงชั้นใหม่ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีการค้นพบอะไรที่สลักสำคัญเลย
จนกระทั่งเมื่อเด็กหนุ่มเดินไปถึงชั้นล่าง เขาก็สังเกตเห็นตะเกียงน้ำมันที่ตรงทางเข้าหอคอย
การปรากฏตัวของแสงได้ขจัดความรู้สึกมืดมนในหัวใจของโรเอลลงไปเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เกิดความระแวดระวังเช่นกัน เขารีบตรวจสอบบริเวณโดยรอบด้วยประสาทสัมผัสและพลังเวท และเมื่อยืนยันได้แล้วว่าแสงนั้นไม่ใช่กับดัก เด็กหนุ่มก็เดินเข้าไปหามัน
ที่นี่น่าจะเป็นสำนักงานของหน่วยรักษาความปลอดภัย ทั้งโล่งใจและน่าผิดหวัง โรเอลนั้นยังไม่เจอใครเลย
หลังจากนั้นโรเอลก็เดินออกจากหอคอย เดินไปรอบ ๆ สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า ในการเดินทางของเขา เด็กหนุ่มสังเกตเห็นได้ว่ามีเพียงสำนักงานของหน่วยรักษาความปลอดภัยชั้นล่างเท่านั้นที่มีแสงสว่างขึ้น นอกจากนั้นแล้วทุกที่ล้วนตกอยู่ในความมืด
รูปแบบของที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนกับภาพลวงตาอันน่ากลัว ราวกับว่าความชั่วร้ายกำลังควบคุมพื้นที่ทั้งหมดนี้
ไม่มีใครอยู่ที่นี่เลยจริง ๆ เหรอ?
การนำทางนี่มันพาไปหาอะไรกัน? เราจะได้กลายเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยคนใหม่ของสถาบันเหรอ?
โรเอลครุ่นคิดอย่างสงสัยในใจก่อนจะเริ่มเดินไปยังเขตหอพัก
เขตหอพักของที่นี่เป็นแหล่งรวมอาคารเก่าแก่ที่มีที่พักแบบสองห้องในราคาเช่าที่ค่อนข้างถูกสำหรับนักเรียน มันควรจะเป็นสถานที่ที่มีผู้คนหนาแน่นที่สุดในตอนกลางคืน ดังนั้นหากโรเอลไม่เจอใครเลยที่นั่น ก็ไม่น่าจะมีใครหลงเหลืออยู่ในสถาบันแห่งนี้อีกแล้ว
ทว่าโดยไม่คาดคิด หลังจากเลี้ยวไปข้างหน้า โรเอลก็ค้นพบใครบางคน
บนชั้น 5 ของหอพักที่ใกล้ที่สุด มีแสงส่องออกมา มันเป็นแสงที่ไม่สว่างเกินไป แต่สำหรับคนที่เดินทางท่ามกลางความมืดมาเป็นเวลานานนั้น มันดูเหมือนแสงแห่งความหวัง
ด้วยความตื่นเต้นกับการค้นพบนี้ โรเอลจึงรีบพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เขาใช้เวลาเพียงสิบวินาทีหรือประมาณนั้น ขึ้นไปถึงชั้นห้า และในไม่ช้าเขาก็เห็นเงาปริศนาเคลื่อนตัวท่ามกลางแสงสลัว
มีคนอยู่ที่นี่!
โรเอลถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาร่ายคาถา ‘คาถาย่องเบา’ ให้กับตัวเองเพื่อลดเสียงฝีเท้าของเขาก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้ ๆ ห้องที่มีแสงส่องออกมา หยุดอยู่ตรงหน้าประตู แง้มมันเพื่อแอบดูภายใน
ในห้องที่มีแสงสลัว มีเงาของคนในเสื้อคลุมสีดำที่มีแสงไฟอยู่ในมือ กำลังก้มลงบนเตียง กระซิบอะไรบางอย่างกับใครบางคน เสียงของเขาแหบแห้ง และคำพูดของเขาก็ลึกลับคลุมเครือ
ทันทีที่โรเอลได้ยินเสียงพึมพำ ร่างกายของเขาก็กระตุกด้วยความเจ็บปวดราวกับมีใครบางคนกำลังบดขยี้สมองของเขา
เด็กหนุ่มอยากจะกรีดร้องเพื่อระบายความเจ็บปวด แต่คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎในร่างกายของเขากลับตื่นขึ้นมา การไหลเวียนของพลังเวทจากคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎ ได้ขจัดความเจ็บปวดและนำสติกลับมาสู่จิตใจของเขา
อย่างไรก็ตาม การไหลเวียนพลังเวทนี้ก็ทำให้ร่างในชุดดำตื่นตกใจเช่นกัน เขาหันศีรษะมาที่โรเอลในทันที ทำให้อีกฝ่ายเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มได้อย่างชัดเจน
ภายใต้เปลวเพลิงที่ริบหรี่ โรเอลเห็นใบหน้าที่เหี่ยวแห้งที่มีรูม่านตาสีขาวและเขี้ยวอันแหลมคม
นี่มันตัวอะไรกัน!
“สัมผัสธารน้ำแข็ง!”
ทันทีที่ถูกพบ โรเอลก็เคลื่อนไหวโจมตีออกไปโดยไม่ลังเล เขาปล่อยพลังเวทแห่งความเย็นยะเยือกออกมา แช่แข็งร่างในชุดดำให้หยุดลงในทันที
การโจมตีนี้ทำให้โรเอลได้รับชัยชนะอย่างง่ายดาย ลมหายใจอันแสนประหม่าของเขาสงบลงเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองไปยังทางเดินอันมืดมิดอีกครั้งอย่างรวดเร็ว หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีสัตว์ประหลาดตัวอื่น เขาก็เดินกลับเข้ามาในห้อง
“เพื่อน นายสบายดีไหม… หา?”
โรเอลเดินไปที่เตียงและดึงผ้าห่มออก ก็เห็นว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น
หา? นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ถ้าไม่มีใครอยู่ที่นี่ แล้วสัตว์ประหลาดตัวนี้กำลังคุยอยู่กับใครกัน?
โรเอลหันไปมองสัตว์ประหลาดที่ถูกแช่แข็งอีกครั้ง พลางหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ การเคลื่อนไหวของสัตว์ประหลาดทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าเขากำลังสนทนาเงียบ ๆ กับใครบางคนบนเตียง ดังนั้นการที่ไม่มีคนอื่นอยู่ในห้องจึงเป็นไปไม่ได้
สถานการณ์อันยุ่งเหยิงนี้ทำให้โรเอลขมวดคิ้วแน่น
ก่อนที่เด็กหนุ่มจะเข้าใจสถานการณ์ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากทางเดินด้านนอก เขารีบเดินออกจากห้องไป ทำให้ได้เจอกับกองทหารในชุดเกราะดำกำลังเดินมาทางเขา โดยมีร่างในชุดดำยืนอยู่ที่ด้านหลังสุดของขบวน ซึ่งน่าจะเป็นผู้บัญชาการ
“*#&¥%!”
ร่างชุดดำตะโกนคำที่โรเอลไม่เข้าใจด้วยเสียงอันแหลมคม สั่งให้ทหารชุดเกราะดำเริ่มพุ่งเข้าใส่เขาด้วยดาบในมือ
“พวกนายเป็นตัวอะไรกันเนี่ย…สัมผัสธารน้ำแข็ง!”
โรเอลเริ่มโจมตีกองทหารโดยไม่ลังเล แต่คราวนี้ก่อนที่การโจมตีของเขาจะไปถึงเหล่าทหาร เขาก็รู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างกระตุ้นจากภายในจิตสำนึก
“!”
“กริ๊งงงงงง…”
บนเตียงของคฤหาสน์สีกรมท่า โรเอล ลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง ก่อนจะพบว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับเพดาน นาฬิกาปลุกที่เขาตั้งไว้ล่วงหน้าดังกึกก้องอยู่ข้าง ๆ แสงแดดจ้าที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างทำให้รู้สึกอบอุ่น พร้อมกับเสียงร้องอันไพเราะของเหล่านกจากภูเขาในยามเช้า
เด็กหนุ่มนั้นได้ตื่นขึ้นจากความฝันแล้ว