ภาคที่ 3 บทที่ 145.4 การโต้กลับ (4)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 145 การโต้กลับ (4)

เมืองธารน้ำใส ณ คฤหาสน์ตระกูลเว่ย

เมื่อเว่ยซงหลินออกมา ผู้คนมากมายก็วิ่งเข้าไปรุมล้อมเขาทันที “ผู้อาวุโส สถานการณ์เป็นอย่างไร ? ท่านผู้นำเป็นอย่างไรบ้าง ?”

เว่ยซงหลินกล่าวด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง “แท่นบงกชพังทลาย ฐานการบ่มเพาะลดระดับกลับสู่ด่านทะลวงลมปราณ”

“อะไรนะ ?” ทุกคนที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างตกตะลึง

เขากล่าวเสริมขึ้นต่ออีกเล็กน้อย “อย่างไรก็ดีรากฐานพลังของท่านยังคงอยู่ ท่านพ่อกล่าวว่าตราบใดที่อาการบาดเจ็บได้รับการดูแลรักษาจนหายดีแล้ว ท่านก็สามารถกลับไปสู่ด่านสู่พิสดารได้อีกครั้ง”

“ดีแล้ว ๆ ” ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก

ตราบเท่าที่สามารถเรียกระดับการฝึกฝนกลับคืนมาได้ สถานการณ์ก็นับว่าไม่ได้เลวร้ายเกินไป

“ทว่าก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 ปี”

เพียงประโยคเดียว ทุกคนก็ถูกปลุกตื่นขึ้นกลับสู่ความเป็นจริงโดยสมบูรณ์

10 ปี !

10 ปีไม่ใช่เวลาที่ยาวนาน แต่ก็ไม่ได้สั้นเช่นกัน ในยามนี้ความแข็งแกร่งคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่จะเป็นตัวกำหนดว่าคนคนหนึ่งจะได้รับผลประโยชน์มากน้อยแค่ไหน 10 ปีที่ไร้ซึ่งการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร สำหรับตระกูลเว่ยคงจะนับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างยิ่ง

บางคนถอนหายใจ “ถ้าต้องรอแค่ 10 ปี ก็ถือว่ายังดีกว่าตระกูลเซิน”

ตระกูลเซิน !

เมื่อได้ยินคำพูดนั้นก็ทำเอากลุ่มคนใจสั่น

ทันทีที่ข่าวการเสียชีวิตของเซินอวิ๋นหงได้กระจายออกไป ชื่อเสียงและศักดิ์ศรีความน่ายำเกรงของตระกูลเซินก็ลดลงอย่างฮวบฮาบไปทันควัน หลายคนหันมาจับตามองธุรกิจของพวกเขา บางส่วนเองก็เริ่มที่จะยื่นมือเข้ามาแล้ว

ในความเป็นจริง ถึงแม้ว่าเซินอวิ๋นหงจะไม่อยู่แล้ว แต่ตระกูลเซินก็ยังมีผู้เชี่ยวชาญอยู่บ้าง อาทิเช่น ตระกูลไหลที่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร ก็ยังไม่สามารถเทียบกำลังได้กับตระกูลเซินที่ขาดผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารไปได้เลย

แต่อิทธิพลของตระกูลสายเลือดชั้นสูงที่พกผันตรงกับขุมพลังที่พวกเขาครอบครอง ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นปัญหา ตามโครงร่างอาณาเขตของ 10 ตระกูลสายเลือดชั้นสูง ตระกูลหวังมีร้านค้า ผู้เชี่ยวชาญ และเขตแดนในครอบครองมากที่สุด ตามมาด้วยตระกูลเซินแล้วก็ตระกูลเว่ย ดังนั้นเมื่อเซินอวิ๋นหงเสียชีวิตไป จำนวนธุรกิจที่พวกเขาเป็นเจ้าของอยู่จึงถูกมองว่าไม่ค่อยเหมาะกับความแข็งแกร่งของพวกเขา

แน่นอนว่ามันก็แค่เพียงความเข้าใจผิดกันเท่านั้น หากผู้คนเกรงใจกันมากขึ้นสิ่งต่าง ๆ อาจจะไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เซินอวิ๋นหงเพิ่งเสียชีวิตลงและคงไม่มีใครใจร้อนออกมาลงมือกลืนธุรกิจของตระกูลเซิน อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในยามนี้ พวกเขายังคงเป็นสหาย เป็นพันธมิตรและยังคงมีความสนิทสนมกันอยู่บ้าง บางตระกูลก็ถึงกับมีสายสัมพันธ์เกี่ยวดองกันอยู่ด้วยซ้ำ

ด้วยเหตุนี้ นอกเสียจากตระกูลเซินจะล่มสลายลงไปอย่างสมบูรณ์ ในเรื่องเช่นนี้พวกเขาก็มักจะไม่ลงมือทำอะไรโฉ่งฉ่างมากนัก แม้ว่าจะต้องลงมือ แต่พวกเขาก็จะใช้กลยุทธ์ต้มกบในน้ำอุ่น ค่อยเป็นค่อยไปอย่างช้า ๆ ทีละขั้นตอน

ในตอนนั้นเอง กลุ่มอันธพาลฉางชิงก็ได้ปรากฏตัวขึ้น

กลุ่มอันธพาลฉางชิงได้จัดการกวาดล้างกลุ่มอินทรีแดงจากถนนละอองสีชาด ในทันทีที่เซินอวิ๋นหงเสียชีวิตลง และเข้ายึดธุรกิจของอีกฝ่ายไปอย่างรวดเร็ว

ตามปกติแล้วเหตุการณ์แบบนี้ มักจะนำไปสู่การประชุมพันธมิตร และการจัดการกลุ่มอันธพาลฉางชิง

อย่างไรก็ตาม เวลานี้กลับไม่มีการลงโทษอะไรเช่นนั้นเกิดขึ้น

อย่างแรกเลยเป็นเพราะไหลหวูอี่ได้ออกตัวยืนหยัดปกป้องกลุ่มอันธพาลอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดก็เพื่อปกป้องหน้าตาของตระกูล เพื่อผลประโยชน์ เพื่อเอาชนะใจของกลุ่มอันธพาล และเพื่อความทะเยอทะยานอันซ่อนเร้นของตัวเขาเอง ทำให้ไหลหวูอี่ได้ก้าวเข้าลงในหลุมของที่ซูเฉินขุดเอาไว้อย่างไม่ได้ตั้งใจเรียบร้อยแล้ว

อย่างที่สองตระกูลหวังยังคงเงียบอยู่ อันซื่อหยวนได้เตือนหวังซานหยูอย่างจริงจัง ว่าอย่าได้คิดที่จะเคลื่อนไหวโดยพลการอีกและกล่าวว่าจากนี้ไปจะคอยเฝ้าจับตาดูเขา หวังซานหยูลงมือโจมตีซูเฉินเพียงแค่ครั้งเดียว แต่เพื่อสงบความวุ่นวายลง เขากลับถูกบังคับให้ต้องใช้ความสัมพันธ์ของตนกับคนในพระราชวังที่ยากจะหาได้ไป และในที่สุดทุกอย่างก็สงบลง ด้วยเขาไม่เต็มใจที่จะเริ่มต้นปัญหาอีกครั้ง

และตระกูลหลงกับตระกูลเหลียนเองก็ทำเช่นเดียวกัน พวกเขาเลือกที่จะเคลื่อนไหวยึดเขตแดนของกลุ่มเล็ก ๆ ที่อยู่ภายใต้ตระกูลเซินอย่างเงียบ ๆ แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ลงมือแบบบ้าเลือดเท่ากลุ่มอันธพาลฉางชิง

ด้วยเหตุผลหลายประการนี้ การสังหารหมู่กลุ่มอินทรีแดงของกลุ่มอันธพาลฉางชิงจึงไม่ได้รับการลงโทษใด ๆ และทำให้ทุกคนเริ่มที่จะคิดไม่ซื่อ

ในสายตาของผู้คนมากมาย ตระกูลเซินนั้นแทบไม่ได้ต่างอะไรไปจากก้อนเนื้ออวบอ้วน เมื่อมีคนกัดคำแรกไปอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจแล้ว มันคงเป็นไปไม่ได้แล้วที่ผู้กัดคำต่อไปจะเกรงใจ หากพวกเขาไม่ต้องการถูกบีบออกจากกลุ่มของผู้ได้รับผลประโยชน์ความขัดแย้ง พวกเขาก็ต้องเริ่มต่อสู้และแย่งชิงมาให้ไวกว่าผู้อื่น

ชะตากรรมต่อไปของตระกูลเซิน ไม่ว่าใครก็คงจินตนาการได้ไม่ยาก

เพียงไม่กี่วันเหล่ากลุ่มอันธพาลทั้งหลายที่อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลเซิน ก็ถูกโจมตีนับครั้งไม่ถ้วน จนเกือบจะถูกกวาดล้างไปจนหมดสิ้นแล้ว

กลุ่มอันธพาลก็เปรียบเสมือนมีด

มีดที่มีไว้สำหรับหั่นเนื้อ

แม้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคนมากนัก แต่ในสายตาของใครหลายคนก็มองว่าพวกเขายังมีประโยชน์และใช้งานได้ง่าย

ธุรกิจสกปรกที่คนทั่วไปไม่มีส่วนได้รับรู้มักถูกกลุ่มอันธพาลเป็นผู้จัดการ การโจมตีคู่ต่อสู้เพื่อตรวจสอบความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามก็เป็นหนึ่งในหน้าที่เหล่านั้น และท้ายที่สุดเขตแดนที่ยากจะเข้ายึดครองทั้งหมดในคราวเดียว ก็จะถูกกลุ่มอันธพาลค่อย ๆ เข้าครอบครองอย่างช้า ๆ

อาทิเช่น หน้าร้าน

หากผู้ใดสามารถที่จะควบคุมกลุ่มอันธพาลที่เป็นเจ้าของถนนสายนี้ได้ คนผู้นั้นก็จะสามารถควบคุมร้านค้าทั้งหมดบนถนนสายนี้ได้เช่นกัน

และถ้าไม่ต้องการที่จะให้ร้านค้าร้านไหนได้ทำธุรกิจบนถนนแห่งนี้ต่อ ผู้ควบคุมก็สามารถจัดการร้านเหล่านั้นได้โดยแทบจะไม่ต้องใส่ใจวิธีการเลย

อาจกล่าวได้ว่ากลุ่มอันธพาลคือกำแพงป้องกันชั้นนอกสุด หากไม่มีการป้องกันชั้นนี้ก้อนเนื้ออวบอ้วนที่อุดมไปด้วยไขมันล่อตายั่วใจ ก็จะถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนในทันที

ด้วยเหตุนี้เมื่อพวกเขาสูญเสียพวกอันธพาล ทั้งร้านค้าทั้งธุรกิจที่เป็นของตระกูลเซินต่างก็ได้เผชิญกับความยากลำบากไปโดนพลัน

แม้นปกติร้านค้าเหล่านี้มีคนของตระกูลคอยดูแลอยู่ แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่ายิ่งเจ้าเขตแข็งแกร่งมากเพียงใด อาณาเขตที่สามารถครอบครองได้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หากเจ้าเขตไร้ซึ่งพลังก็ยากที่จะดูแลอาณาเขตที่กว้างขวาง

วันต่อมาธุรกิจกว่า 100 แห่งในเมืองธารน้ำใสที่ตระกูลเซินเป็นเจ้าของ ต่างได้รับผลกระทบทั่วกันไม่มากก็น้อย คนจากตระกูลเซินพยายามอย่างเต็มที่แล้ว ทว่าก็ปกป้องเอาไว้ได้แค่เพียงบางส่วนเท่านั้น

ภายใต้สถานการณ์ที่สิ้นหวังเช่นนี้ ทำให้ตระกูลเซินจำต้องเริ่มขายธุรกิจบางส่วนออกไป พวกเขาถึงจะสามารถทุ่มความสนใจในการป้องกันไปกับสิ่งที่เหลืออยู่ได้ นี่คือวิธีที่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงมักจะเลือกใช้ เพื่อปรับตัวและปกป้องตนเองอย่างยืดหยุ่นท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้าย

บางกลุ่มก็สามารถกลับขึ้นสู่จุดสูงสุดได้หลังจากหายเงียบไปไม่กี่ปี แต่ก็มีบางกลุ่มที่ถูกทำลายล้างและไม่สามารถลุกขึ้นได้อีกเลยอยู่เช่นกัน

เมื่อเขานึกถึงสถานการณ์ของตระกูลเซิน เว่ยซงหลินก็ขบกรามแน่น

หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้ว เขาก็พูดว่า “เหล่าลี่ กลับไปจัดระเบียบร้านค้าใหญ่ 2-3 แห่งในตรอกต้นหลิว และขายออกไปเสีย”

หัวหน้าพ่อบ้านลี่ตื่นตกใจ “แต่ท่านผู้อาวุโส ร้านเหล่านั้นล้วนเป็นร้านดี ๆ ที่ทำกำไรให้เรามากมายได้ทุกวันนะขอรับ !”

“ข้ารู้ !” เว่ยซงหลินกล่าวอย่างฉุนเฉียว “แต่หากเราไม่ปล่อยร้านที่ทำกำไรได้จริง ๆ ไป ใครที่ไหนจะเต็มใจมาซื้อต่อ ? ซูเฉินก็ยังคงอยู่ที่นี่ เรื่องอาการบาดเจ็บของท่านพ่อไม่มีทางที่จะปิดไว้ได้นานนักหรอก เจ้าคิดว่าข่าวลือเรื่องการตายของเซินอวิ๋นหงเป็นความบังเอิญงั้นรึ ? ยามนี้สิ่งวิธีปลอดภัยที่สุด มีเพียงแต่จะต้องเคลื่อนไหวอย่างรอบคอบเท่านั้น”

“ซูเฉิน !”

ทันทีที่ทุกคนได้ยินชื่อนี้ พวกเขาก็เดือดดาลไปด้วยความโกรธ

ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่าย พวกเขาก็คงจะไม่ตกอยู่ในสภาพที่น่าอดสูเช่นนี้

“ 10 ปี ! ทุกท่านโปรดอดทนรออีก 10 ปี เมื่อท่านหัวหน้าตระกูลฟื้นฟูความแข็งแกร่งและสร้างแท่นบงกชขึ้นมาได้อีกครั้ง ตระกูลเว่ยจะต้องแก้แค้นอย่างแน่นอน !”

“ขอรับ !” ทุกคนตะโกนเห็นด้วยอย่างพร้อมเพรียง

อย่างไรก็ตามไม่มีใครในพวกเขาได้คาดคิดว่า ซูเฉินนั้นไม่ได้คิดจะปล่อยเวลา 10 ปีให้พวกเขาเลยแม้แต่น้อย

ข้ารับใช้ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ “ผู้อาวุโส ! ท่านผู้อาวุโส !”

“เกิดอะไรขึ้น ? เจ้าจะตะโกนเอะอะโวยวายไปทำไม ?” เว่ยซงหลินขมวดคิ้ว แม้ว่าตระกูลจะกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่ข้ารับใช้จะทำตัวไร้มารยาทต่อเจ้านายได้เช่นนี้

“ท่านผู้อาวุโส ! ซูเฉินกลับมาแล้ว !”

เมื่อได้ยินชื่อซูเฉิน หัวใจของทุกคนก็สั่นสะท้าน และเมื่อได้ยินว่าเขากลับมา พวกเขาก็ตกตะลึงอีกครั้ง

ไม่ใช่ว่าซูเฉินกลับมานานแล้วหรอกหรือ ?

ไม่ นั่นไม่ถูกต้อง

ทันใดนั้นเว่ยซงหลินก็ตระหนักได้ว่าข้ารับใช้ของเขาหมายความว่า ในที่สุดซูเฉินก็ปรากฏตัวขึ้นในเมืองธารน้ำใสอย่างเป็นทางการแล้ว

นับตั้งแต่การไล่ล่าครั้งใหญ่ที่นอกเมืองเป็นต้นมา ซูเฉินก็ได้เก็บซ่อนตัวอยู่ตลอดเวลา

และตอนนี้ซูเฉินกำลังประกาศถึงการกลับมาถึงของเขาอย่างเป็นทางการ

“มันปรากฏตัวขึ้นอย่างไร ?” เว่ยซงหลินถาม

“ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษเลยขอรับ” ข้ารับใช้ตอบด้วยความสับสนเล็กน้อย “มันเพิ่งปรากฏตัวขึ้นที่กรมพลังต้นกำเนิด และเริ่มดูแลจัดการธุระตามปกติ”

“ดูแลจัดการธุระ … ” เว่ยซงหลินตกลงสู่ห้วงความคิด ทันใดนั้นท่าทางการแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนไป “ไม่ดีแล้ว !”