ภาคที่ 3 บทที่ 146.5 การโต้กลับ (5)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 146 การโต้กลับ (5)

ภายในศาลาแปดสมบัติ

อู๋ซานนั่งจิบเหล้าอยู่ที่ที่นั่งข้างหน้าต่าง ศาลาแปดสมบัติแห่งนี้มีอาหารเลิศรสเลืองชื่ออยู่ 8 อย่าง และเหล้านี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น มันมีฤทธิ์แรงมากจนทิ้งรสค้างเอาไว้ในลำคอ และตัวเหล้าเข้มข้นมาก ๆ จนกล่าวได้ว่ามันอาจจะระเบิดได้หากมีประกายไฟมาสัมผัสเลยทีเดียว

อู๋ซานชอบดื่มเหล้ารสแรงเช่นเดียวกับที่เขาชอบผู้หญิงแกร่ง มีเพียงแค่เหล้าที่แรงจนแทบจะเผาคอได้เท่านั้นถึงคุ้มค่าที่จะดื่ม

หลังจากกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดแล้ว ความเพลิดเพลินแบบคนปกติทั่วไปก็พลันจืดชืดลง ดังนั้นพวกเขาจึงชื่นชอบที่จะแสวงหาในอะไรที่แปลกใหม่กว่าและร้อนแรงยิ่งกว่าเดิม ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดบางคนจึงได้เลือกเดินบนเส้นทางแห่งการผจญภัย บางคนอุทิศตนเพื่อการฝึกฝนที่เข้มงวด หรือไม่ก็เฝ้าค้นหาความตื่นเต้นรูปแบบอื่นในชีวิตประจำวันของพวกเขา

อู๋ซานเป็นคนที่ขาดความกล้าหาญและความมุ่งมั่น สติปัญญาของเขาก็ไม่ได้เป็นเลิศขนาดนั้น เขาไม่สามารถเป็นนักผจญภัยหรือนักวิชาการได้ เขาจึงเลือกตัวเลือกสุดท้ายที่ธรรมดาที่สุด ทุ่มเทเวลาและเงินทองไปกับสุราและนารีที่ดีที่สุด ใช้พลังให้หมดไปกับสิ่งเหล่านี้ไปวัน ๆ

ตราบเท่าที่เขาสามารถใช้ชีวิตแบบนี้ได้ไปจนตาย นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา

“อู๋ซาน” เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังของเจ้าของนาม

อู๋ซานไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง “ข้าไม่สนไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร จะผายลมอันใดก็รีบทำ(1) เสร็จแล้วก็รีบไสหัวไปเสียอย่าขัดจังหวะมื้ออาหารของข้า”

“ได้” คนที่อยู่ข้างหลังเขาไม่ได้ทุบตีรอบ ๆ พุ่มไม้(2)อีก “อู๋ซาน เมื่อ 3 วันก่อน เจ้าได้ก่อความวุ่นวายขึ้นที่โถงทางการ สังหารคนไป 2 และทำให้บาดเจ็บอีก 12 คน เราได้ทำการตรวจสอบและพบหลักฐานแล้ว ตามข้ากลับไปที่กรมพลังต้นกำเนิดเสีย”

อู๋ซานไม่ได้ขยับ เขาหัวเราะและพูดว่า “เจ้าคงจะเข้าใจอะไรผิดแล้ว”

“ไม่ว่าจะเป็นการเข้าใจผิดจริงหรือไม่ เมื่อไปถึงกรมพลังต้นกำเนิดเราก็จะได้รู้กัน” เขากล่าวพร้อมกับเอื้อมมือไปเพื่อคว้าไหล่ของอีกฝ่าย

ในจังหวะที่มือของคนจากกรมพลังต้นกำเนิดกำลังจะแตะโดน ทันใดนั้นแขนของอู๋ซานก็บิดงออย่างแปลกประหลาด ฝ่ามือพลิกกลับและซัดตรงเข้าใส่ผู้ที่อยู่ด้านหลัง พลังต้นกำเนิดที่รุนแรงที่ราวกับจะแยกภูเขาและทะเลได้ระเบิดทะลักออกมา เวลาเดียวกันนั้นอู๋ซานก็ได้พุ่งตัวไปข้างหน้า ทุบหน้าต่างแล้วกระโจนออกไปในอากาศ

ทว่าเมื่อเขากระโดดขึ้นไปบนอากาศได้สำเร็จ อู๋ซานก็พบว่ามีคนผู้หนึ่งกำลังรอเขาอยู่แล้ว

หยวนเลี่ยหยาง

เขาเหยียดนิ้วชี้ไปยังอู๋ซาน คลื่นเปลวไฟที่ส่องประกายระเบิดขึ้นต่อหน้า ผลักส่งชายผู้เร่งรีบจากออกมาให้กลับเข้าไปในตัวอาคารอีกครั้ง

ทันทีที่อู๋ซานร่วงกลับเข้ามา เจ้าหน้าที่กรมพลังต้นกำเนิดทั้ง 4 ที่รออยู่ก็พุ่งเข้าตรึงมือเท้าของอีกฝ่ายโดยพร้อมเพรียง

หยวนเลี่ยหยางเดินเข้ามาด้วยท่าทีสบาย ๆ และกล่าวอย่างช้า ๆ ว่า “ถ้าข้ายอมปล่อยให้เจ้าหนีไปง่าย ๆ เช่นนั้น แล้วข้าจะกล้ากลับไปเผชิญหน้ากับใต้เท้าซูได้อย่างไร ?”

“ซูเฉิน !” อู๋ซานแหงนหน้าขึ้นฟ้าและตะโกนร้องลั่น ราวกับว่าต้องการประกาศให้ทุกคนได้รู้ว่าใครคือผู้ที่จับกุมเขา

หยวนเลี่ยหยางยืนหัวเราะอย่างเย็นชา และไม่ได้คิดที่จะหยุดอีกฝ่ายแต่อย่างใด

————————————

เฉียนหรงโบกำลังถือกรงนกเดินเล่นอย่างสบาย ๆ เมื่อผู้คนทั้ง 2 ข้างถนนสังเกตเห็นเขากำลังเดินผ่าน พวกเขาทุกคนก็จะก้มหน้าก้มตาหลบไปด้วยความหวาดกลัว

เฉียนหรงโบชอบความรู้สึกแบบนี้

ความรู้สึกหวาดกลัวและยำเกรงจากผู้อื่น มันทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นเจ้านาย ไม่ใช่หนึ่งในบรรดาสุนัขของตระกูลสายเลือดชั้นสูง

เขาไม่ใช่สุนัข !

ผู้คนฝึกตนอย่างหนักเพื่ออะไร ? ไม่ใช่เพื่อสถานะที่สูงขึ้น ชีวิตที่ดีขึ้น และอิสรภาพที่มากขึ้นหรอกหรือ ?

อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักเขาก็ได้รู้ว่าอิสรภาพนั้นก็เป็นเพียงแค่ลมปาก ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใด มันก็จะยังมีใครบางคนที่แข็งแกร่งกว่าอยู่เหนือเราเสมอ

แม้นจะฝึกฝนอย่างหนักจนเข้าสู่ด่านก่อเกิดลมปราณ และได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดผู้มีชื่อเสียง แต่ก็ยังมีผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในด่านกลั่นโลหิตอยู่เหนือกว่าอยู่ดี และหากพยายามต่อจนก้าวสู่ด่านกลั่นโลหิตได้แล้ว ก็ยังมีด่านทะลวงลมปราณอยู่เหนือกว่าอีกรออยู่

เส้นทางแห่งการบ่มเพาะนั้นไร้ซึ่งที่สิ้นสุด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือไม่ว่าจะอยู่สูงเพียงใด ก็จะมีใครบางคนที่เหนือกว่าอยู่เสมอ

เฉียนหรงโบรู้ถึงความสามารถของตนเองดี บางทีด่านทะลวงลมปราณคงจะเป็นขีดจำกัดของเขาแล้ว

ดังนั้นเขาจึงเลิกฝึกฝนไปนานแล้ว และมุ่งเน้นไปหาความสุขให้กับตัวเองแทน

เฉพาะต่อหน้าคนทั่วไปเหล่านี้เท่านั้น ที่เขาจะสามารถสัมผัสถึงความตื่นเต้น และความรุ่งโรจน์ของการเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดได้ ต่อหน้าคนธรรมดาเหล่านี้เท่านั้น ที่เขาจะไม่ใช่หนึ่งในบรรดาสุนัขของตระกูลสายเลือดชั้นสูง แต่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่คนหนึ่ง

เฉียนหรงโบชื่นชอบความรู้สึกนี้ยิ่ง

ด้วยเหตุนี้เขาจึงทุ่มเทพลังทั้งหมด ไปกับการรักษาภาพลักษณ์ที่น่าเกรงขามและดูมีศักดิ์ศรีสูงส่งเอาไว้

เฉียนหรงโบหยุดลงที่หน้าหญิงสาวนางหนึ่ง “เจ้าแอบมองข้า”

ดวงตาของเฉียนหรงโบเฉียบคมอย่างมาก ถึงจะเพียงแค่แวบเดียวแต่เขาก็ยังสังเกตเห็นหญิงสาวคนนี้ ผู้แอบมองมาที่เขาอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่นางกำลังก้มศีรษะลง มันอาจจะเป็นการต่อต้านจากใจ ไม่ก็ความอยากรู้อยากเห็นชั่วขณะ หรืออาจเป็นเพียงแค่ความประมาท แต่ไม่ว่ามันจะมีสาเหตุมาจากอะไร ก็กล่าวได้ว่านางได้แอบมองเขาอยู่ดี

การมองครั้งนี้กำลังจะกลายเป็นที่มาของฝันร้ายของนางไปตลอดชีวิต

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจและเหลือบมองอีกฝ่าย “นายท่าน ?”

เฉียนหรงโบถอนหายใจ “ช่างเป็นท่าทีที่หยาบคายมากเสียจริง ในเมื่อเจ้าทำผิดเจ้าก็ต้องชดใช้”

หลังจากพูดจบเขาก็เอื้อมมือไปควักดวงตาของหญิงสาว

เสียงกรีดร้องที่น่าสยดสยองดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่เฉียนหรงโบกลับทำราวกับว่าขาเพิ่งได้ยินเพลงที่ดึงดูดใจมากที่สุดในโลกไป ก่อนที่จะเดินจากไปพร้อมกับรอยยิ้มพึงพอใจบนใบหน้า

“เฉียนหรงโบ” เจ้าหน้าที่กรมพลังต้นกำเนิดผู้หนึ่ง เรียกตัวอีกฝ่ายเอาไว้จากด้านหลัง

“หืม ?” เฉียนหรงโบหันกลับมามอง

ร่องรอยแห่งความเสียใจสะท้อนอยู่ในดวงตาของต้วนเฟิง ในขณะที่เขามองดูหญิงสาวที่ทรุดตัวลงร้องไห้คร่ำครวญอยู่กับพื้น

เขามาถึงช้าเกินไป !

ต้วนเฟิงกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าข้าคงจะไม่จำเป็นต้องแจกแจงถึงความผิดของเจ้า เศษขยะอย่างเจ้าสมควรตายอย่างยิ่ง เอาตัวมันไป !”

————————————————

การจับกุมตัวเช่นนี้เกิดขึ้นในทุกพื้นที่ของเมืองธารน้ำใส ในช่วงเวลาเดียวกัน

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาภายใต้การชักนำของซูเฉิน ความแข็งแกร่งของกรมพลังต้นกำเนิดจึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว มันไม่ใช่กรมพลังต้นกำเนิดที่มีผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดเพียง 20-30 คนอีกต่อไป ด้วยผู้เชี่ยวชาญของกรมในยามนี้นั้นมีอยู่มากมายนับร้อย ทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญที่ก้าวเข้าสู่ด่านทะลวงลมปราณแล้วอีกถึง 7-8 คน

หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่า ตระกูลสายเลือดชั้นสูงมีผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารอยู่ในขุมกำลังของพวกเขาแล้วละก็ ซูเฉินก็ย่อมสามารถที่จะนำกรมพลังต้นกำเนิดเก็บกวาดเหล่าตระกูลชั้นสูงไปได้อย่างง่ายดาย

ตอนนี้เซินอวิ๋นหงได้เสียชีวิตในการต่อสู้ไปแล้ว เว่ยเพ่ยเองก็บาดเจ็บสาหัส ส่วนหวังซานหยูก็ถูกอันซื่อหยวนจับตาไว้อยู่ นั่นหมายความว่าผู้ที่มีการฝึกตนอยู่ในระดับสูงอย่างผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารทั้งหมด ถูกสกัดกั้นและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป สถานการณ์เช่นนี้ ผลลัพธ์ทุกอย่างจึงไปขึ้นอยู่ที่ว่าผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณของใครแข็งแกร่งกว่ากัน

ซูเฉินมีความมั่นใจในเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย

ไม่จำเป็นจะต้องต้องนับรวมกองกำลังสามสายธารของเจียงซีสุ่ย หรือกลุ่มอันธพาลฉางชิงหวังเหวินซิ่น เพราะเพียงแค่กรมพลังต้นกำเนิดที่ชายหนุ่มควบคุมอยู่ ก็มากเกินพอที่จะโยนเมืองธารน้ำใสนี้ลงสู่พายุแห่งความสับสนอลหม่านแล้ว

และนั่นคือสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ในตอนนี้

ศาลาหุบเขาพฤษภ สวนตรรกะโบราณ เขตคลองบาร์เลย์ อารามเศียรมังกร บ่อนชั้นล่าง อ่าวฉีหลาน หมู่บ้านซางจิงซี ตรอกปรางค์ศิลา ถนนโรงสี ถนนเนินลาดตะวันตก อารามนิจนิรันดร์และพื้นที่โดยรอบแทบทั้งหมด ทุกหนทุกแห่งในเมืองธารน้ำใสล้วนมีการจับกุมเกิดขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดผู้ที่ทำตัวไร้เหตุผล หยิ่งผยอง สร้างปัญหา ฆ่าคน ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ และก่อเหตุร้ายและผู้ที่หลอกลวงคนไปทั่ว ต่างก็ล้วนถูกจับกุมไปทั้งหมด

บางคนพยายามที่จะสู้กลับอย่างไม่หลบซ่อน ในบรรดาคนประเภทนี้ ผู้โชคดีมักจะจบลงที่ถูกนำตัวไปหลังจากได้รับบาดเจ็บไปบ้างเล็กน้อย ในขณะที่ผู้โชคร้ายล้วนแล้วแต่ถูกฆ่าตายในที่เกิดเหตุ

พายุ ‘การปราบปราม’ ได้พัดผ่านเมืองธารน้ำใส แต่การปราบปรามที่รุนแรงนี้เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดเท่านั้น เพราะกรมพลังต้นกำเนิดมีหน้าที่จัดการเพียงแค่เหล่าผู้เชี่ยวชาญ พวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะดำเนินการตามกฎหมายกับคนธรรมดาทั่วไป

ถึงแม้เป้าหมายของพวกเขาจะมีแค่ผู้เชี่ยวชาญ ทว่าไม่ว่าใครก็พอจะมองออกได้ไม่ยากเกินไปนัก ว่ากรมพลังต้นกำเนิดนั้นได้ดำเนินการโดยมีเป้าหมายเฉพาะเจาะจง

แทบจะกล่าวได้ว่าเป้าหมายของพวกเขา มีเพียงคนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังเลือกเป้าหมายเฉพาะจากในกลุ่มคนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงอีกที

เป้าหมายหลักของกรมพลังต้นกำเนิดคือตระกูลเซินและตระกูลเว่ย

นับตั้งแต่ที่ซูเฉินกลับมากรมพลังต้นกำเนิดก็ได้เริ่มกระบวนการปราบปราม เพื่อกวาดล้างเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ปฏิบัติตามกฎ และ 7-8 จาก 10 ส่วนของ ‘ผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ปฏิบัติตามกฎ’ ล้วนแล้วแต่มาจาก 2 ตระกูลนี้

*****

(1) จะพูดก็รีบพูด มีลมก็รีบผาย – เป็นสำนวนใช้พูดเวลาต้องการให้อีกฝ่ายมีอะไรก็รีบๆพูดมาเลย ไม่ต้องอ้อมค้อม ไม่ต้องอึกๆอักๆ

(2) ตีรอบๆพุ่มไม้ – พูดจาอ้อมค้อมวกวน ไม่พูดสิ่งที่ต้องการจะพูดซักที