ภาคที่ 3 บทที่ 147.6 การโต้กลับ (6)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 147 การโต้กลับ (6)

“แม้กระทั่งเหลียนหยานอี้กับลั่วอวี้ก็ถูกจับไปด้วย ?”

หวังเผยหยวนจ้องมองรายงานที่อยู่ในมือของเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

รายงานสั้น ๆ แต่กระชับได้ใจความ สร้างแรงกดดันให้เขาอย่างมาก

ในที่สุดผลร้ายจากการล้มเหลวในการฆ่าอีกฝ่ายก็ได้ปรากฏขึ้นให้เห็นแล้ว ซูเฉินได้เริ่มการตอบโต้ทันทีที่เขากลับมาถึง

อันที่จริงหวังเผยหยวนไม่ได้แปลกใจในเรื่องที่ซูเฉินจะพยายามแก้แค้นเลยสักนิด ทว่าการกระทำที่ที่เด็ดขาดและตรงไปตรงมานี้ …มันเหนือเกินความคาดหมายของเขาไปอย่างสิ้นเชิง !

และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ก็คือเรื่องการตายของเซินอวิ๋นหง กับอาการบาดเจ็บสาหัสของเว่ยเพ่ย

การสูญเสียขุมกำลังระดับสูงทั้ง 2 นี้ได้ชำระล้างความเกรงกลัวของซูเฉินไป และทำให้เขามีโอกาสในการเริ่มเคลื่อนไหวอย่างไม่ต้องเกรงใจใคร

แม้ว่าตระกูลหวังจะยังคงมีหวังซานหยูอยู่ แต่ด้วยตัวตนของอันซื่อหยวน มันก็ทำให้ความได้เปรียบของตระกูลนี้กลายเป็นโมฆะไป และผู้ชนะในการดวลครั้งนี้มันก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่มีความแข็งแกร่งรองลงมา ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ซูเฉินเล็งเอาไว้ !!

หวังเผยหยวนรู้สึกว่าหัวใจของเขาบีบรัดขึ้นทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ “เราไม่สามารถปล่อยให้ซูเฉินทำเช่นนี้ต่อไปได้ พวกเจ้ามีวิธีในการแก้ไขปัญหานี้บ้างหรือไม่ ?”

คนผู้หนึ่งที่ด้านข้างกล่าวว่า “เรื่องแบบนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการลงมือในที่โล่งแจ้งกับที่ลับตา ณ จุดนี้ซูเฉินและเราเป็นเหมือนน้ำกับไฟ ไม่มีความหมายที่จะพยายามติดสินบนมัน นอกจากนี้การกระทำทั้งหมดของฝ่ายนั้น ก็เป็นการลงมือในนามของกรมพลังต้นกำเนิด และคนที่ถูกจับไปก็ล้วนแล้วแต่มีคดีติดตัว ชื่อเสียงอันชอบธรรมรวมกับการสนับสนุนของเจ้าเมือง ถึงรายงานไปยังเบื้องบนก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นถ้าจะแก้ก็เกรงว่าจะต้องดำเนินการอย่างลับ ๆ ”

อีกคนหนึ่งก็กล่าวขึ้นว่า “ทุกครั้งที่ซูเฉินออกมาทำธุระที่ด้านนอก มักจะมีองครักษ์นับร้อยล้อมรอบตัว ติดสอยห้อยตามไปด้วยเสมอ นอกจากนี้ทางนั้นก็ไม่เคยที่จะออกจากเมืองไปโดยไม่มีเหตุผล คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฆ่ามัน เว้นเสียแต่ … ”

เขาไม่ได้พูดต่อในทันที แต่ทุกคนรู้ดีว่าเขากำลังจะพูดอะไร ‘เว้นเสียแต่หวังซานหยูจะลงมือด้วยตัวเอง’

หวังเผยหยวนส่ายหัว พวกเขาสามารถคิดวิธีการออกมาได้หลายรูปแบบ แต่สุดท้ายมันก็จะวนมันกลับมาข้องแวะกับพ่อของเขาเสมอ “ตราบเท่าที่อันซื่อหยวนยังอยู่ที่นี่ เรื่องนั้นก็คงจะเป็นไปไม่ได้”

ตัวแทนอีกคนหนึ่งกล่าวต่อ “ในเมื่อเราไม่สามารถทำอะไรในที่แจ้งได้ เหตุใดเราไม่ลองวิธีการในที่ลับตาดูล่ะ … ”

หวังเผยหยวนตะลึง “เจ้าอยากให้พ่อของข้าทำตัวเหมือนนักฆ่าไปลอบสังหารมันอย่างนั้นหรือ ? ไม่มีทาง วิธีเช่นนี้จะเอามาใช้ได้อย่างไร ?”

เขาตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน

ถึงอันซื่อหยวนจะสามารถปกป้องซูเฉินได้ แต่ฝ่ายนั้นก็ไม่สามารถอยู่เคียงข้างอีกฝ่ายได้ตลอดเวลา ซึ่งหากหวังซานหยูเต็มใจที่จะลดความภาคภูมิใจของเขา และลอบสังหารซูเฉินอย่างลับ ๆ มันก็ย่อมไม่มีทางที่ชายหนุ่มจะเลี่ยงพ้น

แต่มันไม่น่าอับอายเกินไปหน่อยเหรอ ?

ด่านสู่พิสดารลงมาจัดการด่านทะลวงลมปราณ ด้วยวิธีลอบสังหาร ?

หวังเผยหยวนสามารถจินตนาการถึงผลตอบลัพธ์ที่เขาจะได้รับ หากเขาแนะนำเรื่องนี้ให้กับหวังซานหยูได้อย่างไม่ยากเย็น

“ไม่ ! ไม่มีทางอย่างแน่นอน !” หวังเผยหยวนส่ายหัวซ้ำ ๆ

ผู้เสนอความคิดถอนหายใจ อันที่จริงก่อนที่เขาจะยกคำแนะนำนี้ขึ้นมา เขาก็คาดเอาไว้แล้วว่าคงมีโอกาสสูงที่หวังเผยหยวนอาจจะไม่เห็นด้วย กลุ่มคนชั้นสูงให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของพวกเขามาก แต่หลาย ๆ ครั้งอาการห่วงเรื่องหน้าตาชื่อเสียงก็สร้างหายนะให้พวกเขาเช่นกัน

หากในทีแรกที่โจมตีไล่ล่า หวังซานหยูไม่สนใจเรื่องหน้าตาหรือชื่อเสียง และเลือกที่จะไล่ตามซูเฉินเมื่ออีกฝ่ายวิ่งหนีเข้าภูเขาไป ชายหนุ่มก็อาจจะไม่สามารถหนีรอดไปได้และคงจะไม่มีการตอบโต้กลับดังเช่นตอนนี้

เพราะต้องการที่จะรักษาหน้าตาเอาไว้ หวังซานหยูจึงปฏิเสธที่จะทำการลอบสังหาร และผลลัพธ์ของมันก็คือ เขาได้ให้มอบโอกาสแก่ซูเฉินอีกครั้ง

หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้ บางทีในอนาคตอันใกล้ ถึงแม้ว่าเขาต้องการลอบสังหารอีกฝ่าย มันก็คงจะไม่มีโอกาสให้ทำได้อีกแล้ว !

หลังจากที่พวกเขาพ่ายแพ้ให้อีกฝ่ายไปครั้งหนึ่ง พวกเขาก็จะได้พบแต่ความล่มเหลวหลายครั้งติดต่อกัน

ความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้ ผู้คนมักจะลังเลเมื่อต้องจ่ายเพื่อแก้ปัญหา ในยามที่สถานการณ์เลวร้ายลงจนถึงจุดที่พวกเขาเต็มใจที่จะจ่าย ซึ่งราคาที่จะต้องจ่ายไปมันก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นและทำให้พวกเขาลังเลอีกครั้ง วนซ้ำไปอยู่เช่นนี้จนกระทั่งไม่มีที่เหลือให้พวกเขาถอย …

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับตระกูลหวังในตอนนี้

ครานี้เป้าหมายหลักในการโจมตีของซูเฉินไม่ใช่ตระกูลหวัง ดังนั้นหวังเผยหยวนจึงยังไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร และเอาแต่รอต่อไปอย่างไม่ใส่ใจ แต่เมื่อเวลาที่ตระกูลเซินกับตระกูลเว่ยล้มลงมาถึง… คนผู้นั้นก็จะสั่นเทาและไม่กล้าคิดอะไรอีกต่อไป !!

——————————————————

สถานการณ์เลวร้ายลงเร็วกว่าที่คาดไว้มาก

ในวันที่เจ็ดที่ซูเฉินกลับมาอย่างเป็นทางการ อีกหนึ่งเหตุการณ์ใหญ่ก็เกิดขึ้นในเมืองธารน้ำใส

กลุ่มพยัคฆ์ร้ายได้กวาดล้างถนนสัตย์จริงทั้งเส้นไปด้วยเลือด

กลุ่มพยัคฆ์ร้ายนี้ก็คือกลุ่มพยัคฆ์ร้ายนั้น กลุ่มเดียวกับที่ควรจะถูกทำลายลงไปแล้ว ตั้งแต่ที่ซูเฉินสังหารหัวหน้าของพวกมัน

เหตุผลเดียวที่กลุ่มอันธพาลกลุ่มนี้ยังคงอยู่ เพราะซูเฉินรู้สึกว่ามันคงจะดีกว่าที่จะควบคุมกลุ่มอื่นนอกเหนือจากกลุ่มอันธพาลฉางชิง อย่างเช่นกลุ่มพยัคฆ์ร้ายเอาไว้ด้วย

ด้วยการสนับสนุนของซูเฉิน กลุ่มพยัคฆ์ร้ายจึงยังคงอยู่ และเริ่มพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว

กลุ่มอันธพาลฉางชิงได้กวาดล้างกลุ่มอินทรีแดง และยุยงให้เกิดความขัดแย้งระหว่างตระกูลสายเลือดชั้นสูงผ่านทางธุรกิจของตระกูลเซิน แต่พวกเขาก็ได้รับบาดเจ็บกลับไปบางส่วน และเพราะชายหนุ่มไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของกลุ่มอันธพาลฉางชิงเร็วเกินไป ดังนั้นมันเลยเป็นเรื่องยากที่จะให้พวกเขาเป็นผู้ไปยึดครองถนนสัตย์จริง ดังนั้นกลุ่มพยัคฆ์ร้ายจึงได้เข้ามารับบทบาทนี้แทน

แม้กลุ่มพยัคฆ์ร้ายจะไม่เคยได้มีความขัดแย้งอะไรเป็นพิเศษกับกลุ่มอันธพาลบนถนนเส้นนี้ แต่เพื่อให้งานสำเร็จ มันก็ไม่จำเป็นเลยว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องล้ำเส้นกันก่อนถึงจะตีกันได้ แม้กลุ่มอันธพาลฉางชิงลงมือด้วยมีเหตุผลที่ถูกต้อง แต่กลุ่มพยัคฆ์ร้ายก็แค่ลงมือเพื่อสนองความโลภของตน กลุ่มอันธพาลก็คือกลุ่มอันธพาล อันธพาลที่ไหนไม่ความโลภเลยบ้าง ?

ด้วยเหตุนั้นเอง กลุ่มพยัคฆ์ร้ายจึงเข้าโจมตีกวาดล้างอย่างเปิดเผยและโจ่งแจ้ง สังหารหมู่กลุ่มอันธพาลเจ้าถิ่นและอ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของอาณาเขตเสียเอง ถนนสัตย์จริงนี้เดิมเป็นของตระกูลเว่ย หลังจากที่กลุ่มพยัคฆ์ร้ายได้ยึดครองที่แห่งนี้ได้แล้ว การล่าถอยอย่างช่วยไม่ได้ของตระกูลเว่ย ก็ได้เผยให้เห็นเนื้อติดไขมันอวบอ้วนอีกชิ้นหนึ่งแก่สายตาของทุกคน

หากการกระทำของกลุ่มอันธพาลฉางชิงกระตุ้นความโลภในจิตใจของเหล่าชนชั้นสูง และเปลี่ยนให้พวกเขาหันไปต่อสู้กับพันธมิตรของพวกเขาเองได้ เช่นนั้นการกระทำของกลุ่มพยัคฆ์ร้าย ก็ยิ่งเป็นการกระตุ้นความอยากอาหารของเหล่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงเหล่านี้ ผลักให้พวกเขาฉีกหน้ากากแห่งความจริงใจและเผยธาตุแท้ของตัวเอง

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา อิทธิพลของตระกูลเว่ยก็ลดลงเรื่อย ๆ พวกเขาถูกโจมตีและสูญเสียเขตแดนไปไม่หยุด ร้านค้าที่พวกเขาเป็นเจ้าของก็ถูกกดขี่จนต้องยอมจำนน ส่วนราคาที่เสนอขายนั้นก็สูงลิ่วจนผู้คนได้แต่ส่ายหัวและเดาะลิ้นตาม ๆ กันไป

เดิมทีเว่ยซงหลินวางแผนที่จะสละธุรกิจบางส่วนไปเพื่อแลกความสงบกลับมา แต่เขาก็ได้ค้นพบอย่างรวดเร็วว่า สิ่งที่เขาจำเป็นต้องสละทิ้งไปนั้นมากยิ่งกว่าที่เขาคาดไวเยอะนัก

ตระกูลเซินกับเว่ย เป็น 2 ตระกูลแรกในบรรดา 10 ตระกูลสายเลือดชั้นสูง ที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับหายนะและต้องเผชิญกับการถูกโจมตีรอบด้าน แม้เว่ยซงหลินจะพยายามโน้มน้าวผู้คนครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ให้มาสู้กันเองเพื่อผลประโยชน์เพียงเล็กน้อย และอ้างว่าการหันไปสนใจซูเฉินที่เปรียบเสมือนหมาป่าที่รอเขมือบพวกเขาคือสิ่งที่ควรทำ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็ได้แสดงให้เห็นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรรูปแบบใด ล้วนเปราะบางเมื่อต้องเผชิญกับผลประโยชน์ส่วนตน

แม้นตระกูลสายเลือดชั้นสูงบางกลุ่มจะยอมหยุดมือลง แต่ตราบใดที่ยังมีผู้ที่ไม่ยอมหยุดอยู่ ความขัดแย้งระหว่างตระกูลชั้นสูงก็ย่อมจะดำเนินต่ออย่างไม่มีวันหยุด

อันซื่อหยวนและซูเฉิน… ศัตรูของพวกเขาอยู่ตรงนี้ตลอดเวลาแต่ไม่เคยลงมือทำอะไรกับพวกเขาเลย แต่ดันยอมแพ้ผลประโยชน์ในทันทีเพราะเผชิญศัตรู ? น่าขัน ! ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันผู้มีอำนาจคนไหนบ้างที่คิดจะทำเช่นนั้น ?

คนมักโลภยิ่งขึ้นเมื่อสถานการณ์ภายนอกเริ่มวุ่นวาย เพราะยิ่งสถานการณ์ภายนอกยุ่งเหยิงมากขึ้นเท่าไหร่ โอกาสในการหาผลประโยชน์ภายในก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น

ตัวตนของอันซื่อหยวนกับซูเฉินไม่ได้สร้างแรงกดดันไปทั่วถึงทุกคนขนาดนั้น อย่างไรซะพวกเขา 2 ฝ่ายก็ได้ต่อสู้กันมาหลายปีแล้ว และยังไม่มีใครทำอะไรอีกฝ่ายได้ จึงไม่มีใครเชื่อว่าชายหนุ่มจะเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงถึงเพียงนั้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะสังหารเซินอวิ๋นหงไปแล้วก็ตาม

กลุ่มอันธพาลฉางชิงและกลุ่มพยัคฆ์ร้ายยังคงออกโจมตีอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการไล่กวาดล้างกลืนกินอาณาเขตและธุรกิจของตระกูลเซินและเว่ยอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งมันก็ได้จุดประกายความโลภและความปรารถนาอันร้อนแรงภายในหัวใจของเหล่าตระกูลสายเลือดชั้นสูง จนผลักดันให้ชนชั้นสูงทั้งหลายเริ่มที่จะกระโจนลงมาร่วมงานเลี้ยงแห่งความมั่งคั่งและอำนาจนี้

แม้ว่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงใหญ่ ๆ เหล่านี้จะดูเป็นเหมือนพี่น้องกัน แต่พวกเขามักจะเอ่ยแก้ตัวว่าตนไม่ใช่คนสั่ง ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วพวกเขาต่างก็จับตาดูพลางอิจฉาผลกำไรจำนวนมากของกันและกันอย่างลับ ๆ ทั้งยังคอยออกคำสั่งให้กลุ่มอันธพาลที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขาโจมตี พร้อมยึดอาณาเขตของอีกฝ่ายไปอยู่เรื่อยมา

ทว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร ประวัติศาสตร์และกาลเวลาได้เป็นตัวพิสูจน์มาแล้ว ว่าครั้งแล้วครั้งเล่าที่อาณาจักรหรือขุมกำลังมีชื่อต่าง ๆ กลับต้องล้มสลายลงไป ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะมีกลุ่มชนชั้นสูงนับไม่ถ้วนไม่เต็มใจที่จะเสียสละ ด้วยความกลัวว่าจะมีแต่ตนเองที่สูญเสียผลประโยชน์ เพียงเพราะแค่ ‘มีคนที่เสียสละน้อยกว่าตนอยู่’

ความขัดแย้งที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ มากเกินพอแล้วที่จะทำลายความคิดอันสุขุมที่แต่ละคนพึ่งมีลง จนส่งผลให้ทุกอย่างจบลงด้วยความพินาศ !!!!

สถานการณ์ในตอนนี้ก็แทบจะไม่ต่างกัน ตระกูลสายเลือดชั้นสูงไม่ได้ตระหนักถึงภาพรวมที่ใหญ่กว่า ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ได้รับรู้ถึงภัยคุกคามที่ซูเฉินก่อขึ้น แต่เพราะทัศนคติที่ว่า ‘หากข้าไม่คว้าสิ่งที่คว้าได้ในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังคว้ามัน ข้าจะกลายเป็นผู้พ่ายแพ้และสูญเสียผลประโยชน์อย่างใหญ่หลวง’ ทำให้ทุกคนสูญเสียความสงบและเลิกสนใจภาพรวมไปโดยสิ้นเชิง

นอกจากนี้พวกเขายังขาดความรู้ความเข้าใจในตัวของซูเฉินอยู่มาก และด้วยความคิดที่ต้องการแสวงหาโชคจากความหายนะของคนอื่นในใจของพวกเขา ทำให้ทุกคนยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อต่อสู้กันเองในที่สุด

และแล้วกลุ่มอันธพาลฉางชิงและกลุ่มพยัคฆ์ร้ายที่เป็นเพียงกลุ่มคนโง่ 2 กลุ่ม ก็ได้ทำลายพันธมิตรระหว่างตระกูลสายเลือดชั้นสูงได้อย่างง่ายดาย

เมื่อพันธมิตรไม่ใช่พันธมิตรอีกต่อไป มันก็ถึงเวลาแล้วที่จะทำลายมันทั้งหมดในครั้งเดียว !!!!!