กู้ชูหน่วนวนกลับมาอีกครั้ง

นางนวดขมับที่ปวดเมื่อยของตัวเองและเอ่ยว่า “เราตกอยู่ในค่ายกลเสียแล้ว แถมยังเป็นค่ายกลที่ทรงพลังมากเสียด้วย”

“นายท่านมีวิธีทำลายค่ายกลหรือไม่ขอรับ”

กู้ชูหน่วนส่ายหน้า

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางพบเจอค่ายกลที่มีรูปแบบซับซ้อนเช่นนี้ ต่อให้มีเวลาสักสี่ห้าปีนางก็เกรงว่าจะทำลายมันไม่ได้

“ถ้าออกไปทางเส้นทางลับไม่ได้ เช่นนั้นข้าน้อยจะคุ้มกันพวกท่านบุกไปที่ประตูใหญ่”

“ข้าจำได้ว่ามีทางลับอยู่หลายทาง ไปกันเถอะ ไปดูทางนั้นอีกที ถ้าผ่านไปไม่ได้จริงๆ ค่อยบุกไปที่ประตูหลัก”

“ขอรับ”

จอมมารเหมือนถูกตีแสกหน้า

นักฆ่าโลหิตก้มศีรษะต่ำลงไปอีก อยากจะทำให้ตัวเองหายวับไปเสียเดี๋ยวนั้น

เขาคิดว่านายท่านจะโกรธ แต่กลับได้ยินนายท่านพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า

“ใช่แล้ว ทางนั้นคือทางที่ถูกต้อง เมื่อครู่ข้ารอนางอยู่ที่เส้นทางลับสายนั้น”

นักฆ่าโลหิต “เอ่อ…”

“นักฆ่าโลหิต เราไปดูกันเถอะ”

“ขอรับ”

นักฆ่าโลหิตตามจอมมารไป ติดตามกู้ชูหน่วนและคนอื่นๆ ไปตลอดทาง

อย่างไรก็ตาม กู้ชูหน่วนกับคนอื่นๆ ก็ยังวนไปมาราวกับหลงอยู่ในเขาวงกตยักษ์ แม้ว่านางจะทำเครื่องหมายไว้ตลอดทางแต่ก็ยังวนกลับมาที่เดิม ถ้าพวกเขาไม่ยอมอ่อนข้อให้บาง เกรงว่าคงจะปะทะกับพวกทหารยามไปนานแล้ว

เขาเตือนอย่างระมัดระวัง “นายท่าน ค่ายกลของท่านเป็นค่ายกลที่ล้ำลึก ไม่มีใครในโลกนี้ที่เทียบได้ แม้แต่เยี่ยจิ่งหาน หัวหน้านิกายเทพอสูรหรือหัวหน้าเผ่าเพลิงฟ้าก็ยังฝีมือห่างชั้นยิ่งนัก ท่าน… ลดพลังของค่ายกลลงสักนิด น่าจะทำให้ผ่านค่ายกลง่ายขึ้น”

จอมมารตีหน้าขรึม แววตาที่งามหยาดเยิ้มดูไม่พอใจเล็กน้อย

“คนพวกนั้นเป็นคนแบบไหนกัน เทียบกับพี่หญิงได้ด้วยรึ”

นักฆ่าโลหิตปาดเหงื่ออีกครั้งและเออออไปว่า “จริงด้วยขอรับ”

วนไปวนมาแบบนี้

กู้ชูหน่วนและคนอื่นๆ เริ่มร้อนใจ

นักฆ่าโลหิตร้อนใจยิ่งกว่า

ทว่านายท่านของเขาไม่ร้อนใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้จิตใจของเขายุ่งเหยิง

“พี่หญิงกำลังคุ้นเคยกับภูมิทัศน์ ต่อไปจะต้องมาหาข้าที่วังแน่นอน”

คุ้นเคยกับภูมิทัศน์?

วนไปวนมาแบบนี้น่ะนะที่เรียกว่าคุ้นเคย

“นั่นก็…”

กู้ชูหน่วนอดด่าไม่ได้ “ไอ้เต่ากระดองนิ่มที่ไหนมันสร้างค่ายกลนี้ขึ้นมาวะ วนไปวนมา ตีไปตีมาแต่ยังอยู่ในรังนกบ้านี่อีก”

“นายท่าน… หรือว่าเราจะไปที่ประตูหลักกันดีขอรับ ข้าน้อยกังวลว่ายิ่งอยู่นานขึ้นเท่าไหร่ การบุกผ่านประตูหลักก็จะยิ่งยากขึ้นเท่านั้น”

“เราล่าช้ามานานแล้ว ป่านนี้พวกนั้นคงส่งคนมาเพิ่มเป็นโขยง อย่าว่าแต่ออกทางประตูหน้าเลย ตอนนี้น่าจะไล่ตามมาแล้วด้วยซ้ำ”

“งั้น… เป็นไปได้หรือไม่ว่านายท่านจำผิด จริงๆ แล้วที่นี่ไม่มีเส้นทางลับมาตั้งแต่แรก”

กู้ชูหน่วนอยากจะมอบเกาลัดให้เขาสักลูก

นางจะเข้ามาได้อย่างไรถ้าไม่มีเส้นทางลับ

“อย่าให้ข้ารู้นะว่าไอ้ตะพาบตัวไหนมันตั้งค่ายกลนี้ขึ้นมา ข้าจะแพ่นกบาลให้หน้าหันเลยทีเดียว”

เยี่ยเฟิงกับฝูกวงไม่กล้าพูดอะไรสักคำ

พวกเขารู้จักกู้ชูหน่วนมานานและเพิ่งจะเห็นนางสิ้นท่าเป็นครั้งแรก

ไม่รู้ว่าคนที่สร้างค่ายกลนี้ขึ้นมาเป็นใครกันแน่ เหตุใดนางจึงแก้ค่ายกลนี้ไม่ได้

หัวใจของนักฆ่าโลหิตเต้นขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอย

ผู้หญิงคนนี้ช่างกล้าหาญโดยแท้ ถึงกับกล้าด่านายท่านอย่างสาดเสียเทเสียเช่นนี้

เขาอยู่เงียบๆ ห่างจากจอมมารไปสองก้าว รอให้จอมารโมโหและลงมือสังหารกู้ชูหน่วน

ทว่า…

จอมมารกลับถามเพียงว่า “แพ่นกบาลหมายความว่าอย่างไรรึ”

“นั่นมัน…”

นักฆ่าโลหิตสำลัก

จะให้เขาพูดออกมาได้อย่างไร

แม้ว่าเขาจะหาญกล้าแค่ไหนเขาก็ไม่กล้าพูด

“ข้าน้อย… ข้าน้อยก็ไม่แน่ใจขอรับ”

“ข้ารู้ว่ามันหมายถึงอะไร นางตำหนิทว่าก็ชื่นชม ยกย่องว่าฝีมือการตั้งค่ายกลของข้ายอดเยี่ยมแค่ไหน”

“เอ่อ…”

นายท่านแกล้งทำเป็นไม่รู้อีกแล้ว

“ยากนักที่จะพบเจอคนที่ชื่นชมข้าขนาดนี้ อย่างน้อยข้าควรต้องให้เกียรติสักหน่อย นางจะได้ไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ”

จอมมารสะบัดมือนิดหนึ่ง ทันใดนั้นพลานุภาพของค่ายกลก็ลดลงทันที