บทที่ 280: ซองจดหมายสีเลือด
โรเอลจะไม่แปลกใจเท่าไหร่ หากในอดีตชาติเขาได้รับซองจดหมายสีแดงเลือด จดหมายรักหลายฉบับใช้สีนี้แทนความรู้สึกรักใคร่และชื่นชอบ อย่างไรก็ตามในทวีปเซียสีนี้มีความหมายแฝงที่เป็นลางไม่ดีเสียมากกว่า
ผู้ที่อาศัยอยู่ในยุคสมัยใหม่คุ้นเคยกับความสงบ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อ่อนไหวต่อสีของเลือดมากนัก แต่ในทวีปเซียที่อันตรายกว่ามาก สีของเลือดย่อมกระตุ้นให้เกิดความระแวดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใครเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ซองจดหมายที่ย้อมด้วยสีดังกล่าวถือได้ว่าเป็นคำเตือน
ความคิดแรกของเกอรัล เมื่อเห็นซองจดหมายนี้ในตอนเช้าตรู่ก็คือมันเป็นจดหมายสำหรับการกลั่นแกล้ง มันไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับพวกขี้ขลาดที่จะไม่กล้าแสดงตัว และส่งจดหมายดูถูกทุกประเภทมาที่ชมรมสารพัดจ้างเพื่อดูถูกพอลและเย้ยหยันเขา ซึ่งก็ไม่มีอะไรที่เขาจะต้องสนใจเท่าไหร่หากเป็นกรณีนี้
อย่างไรก็ตามด้วยที่เกอรัลถูกเลี้ยงดูมาในตระกูลทหาร เขาจึงพิถีพิถันรอบคอบเป็นพิเศษ ไม่ว่าเกอรัลจะคิดว่าจดหมายดูหมิ่นเหล่านี้ไร้สาระแค่ไหน เขาก็ควรเปิดดูเนื้อหาเพื่อความแน่ใจ
ซึ่งความรอบคอบของเกอรัลก็มีประโยชน์อย่างไม่คาดคิดในวันนี้
ซองจดหมายสีเลือดนี้ มีจดหมายคำขอยาวครอบคลุมกระดาษถึงสามแผ่น และน้ำเสียงภายในจดหมายนั้นดูจริงจัง แม้ว่าจะมีเนื้อหาที่แปลกประหลาดมากก็ตาม ลายมือนั้นดูเหมือนจะเป็นของผู้หญิงคนหนึ่ง แม้ว่าจดหมายจะไม่ได้ลงนามว่าใครเป็นผู้เขียน
“ผู้ส่งอาจเลือกใช้ซองสีเลือด เพื่อดึงดูดความสนใจของเราเฉย ๆ ก็ได้ ถ้าสิ่งที่เขียนข้างในเป็นความจริงล่ะก็ เรื่องนี้มันก็สำคัญมากเลยทีเดียว…”
เกอรัลอธิบายอย่างเคร่งขรึมถึงเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงยอมใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงในการเดินทางจากย่านใจกลางสถาบันมาที่คฤหาสน์สีกรมท่าในช่วงเช้าตรู่ของวันพัก โรเอลรับซองจดหมายนั้นมา แต่เขาก็ไม่ได้หยิบจดหมายออกมาอ่านในทันที เขาชี้ไปที่คนใช้และบอกให้พวกเขานำเก้าอี้เพิ่มเติมมาแทน
“นั่งซะ นายควรกินอะไรซะก่อนนะ”
“อา! ขอบคุณมากครับหัวหน้า”
ความใส่ใจของโรเอล ทำให้เกอรัลยิ้ม
ตามปกติแล้ว งานของชมรมสารพัดจ้างไม่ได้เริ่มตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้ เพียงแต่ว่าเกอรัลนั้นยังไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์สีกรมท่า ประกอบกับเขามีนิสัยชอบวิ่งออกกำลังกายในตอนเช้า ดังนั้นเขาจึงมักจะตรวจสอบจดหมายคำขอ เมื่อใดก็ตามที่เขาวิ่งผ่านอาคารของชมรมสารพัดจ้างในเขตส่วนกลาง นั่นทำให้เขาสังเกตเห็นจดหมายแปลก ๆ นี้ และรีบวิ่งมาที่คฤหาสน์สีกรมท่าทันทีด้วยรถม้าคันแรกที่มี
นี่ทำให้เขายังไม่ได้รับประทานอาหารเช้า
เกอรัลหิวโหยมากในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่รีรอที่จะยัดอาหารเข้าปาก พอลบอกให้คนใช้เตรียมอาหารเพิ่มเพื่อรองรับแขก ในขณะเดียวกันโรเอลก็เปิดซองจดหมายสีเลือดและเริ่มอ่านเนื้อหาภายในนั้น
เนื้อหาของจดหมายค่อนข้างซับซ้อน แต่มันก็เป็นการขอความช่วยเหลือจริง ๆ ผู้ส่งหวังว่าชมรมสารพัดจ้าง จะช่วยตามหารุ่นพี่ที่สำเร็จการศึกษาแล้ว ชื่อว่าเชอริล ลอวเรนซ์ ซึ่งเชื่อกันว่าปัจจุบันยังอยู่ภายในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า
หลังจากอ่านจดหมายแล้ว โรเอลก็ยื่นมันให้พอลก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วหลับตาครุ่นคิด
ไม่คิดเลยว่านี่จะเป็นเหตุการณ์สำคัญครั้งแรกที่พวกเราจะต้องเผชิญ โรเอลคิดในขณะที่ท่าทางของเขาดูเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอาย ออฟ โครนิเคิล ที่จะเปลี่ยนมุมมองของสถาบันเซนต์เฟรย่าอันสวยงามและทวีปเซียโดยรวมของผู้เล่นไปตลอดกาล
ตามโครงเรื่องเดิมของเกม เหตุการณ์นี้ควรจะเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ หลายอย่าง แต่เหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นเลย อาจจะเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดจากโรเอล
การแทรกแซงของโรเอลส่งผลให้ชมรมสารพัดจ้างว่างไปครึ่งเดือนเต็ม ๆ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้คาดคิดว่างานสำคัญงานแรกจะเป็น ‘เหตุการณ์จดหมายสีเลือด’ อันน่าสะอิดสะเอียนนี้
เหตุการณ์เริ่มต้นด้วยการหายตัวไปของเชอริล ลอวเรนซ์ ในฤดูกาลรับปริญญาของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า ซึ่งก็อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิเช่นกัน ราว ๆ ก่อนถึงช่วงฤดูสอบเข้าเล็กน้อย เชอริลเป็นนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาในฤดูกาลรับปริญญาล่าสุดเมื่อสามเดือนที่แล้ว
เธอเกิดในตระกูลพ่อค้าของอาณาจักรเล็ก ๆ ชื่อ อาณาจักรลอเรนเต้ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับจักรวรรดิออสทีน เชอริลเป็นลูกคนที่สองในครอบครัว โดยมีพี่ชายและน้องสาวหลายคน ตามหลักแล้วเธอไม่ได้อยู่ในลำดับต่อไปของการสืบทอดมรดก
สำหรับผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าที่ไม่มีธุรกิจครอบครัวให้สืบทอด ทางเลือกอันดับหนึ่งของพวกเขาก็คืออาศัยอยู่ในเมืองเลนสเตอร์ต่อ และหางานทำที่นี่ มีโอกาสมากมายในเลนสเตอร์ และคุณสมบัติในการสำเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า ได้รับการยอมรับในระดับสูงที่นี่ มีโอกาสที่ดีที่จะประสบความสำเร็จที่นี่
ในฐานะบุตรีลำดับสองในครอบครัว เชอริลเองก็มีความคิดเช่นนั้น แทนที่จะกลับบ้านหลังจากสำเร็จการศึกษา เธอจึงเริ่มหางานทำในเมืองเลนสเตอร์
ทว่าเหตุร้ายก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน พี่ชายและน้องสาวของเธอพบกับอุบัติเหตุหิมะถล่มระหว่างการเดินทางและเสียชีวิต พ่อแม่ผู้โศกเศร้าของเชอริลจึงได้เขียนจดหมายถึงเธอ เพื่อแจ้งเรื่องนี้และขอให้เธอกลับบ้านโดยเร็ว
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เชอริลเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของตระกูลลอวเรนซ์ ดังนั้นเธอจึงต้องแต่งงานหาลูกเขยเข้ามาในบ้าน เพื่อที่จะสืบสานสายเลือดของตระกูลต่อไป มันอาจจะฟังดูไม่ดีเท่าไหร่ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ในบริบทนี้ แต่ชีวิตของเชอริลนั้นดูเหมือนจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น หลังจากโศกนาฏกรรมครั้งนั้น
แต่แล้วสิ่งต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไปนับจากจุดนี้
พ่อแม่ของเชอริล ไม่ได้พบกับลูกสาวของพวกเขาอีก แต่พวกเขาได้รับจดหมายจากเธอโดยบอกว่าเธอได้งานและมีแฟนหนุ่มอยู่ที่เลนสเตอร์ด้วยกัน ดังนั้นเธอจึงต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ เชอริลขอบคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเธอมา และแสดงเจตจำนงว่ายังไม่อยากกลับบ้านในช่วงเวลานี้
พ่อแม่ของเชอริลไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ในตอนแรก โดยคิดว่าจดหมายนั้นถูกส่งออกมาก่อนที่เธอจะได้รับข่าวการเสียชีวิตของพี่น้อง อย่างไรก็ตามเมื่อเชอริลไม่กลับบ้านแม้จะผ่านไประยะหนึ่งแล้ว พวกเขาจึงเชื่อว่าเธอไม่ต้องการทิ้งแฟนของตนเพื่อกลับมายังบ้าน ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางไกลมายังเมืองเลนสเตอร์ เพื่อพาตัวเชอริลกลับบ้านเป็นการส่วนตัว แต่ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าลูกสาวของพวกเขาได้หายตัวไปนานแล้ว
สิ่งที่น่าขนลุกที่สุดก็คือบันทึกที่ทำการไปรษณีย์ของเลนสเตอร์ แสดงให้เห็นว่าเชอริลนั้นได้รับจดหมายจากพ่อแม่ของเธอแล้ว
ซึ่งหมายความว่าเธอทราบถึงข่าวการเสียชีวิตของพี่น้องแล้ว ส่วนจดหมายที่พ่อแม่ของเธอได้รับในอีกไม่กี่วันต่อมานั้น เชอริลไม่ได้เป็นคนส่งมันด้วยตัวเอง แต่ส่งผ่านตู้ไปรษณีย์ที่อยู่รอบเมือง
คนที่พี่น้องเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจะเขียนกลับบ้านเกี่ยวกับแฟนใหม่ของตน และปฏิเสธที่จะกลับบ้านได้ยังไง? แม้ว่าเชอริลจะไม่มีความรู้สึกใด ๆ ต่อพี่น้องของเธอเลย แต่เธอจะเลือกงานใหม่แทนมรดกมหาศาลที่มีที่บ้านได้จริง ๆ งั้นเหรอ?
พ่อแม่ของเชอริลคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเชื่อว่าลูกสาวของตนถูกลักพาตัวไปและรายงานเรื่องนี้ต่อหน่วยรักษาความปลอดภัย อย่างไรก็ตามเชอริลนั้นอาศัยอยู่ตามลำพังหลังจากสำเร็จการศึกษา และเธอก็แทบจะไม่มีเพื่อนเลย ทำให้หน่วยรักษาความปลอดภัยไม่สามารถหาเบาะแสอะไรได้ หลังจากตรวจสอบเล็ก ๆ น้อย ๆ คดีก็ถูกปล่อยเกาะในที่สุด
แม้ว่าหน่วยรักษาความปลอดภัยจะยอมแพ้ในคดีนี้แล้ว แต่พ่อแม่ของเชอริลนั้นไม่อาจยอมรับได้ว่าลูกสาวของพวกเขาหายตัวไปแบบนี้ พวกเขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะลงลึกถึงก้นบึ้งของสิ่งต่าง ๆ และตามหาเชอริลให้พบ พวกเขาดำเนินการสืบสวนด้วยตัวเองและพบว่ามีข่าวลือว่า เชอริล ถูกพบอยู่ภายในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า เมื่อไม่กี่วันก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงเข้ามาที่สถาบันโดยหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือในเรื่องนี้
น่าเสียดายที่เจ้าหน้าที่ของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า ไม่กระตือรือร้นที่จะมีส่วนร่วม เพราะเชอริลสำเร็จการศึกษาไปแล้ว และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถาบันการศึกษาอีกต่อไป นอกจากนี้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเธออยู่ในสถาบันอีกด้วย
จากมุมมองของเจ้าหน้าที่ พ่อแม่ของเชอริล เพียงแค่ต้องการทำให้เกิดความโกลาหล หลังจากไม่พบตัวลูกสาว ดังนั้นพวกเขาจึงปลอบพวกเขาและตกลงที่จะติดใบแจ้งคนหายบนกระดานแจ้งเตือนของสถาบันการศึกษาก่อนที่จะส่งพวกเขากลับไป
ตระกูลลอวเรนซ์ เป็นเพียงตระกูลพ่อค้าในอาณาจักรเล็ก ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถกดดันสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าอันทรงพลังได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือนักเรียนชั้นปีที่ 3 ที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ภายใต้การดูแลของ เชอริลได้ค้นพบเรื่องนี้ผ่านโปสเตอร์และเริ่มตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย เธอคือคนที่ส่งจดหมายคำขอนี้มายังชมรมสารพัดจ้าง
“เรื่องนี้ซับซ้อนมาก”
พอลกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้วหลังจากที่ได้อ่านจดหมาย
คำขอตามปกติที่ได้รับของชมรมสารพัดจ้างนั้นเกี่ยวข้องกับปัญหาในแต่ละวันที่นักเรียนต้องเผชิญ แต่มันชัดเจนว่าคำขอนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนั้น
หากเนื้อหาในจดหมายเป็นความจริง ก็มีโอกาสสูงที่คดีนี้จะเป็นคดีอาญา สิ่งต่าง ๆ อาจซับซ้อนกว่าที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน และพวกเขาอาจลงเอยด้วยการเข้าไปยุ่งในสิ่งที่ไม่ควร และอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่พวกเขาได้
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเกอรัลจึงรีบนำจดหมายมาให้โรเอลเมื่อได้อ่านมัน
ตัวเลือกที่ฉลาดที่สุดคือการปฏิเสธคำขอนี้ แต่มันจะส่งผลกระทบต่อจิตสำนึกของพวกเขามาก ถ้าหากเชอริลยังอยู่ในสถาบันการศึกษาจริง ๆ และมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอ
“ผู้ส่งคงจะสิ้นหวังมาก เพราะแม้แต่สถาบันการศึกษาก็ยังเลือกที่จะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ นี่น่าจะเป็นทางเลือกสุดท้ายของเธอจริง ๆ”
เกอรัลและพอล เริ่มวิเคราะห์คดีนี้ ชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียของการดำเนินการ อย่างไรก็ตาม สายตาของพวกเขาไม่สามารถหยุดเคลื่อนไปที่โรเอล ซึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้หลับตาอยู่โดยไม่พูดอะไรสักคำ
ในขณะที่พวกเขาเป็นรองหัวหน้าของชมรมสารพัดจ้าง เช่นเดียวกับหัวหน้ากลุ่มในฝ่ายกุหลาบน้ำเงิน พวกเขาไม่กล้าที่จะตัดสินเกี่ยวกับเรื่องที่สำคัญเช่นนี้ ท้ายที่สุดแล้วคดีนี้ดูเหมือนเป็นอาชญากรรมที่เกิดจากเรื่องราวมากมาย หากอิงจากข้อมูลที่ได้มาจนถึงตอนนี้
ภายใต้การสบตาเป็นครั้งคราว ในที่สุดโรเอลก็ลืมตาขึ้น การแสดงออกของเขาดูรุนแรงกว่าปกติมาก
คดีนี้มีความอันตรายมากอย่างแน่นอน เนื่องจากมันเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับลัทธิชั่วร้าย แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะหลีกเลี่ยงได้ ทั้งโรเอลและพอลต่างก็ติดหล่มอยู่ในกลอุบายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไปแล้ว
ภายในเงามืดของสถาบันการศึกษา ปัญหามักจะมาเคาะที่ประตูบ้านของพวกเขาไม่ว่าพวกเขาจะพยายามหลีกเลี่ยงมันมากแค่ไหนก็ตาม ในกรณีนี้ มันจะเป็นการดีกว่าหากเลือกที่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตรง ๆ
“เราจะรับคำขอนี้”
โรเอลประกาศ
เด็กหนุ่มอีกสองคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ
เกอรัลถูกเลี้ยงดูมาในตระกูลอัศวิน เขาจึงได้รับการปลูกฝังให้รู้จักกับเกียรติภูมิของอัศวินตั้งแต่อายุยังน้อย มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะเมินต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึงยอมรับการตัดสินใจของโรเอลอย่างเต็มที่
สำหรับพอล ทั้งสองคนรู้จักกันเนื่องจากบุคลิกที่ ‘ชอบเข้าไปยุ่งเกี่ยว’ ของโรเอล ดังนั้นเขาจึงตระหนักดีถึงความยุติธรรมอันเข้มแข็งของอีกฝ่าย
“ลูกพี่โรเอล เราควรจะทำอย่างไรกันดี”
เด็กหนุ่มสองคนผู้มีแรงจูงใจมองดูโรเอลอย่างตั้งใจรอคำสั่งของเขา โรเอลครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อนึกถึงบทสรุปอันน่าเศร้าของเหตุการณ์นี้ เขาก็สูญเสียคำพูดไปครู่หนึ่ง
“เราจะเริ่มทำการสอบสวน แต่เราจะไม่เริ่มจากเชอริล ลอวเรนซ์ แต่เป็นคนอื่นที่สำคัญกว่า”
ภายใต้การจ้องมองที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของพอลและเกอรัล โรเอลหยิบซองจดหมายสีเลือดขึ้นมาในขณะที่ดวงตาของเขาเฉียบแหลมขึ้น
“เราจะตรวจสอบผู้ส่งจดหมายฉบับนี้กันก่อน”