บทที่ 281: ความจริง

‘เหตุการณ์จดหมายสีเลือด’ เป็นเนื้อเรื่องที่น่ารังเกียจเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากบทสรุป และความรู้สึกไม่ดีที่มันทิ้งเอาไว้

ในเกมอาย​ ​ออฟ​ โครนิเคิล พอลและกลุ่มของเขา ให้ความสำคัญกับซองจดหมายสีเลือดอย่างจริงจัง หลังจากที่พูดคุยกัน พวกเขาจึงตัดสินใจใช้วิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุด โดยตระเวนแสดงภาพถ่ายของเชอริลรอบ ๆ สถาบันการศึกษาและถามว่ามีใครเห็นเธอบ้างไหม อย่างไรก็ตามพวกเขาเลือกที่จะไม่เน้นไปที่นักเรียน แต่เน้นไปที่เหล่าอาจารย์ที่ทำงานในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า

หากเทียบกับนักเรียนที่จมอยู่กับการเรียนแล้ว อาจารย์มีเวลาว่างมากกว่า และมักจะเดินทางไปรอบ ๆ สถาบันบ่อยครั้ง ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงพวกเขาที่จะพบปะกับบุคคลภายนอก แผนนี้ได้ผลดีเมื่ออาจารย์คนหนึ่งได้พบกับผู้หญิงที่มีหน้าตาคล้ายกับเชอริล

เพียงแต่ทรัพยากรที่ชมรมสารพัดจ้างในเกมมีนั้นค่อนข้างจำกัด ดังนั้นความคืบหน้าของพวกเขาในคดีนี้จึงช้ามาก ทำให้พวกเขาต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะได้เบาะแสมา

จากปากคำของอาจารย์ พวกพอลจึงมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ภูเขาในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า และตรวจสอบทั่วทั้งพื้นที่ จนในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกับตราสัญลักษณ์ ‘หนังสือแห่งความจริง’ ที่มีชื่อเชอริลจารึกไว้ที่หลังของมันในรังนก การค้นพบนี้ทำให้ทีมของพอลสงสัยว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับเชอริลจริง ๆ ดังนั้น หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาจึงตัดสินใจไปหาลิเลียน

เห็นได้ชัดว่าแค่ตรายังไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่า เจ้าของตรานั้นได้ถูกลักพาตัวไป ดังนั้นพอลจึงไม่สามารถโน้มน้าวให้ทางสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าดำเนินการใด ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม มันแตกต่างออกไปเมื่อเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยของลิเลียน

หน่วยรักษาความปลอดภัยมีทีมปฏิบัติการพิเศษที่เต็มไปด้วยนักเรียนที่มีระดับพลังระดับแก่นแท้ 4 จากชั้นปีที่ 3 มันคือทีมระดับหัวกะทิที่สมาชิกได้รับการคัดเลือกและฝึกฝนโดยลิเลียน ดังนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยเกี่ยวกับความภักดีของพวกเขา ปัจจุบันพวกเขาเป็นหนึ่งในกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดใน สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า

พอลพยายามเกลี้ยกล่อมให้ลิเลียนส่งหน่วยรักษาความปลอดภัยไปตรวจสอบภูเขาโดยละเอียด จนในที่สุดความจริงก็ปรากฎ

ปรากฏว่า ‘เหตุการณ์จดหมายสีเลือด’ เป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องของลัทธิชั่วร้ายที่ดำเนินมานานหลายปีแล้ว ผู้กระทำผิดเป็นอาจารย์ในสถาบันการศึกษาและกลุ่มลัทธิชั่วร้ายหลายคนที่ซ่อนตัวอยู่ภายในห้องเก็บไวน์ ณ ส่วนลึกของภูเขา

อาจารย์ใช้อำนาจของเขาในการดูข้อมูลของนักเรียน เพื่อเลือกนักเรียนที่มีฐานะต่ำจากครอบครัวทั่ว ๆ ไปที่มีพี่น้องหลายคนเช่นเชอริล คนเหล่านี้มักจะอาศัยอยู่ในเลนสเตอร์เพียงลำพังหลังจากสำเร็จการศึกษา ทำให้พวกเขากลายเป็นเป้าหมายที่สมบูรณ์แบบ

เป้าหมายของพวกลัทธิชั่วร้ายคือการใช้ร่างกายของเหยื่อในการทดลอง เพื่อขยายผลคาถาเวทของพวกเขา

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ มีผู้สำเร็จการศึกษาแล้วสิบเจ็ดคนที่ตกเป็นเหยื่อในแผนการร้ายกาจของพวกเขา

เชอริล ซึ่งพอลและคนอื่น ๆ ทำงานอย่างหนักเพื่อค้นหา ได้เสียชีวิตไปตั้งแต่เริ่มต้นคดีแล้ว หน่วยรักษาความปลอดภัยของลิเลียนสามารถค้นพบห้องเก็บไวน์ที่กลุ่มลัทธิชั่วร้ายกำลังปฏิบัติการอยู่ได้ แต่เกมไม่ได้เปิดเผยสภาพภายในของห้องใต้ดินนั้น เพียงแค่อธิบายว่ามันเป็น ‘นรกบนดิน’

เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อพอล ลิเลียน และทุกคนที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่จุดจบของมัน สิ่งที่น่าโมโหยิ่งกว่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่โรเอลรับไม่ได้เมื่อเล่นเกมก็คือ ผู้ส่งซองจดหมายสีเลือดเองก็ถูกฆ่าตายเช่นกัน

บุคคลเพียงคนเดียวที่ยึดมั่นในความยุติธรรมในหัวใจ และเคลื่อนไหวทันทีเมื่อทราบถึงโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับตระกูลลอวเรนซ์ ถูกสังหารหลังจากส่งจดหมายออกไปได้เพียงสองสามวัน หลังจากส่งจดหมายเธอตระหนักได้ว่ามีใครบางคนกำลังไล่ตามหวังเอาชีวิตของเธอ และพยายามที่จะหลบหนีก่อนจะถูกฆ่าในความมืดช่วงรุ่งสาง

ที่เลวร้ายกว่านั้น ฆาตกรของเธอ อาจารย์คนนั้นและพวกคลั่งศาสนา ตื่นตระหนกจากการสืบสวนของพวกพอลก่อนหน้านี้ และหลบหนีออกไปก่อนแล้ว

‘เหตุการณ์จดหมายสีเลือด’ เป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ของชมรมสารพัดจ้าง ที่ทั้งเหยื่อและพลเมืองดีเสียชีวิตลง ในขณะที่ผู้กระทำผิดหนีไปได้โดยปราศจากบทลงโทษ ไม่มีใครได้รับความยุติธรรม

ผลลัพธ์ที่เหมือนความเป็นจริงจนน่าตกใจนี้ ส่งผลพวงให้พอลและคนอื่น ๆ ตระหนักได้ว่า ขณะนี้พวกเขานั้นยังแข็งแกร่งไม่เพียงพอ

ย้อนกลับไปในสมัยที่มันยังเป็นแค่เกม โรเอลลืมเรื่องนี้ได้สบาย ๆ หลังจากนอนหลับฝันดี แต่ตอนนี้มันกลายเป็นความจริงแล้ว เขาจึงไม่มีทางที่จะยอมให้เรื่องเลวร้ายแบบนั้นเกิดขึ้นได้

ปล่อยให้พวกลัทธิชั่วร้ายหนีไปโดยปราศจากการลงโทษงั้นเหรอ? ล้อกันเล่นน่า! พวกลัทธิชั่วร้าย ‘ดูแล’ เราเป็นอย่างดีตั้งแต่อายุยังน้อย ขอตอบแทนพวกเขาสักหน่อยก็แล้วกัน

ช่วยชีวิตผู้ที่ส่งจดหมายสีเลือด และลงทัณฑ์ผู้คลั่งไคล้ลัทธิชั่วร้าย นั่นคือเป้าหมายของโรเอลในคดีนี้

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะไม่ให้สิ่งต่าง ๆ เป็นไปตามโครงเรื่องเดิม สิ่งแรกที่โรเอลทำคือการค้นหาตัวผู้ส่งซองจดหมายสีเลือดเพื่อปกป้องเธอ ทว่ามีปัญหาเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งมัน

อาจจะเป็นเพราะความทรงจำของโรเอลเริ่มจางหายไปแล้ว เขาจึงจำไม่ได้ว่าในเกมเอ่ยถึงชื่อผู้ส่งหรือมีคัทซีนของผู้ส่งบ้างรึเปล่า?

ช่องว่างเล็ก ๆ นี้เป็นปัญหาใหญ่อย่างเห็นได้ชัด ซองจดหมายถูกส่งมาตอนกลางดึก ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าใครคือคนส่ง นี่เป็นปัญหาใหญ่เพราะพวกเขาต้องแข่งกับเวลาเพื่อที่จะไปหาผู้ส่งได้ก่อนลัทธิชั่วร้าย

โรเอลคิดว่าจะลองขอความช่วยเหลือจากวิญญาณเทียม มาร์กาเร็ต แต่เขารีบตัดความคิดนั้นทิ้งไปอย่างรวดเร็ว

ไม่น่าเป็นไปได้ที่มาร์กาเร็ตจะช่วยเขาได้เนื่องจากการปรากฏตัวของเธอมีเงื่อนไข​ ก็คือ ลูกบอลคริสตัล เธออาจจะอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่งในเขตส่วนกลางที่ซึ่งลูกแก้วของคริสตัลสามารถพบได้ทุกที่ แต่ ชมรมสารพัดจ้างนั้นตั้งอยู่ที่บริเวณรอบนอกของเขตส่วนกลาง ที่ซึ่งไม่มีอาคารใดที่มีลูกแก้วคริสตัลติดตั้งอยู่

นี่เป็นการตัดสินใจโดยเจตนาเนื่องจากมาร์กาเร็ตรับผิดชอบการจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกของสถาบัน ไม่ใช่ตัวนักเรียน

ดูเหมือนว่าเบาะแสเดียวของเราตอนนี้จะเป็นซองจดหมายสีเลือด ถ้าเราตามหาเธอไม่เจอด้วยสิ่งนี้ เราก็คงจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากต้องค้นหาด้วยพละกำลัง

ด้วยความคิดดังกล่าวโรเอลจึงเริ่มหารือถึงแนวทางการปฏิบัติกับพอลและเกอรัล

“สันนิษฐาณว่าใครเป็นคนส่งจดหมายงั้นเหรอ? อืม…”

ทั้งพอลและเกอรัลต่างสนับสนุนการตัดสินใจของโรเอลในการค้นหาตัวผู้ส่งก่อน เพราะพวกเขาควรตรวจสอบความถูกต้องของคำขอก่อน มิฉะนั้นชมรมสารพัดจ้างอาจกลายเป็นตัวตลกได้ หากพวกเขาลงเอยด้วยการทำงานอย่างไร้ประโยชน์ในเหตุการณ์ปลอม ๆ พวกเขาต้องระวังเป็นพิเศษเพราะชมรมสารพัดจ้าง อยู่ภายใต้ฝ่ายกุหลาบน้ำเงิน ดังนั้นความผิดพลาดใด ๆ ที่พวกเขาทำจะส่งผลโดยตรงต่อศักดิ์ศรีของทุกคนในฝ่าย

จากการสังเกตและตรวจสอบอย่างละเอียด ในที่สุดพวกเขาก็สามารถรวบรวมข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับตัวตนของผู้ส่งได้

“นักเรียนหญิงคนนี้น่าจะมาจากจักรวรรดิออสทีน”

“ลูกพี่โรเอล รู้ได้ยังไงเหรอครับ?”

พอลถามด้วยความประหลาดใจ

“คำอธิษฐาน”

โรเอลหรี่ตาสีทองของเขาลง ในขณะที่ชี้ไปยังประโยคที่เฉพาะเจาะจงในจดหมายแล้วเริ่มอธิบาย

“จดหมายเขียนด้วยน้ำเสียงที่เป็นทางการ ซึ่งทำให้ยากต่อการกำหนดภูมิหลังของผู้เขียนจากวิธีเขียน อย่างไรก็ตามคำอธิษฐานที่เขียนในจดหมาย ‘ขอให้เทพีเซียอวยพร​ มอบความปลอดภัยให้แก่พวกเราทุกคน’ มันไม่ใช่วลีที่พลเมืองของจักรวรรดิเซนต์เมซิท หรือ สมาคมพ่อค้าโรซ่าจะใช้ พวกเราจะไม่ขอพรใด ๆ เป็นพิเศษจากเทพีเซียเนื่องจากมันถือเป็นการดูหมิ่นท่าน”

“ผู้คนในอาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนลเองก็ไม่มีนิสัยชอบเขียนคำอธิษฐาน ดังนั้นพวกเขาจะใช้คำว่า ‘ขอให้เทพีเซียอวยพร’ ที่เรียบง่ายกว่านี้มาก แม้จะเป็นในสถานการณ์ที่พวกเขาจำเป็นต้องทำจริง ๆ ส่วนอาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์ก็มักจะขอให้เทพีเซียประทานความกล้าหาญให้แก่พวกเขา ที่เดียวที่ใช้คำเหล่านี้คือจักรวรรดิออสทีน โดยเฉพาะพื้นที่ทางตอนเหนือ”

การวิเคราะห์ของโรเอลทำให้พอลตกตะลึงโดยสมบูรณ์ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้มากขนาดนี้จากคำอธิษฐานง่าย ๆ

เกอรัลจ้องไปที่ซองจดหมายสีแดงเลือดอย่างตั้งใจ ก่อนที่สายตาของเขาจะค่อย ๆ เฉียบแหลมขึ้น

“หัวหน้า ซองจดหมายนี้อาจจะหาซื้อไม่ได้จากร้านค้านะ”

“หืม? นายหมายความว่ายังไง?”

“นายกำลังบอกว่า เธอคนนี้ทำซองจดหมายด้วยตัวเองงั้นเหรอ?”

ทั้งโรเอลและพอลต่างสับสนว่า เกอรัลกำลังสื่ออะไรผ่านคำพูดเหล่านั้น เกอรัลไม่ได้ตอบคำถามของพวกเขาทันที แต่นำซองจดหมายขึ้นมาที่จมูกและดมมันแทน ครู่ต่อมาดวงตาของเขาเบิกกว้าง

“อย่างที่ฉันคิดไว้จริง ๆ! ซองนี้ไม่ได้ซื้อมาจากร้านค้า เธอสร้างมันขึ้นมาเอง ไม่ มันคงจะชัดเจนกว่าถ้าจะบอกว่าเธอย้อมซองจดหมายนี้ด้วยตัวเอง!”

เกอรัลส่งซองจดหมายให้โรเอลขณะที่เขาเริ่มอธิบายอย่างตื่นเต้น

“เธอเป็นนักเวทสายเปลี่ยนแปลงเหมือนฉัน ซองนี้เดิมทีเป็นซองสีขาว แต่เธอย้อมมันเป็นสีแดงเลือดด้วยเวทมนตร์แห่งการเปลี่ยนแปลง ดูเหมือนว่าจะมีส่วนผสมประกอบด้วยสนิมเป็นหลัก”

“พอมาคิดดูแล้ว ซองจดหมายสีแดงเลือดเองก็ไม่น่าจะมีวางจำหน่ายในท้องตลาด เป็นไปได้ว่าระหว่างที่เธอกำลังจะส่งจดหมาย ทันใดนั้นเธอก็กังวลว่าคำขอของตน อาจถูกเพิกเฉย ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจใช้วัสดุในบริเวณรอบ ๆ เพื่อย้อมซองจดหมายก็ได้!”

“!”

ทั้งโรเอลและพอลต่างอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ พวกเขารีบนำซองจดหมายมาจ่อจมูกและพยายามดม มันมีกลิ่นโลหะจาง ๆ ติดอยู่ที่ซองจริง ๆ

“โชคดีที่เราค้นพบมันตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่เช่นนั้นกลิ่นคงจะจางหายไปแล้วในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ เมื่อถึงตอนนั้น เราจะไม่สามารถยืนยันทฤษฎีนี้ได้อีกต่อไป”

เกอรัลกล่าวขณะที่เขาตบที่อกด้วยความโล่งอก

โรเอลประหลาดใจ สองหัวนั้นดีกว่าหัวเดียวจริง ๆ เนื่องจากเขาขาดความเข้าใจในคาถาเวทประเภทการเปลี่ยนแปลง จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่เขาจะสังเกตเห็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่สำคัญนี้

“แต่นั่นยังไม่มากพอใช่ไหม? นักเรียนหญิงจากจักรวรรดิออสทีนที่มีทักษะคาถาเวทประเภทการเปลี่ยนแปลง มีคนจำนวนมากเกินไปในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าที่ตรงกับเกณฑ์นั้น อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะมีร้อยคนที่ตรงตามเงื่อนไข”

“ถูกต้อง พวกเราต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อจำกัดกลุ่มผู้ต้องสงสัยให้แคบลง”

หลังจากสงบสติอารมณ์ลงได้ พอลและเกอรัลก็หันกลับมาสนใจที่การสอบสวน ตอนนี้พวกเขาสามารถกรองประชากรนักเรียนได้ 99% แต่อีก 1% ที่เหลือนั้นกลับยังมีคนเหลืออยู่ค่อนข้างมาก

เมื่อเห็นสีหน้าอันเศร้าสร้อยของพวกเขา โรเอลก็หัวเราะเบา ๆ

ในอดีตชาติของโรเอล มีหลายวิธีในการติดตามบุคคลตราบใดที่มีกรรมสิทธิ์ส่วนตัว ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติในทวีปเซียเองก็มีวิธีที่คล้าย ๆ กันด้วยเช่นกัน และเขาบังเอิญรู้จักคน ๆ หนึ่งที่เก่งเรื่องพวกนี้

“ไม่ แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ พวกนายทำได้ดีแล้ว ฉันขอออกไปเที่ยวส่วนกลางสักพัก พวกนายรอฟังข่าวดีก็พอ”

“ลูกพี่โรเอล?”

“!”

“หัวหน้า?”

ทั้งพอลและเกอรัล ต่างรู้สึกทึ่งที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น โรเอลเก็บซองจดหมายสีเลือดใส่กระเป๋าของตนอย่างใจเย็น พร้อมหยิบไม้เท้าอสรพิษเก้าหัวขึ้นมาก่อนที่จะเปิดเผยความลึกลับออกมาในที่สุด

“ฉันจะไปเยี่ยมผู้นำฝ่ายกุหลาบแดง”