บทที่ 237 คำขอของหลี่อิงไห่

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

บทที่ 237 คำขอของหลี่อิงไห่

หลังจากอวี้ฮ่าวหรานนั่งลง พวกสมาชิกระดับอาวุโสของตระกูลหลี่ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันเอง

“หึหึ ดูสิ ผู้นำตระกูลยิ้มจนหน้าบานเลยกับลูกเขยที่แสนจะวิเศษคนนี้ อันที่จริงฉันไม่อยากจะอวดเลยนะว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันเห็นเด็กคนนี้ ฉันก็รู้ได้เลยว่าในอนาคตเขาจะต้องเป็นคนที่ประสบความสำเร็จแน่นอน!”

“โธ่ ไม่เอาน่า คิดว่าฉันตาบอดหูหนวกหรือไง ก่อนหน้านี้นายยังตะโกนไล่เขาอยู่เลย!”

“เฮ้ ๆ นายเข้าใจผิดแล้ว! ในตอนนั้นที่ฉันทำแบบนั้นเป็นเพราะว่าฉันถูกกดดันจากพวกตระกูลอู๋ต่างหาก!”

“…”

มีการกระซิบกระซาบกันอย่างมากมาย ซึ่งทุกคำพูดล้วนเป็นไปในแง่บวกต่ออวี้ฮ่าวหราน

เมื่อเห็นเช่นนี้ หลี่ชงซานก็ยิ่งยิ้มกว้างมากกว่าเดิม

หลังจากผ่านไปได้อีกพักใหญ่ หลี่จิงเทียนและญาติพี่น้องอีกหลายคนก็เดินตามกันเข้ามา

“ชงซาน นายมีลูกเขยที่ยอดเยี่ยมเหลือเกิน ฉันขอโทษด้วยจริง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ฉันมองนายผิดไป สายตาของฉันนี่มันแย่จริง ๆ”

หลี่อิงไห่ถือโอกาสขอโทษทันทีเมื่อพบหน้าหลี่ชงซาน

“เหมาะสมแล้วที่ชงซานถูกเลือกให้เป็นผู้นำตระกูล ไม่มีใครในพวกเราที่มีสายตาที่เฉียบแหลมได้เหมือนชงซานเลย”

หลังจากที่หลี่อิงไห่พูดจบ คนอื่น ๆ ก็เริ่มชมเชยหลี่ชงซานตาม ๆ กัน

หลี่ชงซานเมื่อเห็นเช่นนี้เขายิ่งรู้สึกดีใจมากกว่าเดิมไปอีก เขาแทบอยากจะกระโดดและตะโกนกู่ร้องออกมาดัง ๆ ด้วยความเบิกบาน!

“ฮ่า ๆ ไม่จำเป็นต้องขอโทษอะไรให้มากมายหรอก ไม่จำเป็นเลยแม้แต่น้อย! พวกเรามันคนกันเองทั้งนั้น อย่าคิดอะไรมากเลย!”

เขาหัวเราะพร้อมกับแสร้งทำเป็นใจกว้าง แต่ภายในใจของเขานั้นรู้สึกภาคภูมิใจสุดฤทธิ์

เมื่อในอดีตทุกคนต่างดูถูกเขาที่เขาล้มเหลวเรื่องลูก บางคนหัวเราะเยาะลับหลังเขาและถึงขนาดที่จะปลดเขาออกจากตำแหน่งผู้นำตระกูลด้วยซ้ำ

แต่ตอนนี้ด้วยลูกเขยที่แสนวิเศษซึ่งสามารถพัฒนาเครือฮ่าวหรานให้ยิ่งใหญ่เป็นบริษัทอันดับต้น ๆ ในเมืองฮ่วยอันได้ ทุกคนต่างก็พากันเอาอกเอาใจเขา แสดงท่าทีเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ

ทุก ๆ คนต่างชมว่าเขาฉลาดหลักแหลม มีวิสัยทัศน์ มีความสามารถเหมาะจะเป็นผู้นำและไม่โต้แย้งอะไรกับเขาเลยไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม

นี่คือสิ่งที่เขาใฝ่ฝันมาตลอด!

ในขณะเดียวกัน อวี้ฮ่าวหรานก็เริ่มหมดความอดทนกับคำชมที่จอมปลอมพวกนี้ ชายหนุ่มหันไปถามหลี่ชงซานด้วยสีหน้าสงสัย

“ว่าแต่พ่อตามีเรื่องอะไรจะคุยกับผมงั้นเหรอ?”

“ฮ่าวหราน ลูกมีแผนจะพัฒนาบริษัทต่อไปยังไงงั้นเหรอนับจากนี้?”

หลี่ชงซานถามกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

อย่างไรก็ตามอวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินคำถามนี้

แผนพัฒนา?

เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ อีกฝ่ายถึงถามคำถามนี้กับเขา

ในขณะเดียวกัน หลี่อิงไห่ก็เอ่ยขึ้นแทรก

“คือว่า…หลานอวี้ สาเหตุที่ชงซานถามคำถามนี้ขึ้นมาเป็นเพราะช่วงนี้บริษัทของลุงกำลังอยู่ในช่วงขาลง ผลกำไรของไตรมาสที่ผ่านมาลดลงไปเกินครึ่ง มันยากมากจริง ๆ ที่จะฟื้นตัว ดังนั้นลุงจึงอยากจะขอให้หลานอวี้ช่วยเหลือสักหน่อย”

หลี่อิงไห่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่อับอาย

เขาพยายามที่จะเอ่ยอย่างสุภาพมากที่สุดหวังว่าจะให้อีกฝ่ายตกลงช่วยเหลือ

ในทางกลับกัน เมื่อหลี่หรงได้ยินประโยคนี้ เธอกลับยิ่งแสดงสีหน้าหงุดหงิด

“นี่มันไม่แฟร์กันเลย! เมื่อตอนที่บริษัทของพ่อฉันเดือดร้อน คุณปฏิเสธที่จะช่วยพ่อของฉันอย่างไม่ใยดี แต่พอมาตอนนี้คุณกลับมาขอความช่วยเหลืออย่างหน้าด้าน ๆ งั้นเหรอ!”

เธอตะคอกเสียงดังไม่ไว้หน้าความอาวุโสของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าเธอยังคงแค้นเคืองอีกฝ่ายอยู่

ทางด้านของหลี่อิงไห่เมื่อถูกเด็กรุ่นลูกต่อว่าแบบนี้ เขากลับไม่แสดงอาการโกรธเคืองเลย เนื่องจากหลี่หรงพูดถูกทั้งหมด ในตอนนั้นเขาปฏิเสธหลี่ชงซานไปแบบไม่ใยดีเลยจริง ๆ

“อะแฮ่ม ๆ หรงเอ๋อร์ พวกเราเป็นญาติกันทั้งนั้น ไม่ว่ายังไงเลือดก็ข้นกว่าน้ำ และอีกอย่างในตอนนั้นพวกตระกูลอู๋ก็กดดันทั้งฉันและทุกคนในตระกูลของเรา”

หลี่อิงไห่ตอบกลับด้วยใบหน้าที่อับอาย

ในขณะเดียวกันนี้ หลี่ชงซานก็เอ่ยเสริมขึ้นอีก

“ถูกต้องแล้ว หรงเอ๋อร์ ไม่ว่ายังไงเลือดก็ข้นกว่าน้ำ แถมตอนนี้ลุงของลูกก็กำลังลำบาก ดังนั้นหากเราช่วยเหลือได้เราก็ต้องช่วยเหลือเขาไป”

“พ่อ! พ่อจะใจดีเกินไปหน่อยแล้ว! พ่อจำตอนที่เขาปฏิเสธพ่อไม่ได้หรือไง? ตอนนั้นเขายังไม่คิดว่าเลือดข้นกว่าน้ำเลย!”

หลี่หรงไม่ยอมถอยง่าย ๆ ถึงแม้ว่าเธอจะอายุน้อย แต่เธอก็มีความเด็ดขาดราวกับผู้ใหญ่

ในตระกูลหลี่ ทุกคนต่างรู้เป็นอย่างดีว่าหลี่ชงซานเป็นคนใจกว้าง ซึ่งหลายครั้งมันทำให้เขาตกอยู่ในที่นั่งลำบาก

อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นว่าเรื่องมันเริ่มจะบานปลาย อวี้ฮ่าวหรานจึงพูดขึ้นแทรก

“เรื่องมันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ว่าแต่จะให้ผมช่วยยังไง?”

บริษัทของหลี่อิงไห่ไม่ได้ใหญ่อะไรอยู่แล้วหากเทียบกับบริษัทของเขา ดังนั้นมันจึงไม่น่าจะใช่เรื่องยากหากเขาจะช่วยเหลือ

ในทางกลับกัน หลี่อิงไห่รู้สึกลิงโลดทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ มันเหมือนกับว่าอ้อยกำลังเข้าปากช้าง!

“ฮ่า ๆ อันที่จริงมันไม่ใช่เรื่องยากเลยหลานอวี้! มูลค่าบริษัทของฉันในตอนนี้มันเทียบเท่ากับมูลค่าของบริษัทชงซานก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นฉันแค่ต้องการผนวกบริษัทร่วมกับเครือฮ่าวหราน ฉันขอแค่แบ่งหุ้นจากหลานอวี้เพียงครึ่งเดียวก็พอหลังจากเข้าร่วมแล้ว ด้วยการทำแบบนี้เครือฮ่าวหรานก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก และตัวฉันเองก็จะได้หมดห่วงเรื่องบริษัทไปด้วย”

เขาคิดแผนนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว ในเมื่อชายหนุ่มคนนี้มีความสามารถมาก มันจะยิ่งเป็นผลดีต่อตัวเขาเองหากเข้าร่วมด้วยได้ และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากแบ่งหุ้นแล้ว มันก็จะส่งผลให้เขามีสิทธิ์มีเสียงในตระกูลถึงครึ่งหนึ่ง!

อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที

ชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองประเมินความไร้ยางอายของอีกฝ่ายต่ำไปจนน่าใจหาย เขาไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะหน้าด้านเอาบริษัทที่ใกล้จะเจ๊งมาขอแลกกับหุ้นครึ่งหนึ่งของบริษัทเขา!

“ฝันไปเถอะ!”

อวี้ฮ่าวหรานปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนที่จะลุกขึ้นและพาหลี่หรง เดินออกไปในทันทีโดยไม่ฟังอะไรต่อทั้งนั้น

หลี่ชงซาน เมื่อเห็นเช่นนี้ เขารีบตะโกนไล่หลังด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ฮ่าวหราน! ลูกช่วยคิดสักหน่อยได้ไหม! หรือไม่เรามาต่อรองเรื่องจำนวนหุ้นกันก่อนก็ยังดี!”

เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นโน้มน้าว ถึงแม้ว่าคำขอนี้มันจะดูมากเกินไป แต่สำหรับเขาแล้วเลือดมันข้นกว่าน้ำ!

อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานไม่หยุดเดินเลยแม้แต่น้อย เขาเดินมุ่งหน้าไปที่ประตูและผลักให้เปิดออกอย่างแรง เขาไม่มีทางยอมแบ่งบริษัทของตัวเองให้ใครแน่นอนไม่ว่าจะหน้าไหนก็ตาม!

เขาไม่มีวันเจรจาต่อรองกับเรื่องนี้แน่นอน!

หลังจากออกจากคฤหาสน์ไปและขึ้นรถแล้ว หลี่หรงอดไม่ได้ที่จะบ่นขึ้นอย่างขุ่นเคือง

“พี่เขย พี่ดูสิ ไอ้หลี่อิงไห่มันน่าไม่อายจริง ๆ มันกล้าดียังไงที่จะเอาบริษัทที่ใกล้จะเจ๊งของมันมาแลกกับหุ้นของบริษัทพี่ตั้งครึ่งหนึ่ง!”

เธอเองก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าลุงของเธอจะไร้ยางอายและโลภมากได้ขนาดนี้ มีคนที่เลวทรามขนาดนี้ในโลกด้วยงั้นเหรอ?

อวี้ฮ่าวหรานไม่มีอารมณ์จะพูดอะไรตอบกลับไป เขาขับรถกลับคอนโดทันที เขาไม่มีวันที่จะไตร่ตรองเรื่องนี้แน่นอน มันจะไม่เป็นไรหากเป็นการยื่มมือช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ถ้าเป็นการมาขอแบ่งบริษัทของเขาแล้ว เขาไม่มีวันยอมใครหน้าไหนต่อให้เป็นหลี่ชงซานก็ตาม!