บทที่ 283: ความกังวลของลิเลียน
ภายในห้องรับรองของพระราชวังแห่งภูติ ชายหญิงผมดำนั่งอยู่ตรงข้ามกัน
พระราชวังแห่งภูติเป็นที่รู้จักในเรื่องการตกแต่งภายในที่ละเอียดอ่อน ซึ่งดูเหมือนว่าข่าวลือนั้นจะไม่ได้กล่าวเกินจริงแต่อย่างใด เพียงแค่ว่าบรรยากาศอันเคร่งขรึมในห้องนั้นได้ขัดขวางไม่ให้ใครสามารถชื่นชมความงามของมันได้
ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว โรเอลเข้ามาในพระราชวังแห่งภูติและอธิบายทุกอย่างที่เขารู้เกี่ยวกับเหตุการณ์จดหมายสีเลือดให้ลิเลียนฟัง
ต่างจากพอล โรเอลไม่ได้พยายามตามหาตราสัญลักษณ์ ‘หนังสือแห่งความจริง’ ของเชอริลก่อนจะมาเยี่ยมลิเลียนเพื่อขอความช่วยเหลือจากเธอ เขาไม่ต้องการเสียเวลาและเสี่ยงที่จะทำให้ศัตรูตื่นตัว นอกจากนี้ เขายังมีความมั่นใจในการโน้มน้าวเธอ
คำของแต่ละคนนั้นมีน้ำหนักไม่เท่ากัน
โรเอลเป็น 1 ใน 6 ผู้ถือแหวนของสถาบันเซนต์เฟรย่า ต่างจากพอล ซึ่งเป็นเพียงบุตรนอกสมรสที่ถูกเนรเทศออกจากจักรวรรดิออสทีน สิ่งนี้ทำให้การดำเนินงานของชมรมสารพัดจ้างถูกต้องตามกฎหมาย และกลายเป็นกลุ่มทรงอิทธิพลที่ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายกุหลาบน้ำเงิน
อะไรก็ตามที่ออกมาจากปากของโรเอลนั้นถือว่าเป็นข้อมูลที่มีน้ำหนัก แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานอยู่เบื้องหลังก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นโรเอลไม่ได้มาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือ เขามาที่นี่เพื่อขอความร่วมมือ
ชมรมสารพัดจ้างของโรเอลจะให้ข่าวกรองเกี่ยวกับที่ซ่อนของพวกลัทธิชั่วร้าย และทีมปฏิบัติการพิเศษของลิเลียนจะทำหน้าที่เป็นกองกำลังต่อสู้หลักในการล้อมและจัดการกับพวกเขา นี่คือข้อเสนอเด็กหนุ่มยื่นให้
ตามปกติแล้ว ผู้ที่มีภาระผูกพันมากที่สุดในการกำจัดลัทธิชั่วร้ายควรจะเป็นจักรวรรดิเซนต์เมซิท แต่นักเรียนในกลุ่มของนอร่าส่วนใหญ่ยังอยู่ในชั้นปีที่1 ดังนั้นความสามารถในการต่อสู้โดยเฉลี่ยของฝ่ายเธอจึงยังอยู่ที่ระดับพลังระดับแก่นแท้ 5 ทำให้พวกเขาขาดความแข็งแกร่งไปมาก หากเทียบกับกองกำลังชั้นยอดที่ลิเลียนเลือกและฝึกฝนเป็นอย่างดี
เมื่อพิจารณาถึงความแตกต่างอย่างมากในศักยภาพทางการทหารแล้ว โรเอลจึงล้มเลิกความคิดที่จะติดต่อนอร่าและชาร์ล็อต เพื่อขอความช่วยเหลือ
สิ่งที่โรเอลตั้งเป้าไว้ก็คือชัยชนะที่สมบูรณ์แบบ และเขาจะไม่ยอมให้ความไม่แน่นอนใด ๆ มาขัดขวางแผนการของเขา
นอกจากนี้หน่วยรักษาความปลอดภัยยังมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของนักเรียนในสถานศึกษา พวกเขาจึงได้รับทรัพยากรจำนวนมากจากสถาบันการศึกษา เพื่อการทำงานที่ราบรื่น
โรเอลถือถ้วยชาในมือของเขา ขณะรอคำตอบของลิเลียนเงียบ ๆ หลังจากพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบแล้ว เธอก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ฉันเข้าใจ ฉันจะพาคนของฉันไปที่จุดหยุดพักฟูลเต้ และโจมตีที่ซ่อนที่เป็นไปได้ของพวกลัทธิชั่วร้าย”
“โอ้… ขอขอบคุณสำหรับความใส่ใจของคุณ บอกตามตรง ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะเชื่อผม ”
โรเอลคิดว่าเขาจะต้องพยายามโน้มน้าวลิเลียนอีกสักพักอีกฝ่ายถึงจะเชื่อ ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เธอด้วยความประหลาดใจ เมื่อเธอตอบรับคำขอของเขาอย่างจริงใจ
“แม้ว่าเธอจะไม่มีหลักฐานที่จับต้องได้ แต่ฉันก็ไม่คิดว่าเธอจะโกหกเกี่ยวกับเรื่องร้ายแรงเช่นนี้”
ลิเลียนตอบอย่างใจเย็น
ความไว้วางใจที่ไม่คาดคิดของลิเลียนในตัวเขา ทำให้โรเอลยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่ที่เขาไม่รู้ก็คือใบหน้าอันยิ้มแย้มแจ่มใสของเขา ทำให้ลิเลียนหยุดนิ่งครู่หนึ่ง ขณะที่ดวงตาสีอเมทิสต์จ้องมองมาที่เขาเป็นเวลานานก่อนจะหลับตาลงในที่สุด
ความรู้สึกนี้อีกแล้ว
ลิเลียนหยิบถ้วยน้ำชาของเธอขึ้นมาลูบขอบของถ้วยชาโดยไม่รู้ตัว เธอถอนหายใจอย่างแผ่วเบา พลางนึกสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่
ตลอดเดือนที่ผ่านมา ลิเลียนใช้เวลาร่วมกับโรเอลมานาน ไม่ว่าจะเป็นชั้นเรียนช่วงเช้าหรือช่วงกลางคืน การมีปฏิสัมพันธ์มากมายระหว่างพวกเขา ไม่ต้องพูดถึงการฝึกบีบอัดพลังเวทในระยะใกล้ ทำให้เธอพอจะสามารถเข้าใจโรเอลขึ้นมาบ้าง
โรเอลเป็นคนที่เรียนรู้อย่างจริงจัง เป็นนักรบที่แน่วแน่ในการเผชิญกับความยากลำบาก เช่นเดียวกับชายผู้ดื้อรั้นที่ปฏิเสธและยอมรับความพ่ายแพ้ แม้ว่าเขาจะมีลักษณะเหล่านั้น แต่เขาก็ไม่ได้มีบุคลิกที่ครอบงำกดดันใคร ทว่ากลับเอนเอียงไปทางประเภทที่อ่อนโยนมากกว่าแทน สิ่งหนึ่งที่แปลกประหลาดเกี่ยวกับเขาที่สุดก็คือ ดูเหมือนว่าเขาจะถูกกดดันด้วยความกังวลอย่างต่อเนื่อง ต่างจากคนที่อยู่รอบ ๆ ตัวของเขา
มันเป็นส่วนผสมของความวิตกกังวล ความกลัว ความคับข้องใจ และอารมณ์เชิงลบอื่น ๆ มากมาย และสร้างสัตว์ประหลาดที่สะสมความเครียดเอาไว้มากมายให้กับเขา ใช่ ราวกับว่าเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความเครียดสูงอยู่ตลอดเวลา
ก่อนที่จะมีปฏิสัมพันธ์กัน ลิเลียนไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะได้เห็นด้านนี้ของโรเอล เพราะเขาไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเปิดเผยความเครียดที่เขาต้องเผชิญอย่างเปิดเผย
ดูเหมือนว่ามันจะกลายเป็นนิสัยของเขาไปแล้ว
เป็นไปได้ว่าแม้แต่คนที่อยู่ใกล้ตัวโรเอลก็ยังไม่ทันสังเกตสภาพจิตใจของเขา ทว่าเมื่อทั้งสองได้ปะทะพลังเวทเข้าหากัน เธอก็สัมผัสได้ถึงตัวตนของเขา
ถ้าโรเอลเป็นหนังสือ ลิเลียนก็คงจะเป็นผู้อ่านที่บังเอิญเปิดหนังสือเล่มนี้ ทุกครั้งที่พลังเวทปะทะกัน เธอก็จะได้อ่านมันทีละนิดทุก ๆ วัน ทำให้ความเข้าใจของเธอที่มีต่อเขาลึกซึ้งยิ่งขึ้น
และเมื่อลิเลียนได้รู้จักโรเอลมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอก็พบว่าตัวเองค่อย ๆ เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
ความรู้สึกแปลกปลอมที่เริ่มปะทุขึ้นในตัวลิเลียน ทำให้ความรู้สึกของเธอเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจและความโศกเศร้า มันมักจะทำให้จิตใจของเธอหลงทางไปในทิศทางแปลก ๆ ทุกครั้งที่เธอสอนโรเอล
นี่เราเข้มงวดเกินไปหรือเปล่า? มันอาจจะส่งผลกระทบแง่บวกต่อเขา ถ้าเราผลักดันเขาอีกหน่อย หรือบางทีฉันควรจะพิจารณาลดภาระงานของเขาลงบ้างสักนิด
นี่เป็นความคิดที่ลิเลียนไม่เคยมีในขณะที่เธอสอนคนอื่น
ลิเลียนเริ่มสร้างนิสัยใหม่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ทันทีที่เธอสังเกตเห็นว่าเมื่อใดก็ตามที่เธอชมเชยโรเอล อีกฝ่ายจะเผยรอยยิ้มที่สดใสออกมา ทำให้ดวงตาของเธอจะจับจ้องมาที่เขาโดยอัตโนมัติ ไม่อาจขยับหนีได้ โชคดีที่เขามักจะยุ่งอยู่กับเรื่องอื่น ๆ พวกนี้ ดังนั้นเขาจึงยังไม่สังเกตเห็นพฤติกรรมแปลก ๆ ของเธอ
ในทางกลับกันลิเลียนเองก็เกลียดทุก ๆ ครั้งที่โรเอลมีใบหน้าผิดหวัง ทุกครั้งที่เขาแสดงท่าทีเช่นนั้น เธอจะรู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างมาบดขยี้หัวใจของเธอ ทำให้หายใจไม่ออก คำพูดรุนแรงใด ๆ ที่เธอตั้งใจจะพูดจะอ่อนลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนที่จะออกจากปากของเธอในที่สุด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมลิเลียนถึงไม่ลังเลที่จะไว้วางใจโรเอล แม้ว่าสิ่งที่เขาบอกกับเธอจะเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อก็ตาม เด็กสาวคิดว่าเวลาที่พวกเขาใช้ร่วมกันมีผลต่อการตัดสินใจนี้
“เธอบอกใช่ไหมว่า ชมรมสารพัดจ้าง ได้จำกัดที่ซ่อนที่เป็นไปได้ของลัทธิชั่วร้ายจนเหลือเพียงสองแห่งแล้ว ในกรณีนี้ ฉันจะแบ่งทีมปฏิบัติการพิเศษออกเป็นสองทีม และพวกเราแต่ละคนจะรับผิดชอบแต่ละทีม วิธีนี้น่าจะปลอดภัยกว่า”
ลิเลียนกล่าวขณะจิบชา
โรเอลไม่ตอบสนองต่อข้อเสนอของเธอในทันที เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอขมวดคิ้ว
“รุ่นพี่ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมมีความคิดบางอย่าง…”
โรเอลกล่าว
แน่นอนว่าพวกเขามีกำลังคนมากพอที่จะโจมตีได้ในตอนนี้ ดังนั้นจุดหมายหลักของพวกเขาก็คือการวางแผนแผนกำจัดพวกลัทธิชั่วร้ายทั้งหมดในคราวเดียว แน่นอนว่าตอนนี้พวกลัทธิชั่วร้ายน่าจะยังคงสื่อสารอย่างใกล้ชิดกับอาจารย์ที่สมรู้ร่วมคิดกับพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจะต้องดำเนินการกับทั้งสองฝ่ายในคราวเดียวเพื่อที่จะบรรลุการกวาดล้างอย่างสมบูรณ์
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาที่จะยุติการจู่โจมก็คือตอนที่อาจารย์คนนั้นพยายามเอาชีวิตผู้ส่งจดหมาย นี่เป็นโอกาสเดียวที่พวกเขาจะสามารถเปิดเผยตัวอาจารย์และจัดการเขาได้ มิฉะนั้นอีกฝ่ายจะหนีซ่อนอยู่ต่อไปตราบนานเท่านาน
แน่นอนว่าการกระทำดังกล่าวย่อมก่อให้เกิดอันตรายได้เช่นกัน
คนที่สามารถซ่อนธรรมชาติที่แท้จริงของตนในฐานะผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายและแทรกซึมเข้ามาในสถาบันเซนต์เฟรย่าในฐานะอาจารย์ได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา ๆ แน่ นักเรียนธรรมดาไม่มีทางสามารถเอาชนะเขาได้พร้อม ๆ กับปกป้องผู้ส่งจดหมาย ดังนั้นโรเอลจึงต้องทำมันด้วยตัวเอง
“ผมจะขออยู่เคียงข้างผู้ส่ง และรอให้อีกฝ่ายมาเคาะประตู”
เพล้ง!
ขณะที่โรเอลแสดงความคิดของเขา ลิเลียนก็วางถ้วยน้ำชาของเธอลงอย่างแรงจนทำให้โรเอลตกใจ
“ฉันขอห้าม”
“… รุ่นพี่?”
“ฉันบอกแล้วไงว่าห้าม”
“…”
เมื่อเห็นสีหน้าที่ประหลาดใจของโรเอล ลิเลียนก็ตระหนักได้ว่าปฏิกิริยาของเธอหลุดออกมาแล้ว เธอใช้เวลาครู่หนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้พวกเขาไม่ใช่รุ่นพี่และรุ่นน้อง แต่เป็นสหายผู้ถือแหวน ซึ่งหมายความว่าพวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่เท่าเทียมกัน เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อทำให้หัวใจที่วิตกกังวลสงบลง รวบรวมความคิดของเธอ แล้วจึงตอบด้วยเสียงเรียบ ๆ
“มันเสี่ยงเกินไป การตัดสินใจเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดี ในเมื่อเธอยังไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเลยไม่ใช่เหรอ? หากอีกฝ่ายมีระดับพลังอยู่ที่ระดับแก่นแท้ 4 มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ถ้าเขาไปถึงระดับพลังระดับแก่นแท้ 3 แล้วเธอจะทำอย่างไรล่ะ? ผู้พิทักษ์แห่งแหวนที่เธอพบใน ‘ค่ำคืนแห่งปีศาจ’ ไม่ต่างอะไรมากไปจากเงาที่ไม่มีจิตใจ ระดับแก่นแท้ 3 ที่แท้จริงนั้นมีพลังสูงกว่านั้นมากนะ”
ไม่ ๆ ถ้าเลือกได้ เราขอสู้กับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 ตัวจริง ยังดีกว่าให้ไปสู้กับผู้พิทักษ์แหวนที่เราเจออีก โรเอลคิดในใจ แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดออกมาดัง ๆ ก็ตาม
เสียงของลิเลียนอาจฟังดูเคร่งขรึม แต่โรเอลก็สัมผัสได้ถึงความกังวลและความห่วงใยของเธอที่มีต่อเขา มันทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้น อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงส่ายหัวและปฏิเสธข้อสงสัยของลิเลียน
“รุ่นพี่ ผมมั่นใจในเรื่องนี้ คุณลืมไม้เท้าอสรพิษเก้าหัวของผมไปแล้วหรือ? ผม… มีไพ่ตายอีกสองสามอย่างนอกเหนือจากสิ่งนั้น”
โรเอลตั้งใจที่จะบรรเทาความกังวลในใจของลิเลียน แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้ อย่างไรก็ตามมือของเธอถูกมัดไว้เพราะกองกำลังหลักล้วนเป็นลูกน้องของเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถสลับบทบาทกับโรเอลได้ มิฉะนั้นปัญหาใหญ่อาจเกิดขึ้นกับสายการบังคับบัญชา
ทางเลือกอื่นคือการขอความช่วยเหลือจากคริส แต่ทั้งสองคนตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ทำแบบนั้น
เป็นไปได้ว่าอาจารย์ที่สมรู้ร่วมคิดกับพวกลัทธิชั่วร้ายรู้อยู่แล้วว่า ผู้ส่งจดหมายได้ที่ติดต่อประสานงานกับชมรมสารพัดจ้างแล้ว หากทั้งลิเลียนและคริสแสดงพฤติกรรมผิดปกติในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ อาจทำให้พวกเขาหยุดกิจกรรมจนกว่าทุกอย่างจะคลี่คลายได้ ถ้าเรื่องนี้ถูกยื้อเวลาออกไป คนที่เสียเปรียบจะเป็นโรเอลและฝ่ายของเขา
“รุ่นพี่ ขอบคุณที่ต้อนรับผมเข้ามาในพระราชวังแห่งภูติของคุณ ผมเองก็จะต้อนรับคุณเป็นอย่างดีในตอนที่คุณแวะมาที่คฤหาสน์สีกรมท่าของผมเช่นกัน โปรดไว้ใจผมในเรื่องนี้เถอะ”
หลังจากการโน้มน้าวใจมาอย่างยาวนาน โรเอลก็ให้สัญญากับลิเลียนขณะที่มองเธอด้วยดวงตาสีทองอันไม่สั่นคลอนของเขา ในที่สุดลิเลียนก็ยอมจำนนต่อความดื้อรั้นของอีกฝ่ายและพยักหน้า
สรุปแล้ว การประชุมของพวกเขาดำเนินไปเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง จนเมื่อโรเอลออกจากพระราชวังแห่งภูติก็ถึงเวลาพลบค่ำแล้ว เขารีบกลับไปที่คฤหาสน์สีกรมท่า แล้วเรียกหัวหน้ากลุ่มมาประชุมฉุกเฉิน
การประชุมเริ่มต้นด้วย พอลและเกอรัล รายงานผลการสอบสวนของพวกเขา ตามด้วยโรเอลแจ้งแผนการติดตามผลให้พวกเขาทราบ เมื่อทั้งสองคนได้ยินว่าโรเอลได้รับความร่วมมือจากฝ่ายกุหลาบสีม่วง พวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เช้าวันรุ่งขึ้น สมาชิกของฝ่ายกุหลาบน้ำเงิน ได้ดำเนินการสอบสวนในเขตอยู่อาศัยที่สามต่อไป โดยใช้แบบสำรวจทั่ว ๆ ไปเพื่อติดต่อผู้อยู่อาศัยและรับข้อมูลส่วนบุคคลไปด้วย ในที่สุดตอนเที่ยงพวกเขาก็สามารถยืนยันตัวเป้าหมายได้
“เมลตี้ ซานิ นักเรียนชั้นปีที่ 3 บุตรีของไวเคานต์ในจักรวรรดิออสทีน เธอได้เรียนรู้คาถาเวทประเภทการเปลี่ยนแปลง ในช่วงที่เธออยู่ในชั้นปีที่ 2 และประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่งในภาคปฏิบัติ เธออยู่ในองค์กรนักเรียนเดียวกันกับเชอริลที่หายตัวไป และดูเหมือนว่าพวกเธอจะสนิทสนมกันมาก”
โรเอลพักผ่อนบนเก้าอี้ขณะฟังพอลอ่านข้อมูลในรายงาน ในตอนท้ายของรายงาน เขาเหลือบมองไปที่ซองจดหมายสีเลือดบนโต๊ะและพยักหน้าเล็กน้อย ในที่สุดหัวใจที่วิตกกังวลของโรเอลก็สงบลงได้เสียทีหลังจากกังวลมาทั้งวัน
“เธอคนนี้แหละ”