บทที่ 838 พลังสัมผัสรู้อันแข็งแกร่งที่มาจากคู่ต่อสู้ Ink Stone_Fantasy
พอชายหนุ่มละสายตาออกไป หลังหน้าต่างมืดๆ บานนั้นก็มีเสียงหอบหายใจดังขึ้นเบาๆ
“เกือบไปแล้ว…”
หุ่นซอมบี้ของหลิงม่อยืนชิดด้านหนึ่งของหน้าต่าง มันเหลือบมองนอกหน้าต่างด้วยหางตา หากมองออกไปจากมุมของมัน จะมองเห็นเพียงเงาร่างของทหารยามไม่กี่คนยืนอยู่บนถนน แต่กลับมองไม่เห็นร่องรอยของสมาชิกทีมทำลายล้างคนอื่นๆ
“เข้ามาแล้วงั้นหรอ?” หลิงม่อคิดในใจ
คำบอกเล่าของพวกเหล่าเจิ้งไม่ได้เกินจริงตามคาด กระทั่ง…เล่าได้น้อยกว่าความจริงไปเล็กน้อยด้วยซ้ำ
มีแค่หลิงม่อเท่านั้นที่รู้ดี ว่าพลังสัมผัสรู้ของชายหนุ่มคนนั้น แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา!
เมื่อกี้เขายังไม่ได้โผล่หน้าออกไปด้วยซ้ำ แต่กลับสัมผัสได้ถึงพลังงานทางจิตกลุ่มหนึ่งกำลังจับจ้องมาที่ตัวเอง ถ้าหากไม่ใช่ว่าอาศัยความสามารถในฐานะซอมบี้เก็บซ่อนกลิ่นอายได้ทันเวลา ไม่แน่ตอนนี้เขาอาจถูกเจอตัวแล้ว ตอนที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมา เขารีบซ่อนกายทันที แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ยังรู้สึกใจเต้นระส่ำระสาย…เสี้ยววินาทีที่อีกฝ่ายมองมา เขารู้สึกถึงขนาดว่าสายตาคู่นั้นกลายเป็นลำแสงที่พุ่งทะลุกำแพงเข้ามาเลยทีเดียว…
เฉียบขาด! ร้ายกาจ!
และสิ่งที่ให้ความรู้สึกอย่างนี้ได้เหมือนกัน ก็เห็นจะมีแต่หนวดสัมผัสทางจิตของเขาเองเท่านั้น…
ทว่าถึงอย่างไรหนวดสัมผัสก็ไม่ถือว่าเป็นพลังงานทางจิตจริงๆ ประโยชน์ของมันคือดัดแปลงพลังงานทางจิตสำหรับการควบคุมให้เป็นพลังสำหรับการโจมตีเท่านั้น ไม่ได้มีบทบาทในด้านการสัมผัสรู้แต่อย่างใด
“อีกอย่าง…คนคนนี้ก็ไม่ได้เข้าสู่สภาวะใกล้ตาย แต่พอเขาแสดงพลังพิเศษออกมา กลับทำให้เรารู้สึกอย่างนั้นได้…อีกอย่างแค่ตาคู่นั้น ก็ไม่อาจทำให้เราตัดสินได้ว่าเขามีพลังพิเศษอะไรกันแน่ ตอนนี้ที่พอจะตัดออกไปได้ ก็มีแต่พลังพิเศษประเภทภาพลวงตาเท่านั้น…”
ขณะที่หลิงม่อก้าวเท้าออกจากห้อง เสียงฝีเท้าเร่งรีบของคนกลุ่มหนึ่งก็ดังมาจากทางบันได
“ในเมื่อพวกนายอยากตามหาฉัน ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะไปทักทายล่วงหน้าหน่อยแล้วกัน”
ความจริงความรู้สึกที่หลิงม่อสัมผัสได้เมื่อกี้ กลับทำให้หลิงม่อรู้สึกตื่นเต้นและคาดหวังขึ้นมารางๆ…เขาอยากรู้มาก ว่าหากเทียบกับยอดฝีมือที่ถูกค่ายขนาดใหญ่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี พลังของตัวเองอยู่ในระดับไหน ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีพวกเย่เลี่ยนคอยช่วย และอาศัยแค่ความสามารถพิเศษทางจิตที่เขาพัฒนาขึ้นมาเอง เขาจะสามารถต่อกรกับคนคนนี้ซักยกได้หรือไม่…
“พวกนายไปข้างบนแล้วกัน ชั้นนี้ฉันจะสำรวจเอง” ไม่นาน เสียงพูดราบเรียบของชายคนหนึ่งก็ดังมาจากทางบันได
เพิ่งจะสิ้นเสียงพูด เงาร่างสามเงาก็เดินเลี้ยวเข้ามาในทางเดินเส้นนี้
คนที่เดินนำหน้าก็คือชายหนุ่มคนนั้นนั่นเอง ด้านหลังเขามีสมาชิกทีมทำลายล้างตามมาสองคน ทั้งสามคนถือว่าไม่ได้เดินเร็วมาก นอกจากชายหนุ่มคนนั้น สองคนที่เหลือต่างพากันยกปืนขึ้นเล็งอย่างระมัดระวัง และเดินเข้าไปใกล้ประตูทีละบานๆ เพื่อสำรวจอย่างช้าๆ
สามคนสำรวจอาคารหนึ่งชั้น ถึงแม้จะใช้เวลานานหน่อย แต่สุดท้ายก็ไม่เกิน 5 – 6 นาทีเท่านั้น…
หากเคลื่อนไหวด้วยความเร็วนี้ไปตลอด พวกเขาก็จะตามพวกหลิงม่อทันในอีกสิบนาทีต่อมา…
นับตั้งแต่เดินเข้าในทางเดิน ชายหนุ่มก็จ้องไปทางหน้าต่างบานนั้นตลอด
ถึงแม้จะสัมผัสอะไรไม่ได้ แต่ความรู้สึกไม่สบายใจในเสี้ยววินาทีนั้นได้ถูกเขาจดจำเอาไว้แม่นยำ ทว่าหลังจากมาถึงที่นี่ เขากลับไม่ได้ผลีผลามเข้าไปใกล้ทันที
“ไม่ว่าที่นี่จะมีอะไรอยู่หรือไม่ แต่ระวังไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย…” ชายหนุ่มคิดเงียบๆ ความรอบคอบนี้ได้ค้ำจุนให้เขามีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ แน่นอนว่ายามนี้เขาย่อมไม่ละทิ้งมันไป
“ก่อนหน้านี้ที่บอกว่าพวกเขาไม่ได้หนีไป ฉันก็ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง…แต่มาดูตอนนี้ กลับต้องคิดถึงความเป็นไปได้นี้อย่างจริงจังเสียแล้ว…”
“รองหัวหน้าทีมเซี่ย ตรงนี้มีคนยังไม่ตาย แต่ยังไม่ได้สติครับ…”
“ที่นี่ก็มี…คนที่ลงมือกะแรงได้พอดีมาก…”
สมาชิกทีมสองคนนั้นตามหาผู้รอดชีวิตหลายคนเจออย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มพยักหน้า บอกว่า “รู้แล้ว ปล่อยพวกเขาไว้ที่เดิม ที่นี่ไม่มีซอมบี้อยู่ พวกเขาไม่มีอันตรายถึงชีวิตหรอก ตามหาต่อไป…”
“เดี๋ยวก่อน ตรงนี้มีคนหนึ่งฟื้นแล้ว อาจถูกเสียงระเบิดปลุกตื่น แต่ยังไม่ได้สติครบถ้วนดี…” สมาชิกทีมคนหนึ่งพูดขึ้น
“หาวิธีทำให้เขาได้สติซะ” ชายหนุ่มพูด
คนคนนั้นเพิ่งจะถูกประคองลุกขึ้นมา ก็ถูกน้ำเย็นสาดใส่หน้าทันที ขณะเดียวกันพละกำลังมหาศาลก็พุ่งเข้ามา ทำให้เขาลืมตาตื่นขึ้นมาทันที
ทันทีที่เขาฟื้นคืนสติสัมปชัญญะ ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ อ้าปากตะโกนร้อง “อย่า …อย่าฆ่าฉัน! ฉัน…ก็เป็นคนในทีมระเบิดเหมือนกัน!”
“เฮ้ย ใจเย็นก่อน!” สมาชิกทีมคนนั้นตะโกนเรียกสติเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
สมาชิกชายหัวล้านคนนี้พึมพำอีกสองสามคำ แล้วจึงค่อยๆ ได้สติกลับคืนมา เขามองหน้าสามคนนี้อย่างคนที่ยังไม่หายอกสั่นขวัญแขวน กลืนน้ำลายเอื้อก แล้วถามสั่นๆ ว่า “พวกนายเป็นใคร…”
“หน่วยเจ็ด” สมาชิกตอบเสียงเย็นชา
“ที่แท้ฉันก็ยังไม่ตาย…” ชายหัวล้านเผยรอยยิ้ม ทว่ายังหัวเราะได้ไม่นาน จู่ๆ เขาก็ชะงักไป แล้วชี้นิ้วไปด้านหน้า “หะ…หัวหน้าจางล่ะ? ฉันเห็นเขาถูกตีสลบไปก่อนฉันอยู่ตรงนั้น…”
“เรื่องเกิดขึ้นตอนไหนแล้ว?” ชายหนุ่มถาม
ชายหัวล้านครุ่นคิดอย่างสับสน จากนั้นก็มองไปที่ข้อมือทันที “ประ…ประมาณเกือบสิบนาทีแล้ว…ฉันก็จำไม่ค่อยได้”
“ใครเป็นคนตีพวกนายสลบ? แล้วหัวหน้าทีมจางนั่นเป็นใคร?” ชายหนุ่มถามขึ้นอีก
หน้าของชายหัวล้านซีดเผือดขึ้นมาอีกครั้ง เขาพยายามประคองสติ บอกว่า “ฉัน…ฉันเห็นไม่ชัด อีกฝ่ายเคลื่อนไหวเร็วเกินไป รู้แค่ว่าเป็นผู้หญิง…พอเธอปรากฏตัว ก็ยืนอยู่ต่อหน้าหัวหน้าทีมทันที แล้วหัวหน้าทีมก็ตะโกนว่า ฉันเป็นคนของทีมวางระเบิด ฉันช่วยพวกนายได้ อย่าฆ่าฉันเลย…ผลปรากฏว่า…หัวหน้าทีมถูกตีสลบ แล้วต่อมาก็เป็นตาฉัน…”
“งั้นตอนนี้เขาไปไหนแล้ว?” ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกาย ข้อมูลเหล่านี้ถือว่าสำคัญมากสำหรับเขา ซึ่งนี่เป็นเหตุผลหลักที่เขาเลือกที่จะมาที่นี่ก่อน ถึงคนคนนี้จะไม่ตื่น เขาก็จะหาวิธีทำให้เขาตื่น จากนั้นก็ถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นจากเขา
แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ นี่ก็เป็นเหตุผลที่หลิงม่อส่งหุ่นซอมบี้กลับมาที่นี่เช่นเดียวกัน…
“ฉันไม่รู้…” ชายหัวล้านตอบอย่างสับสน
“รองหัวหน้าทีมเซี่ย คนคนนั้นอาจหนีไปเองหลังจากฟื้นได้สติ?” สมาชิกคนนั้นขมวดคิ้วถาม
ชายหัวล้านหัวเราะแหย บอกว่า “ไม่มีทาง หัวหน้าทีมจางขี้ขลาดมาก อีกอย่างเขาเก่งแค่เรื่องระเบิดอย่างเดียว ไม่กล้าหนีไปเองหรอก…แต่ว่า…แต่ว่าก็ไม่แน่ว่าเขาอาจหนีออกไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนซักที่ข้างนอกนั่น…”
“หรืออาจเป็นไปได้ว่าอาจถูกพาตัวไปหลังหมดสติ…” อยู่ๆ ชายหนุ่มก็พูดขึ้น
ถึงแม้ที่นี่จะเคยมีร่องรอยของระเบิด แต่โครงสร้างหลักๆ ของอาคารกลับไม่ได้เสียหาย…ด้วยนิสัยของชายสวมแว่น เขาไม่มีทางทำอย่างนี้แน่นอน คำอธิบายหนึ่งเดียวก็คือ พวกหลิงม่อมีความสามารถในการกู้ระเบิดอยู่ในมือแล้ว…
แต่ตอนนี้เขายังคิดไม่ออกว่าทำได้อย่างไร จากความเข้าใจของเขา สมาชิกทีมระเบิดพวกนี้ไม่รู้ตำแหน่งที่ระเบิดถูกติดตั้งไว้…
“เจ้าแว่นนั่นถึงแม้จะไม่ได้เก่งมาก แต่ก็ถือว่าเป็นคนที่ค่อนข้างระวังตัว มีแค่ต้องตีคนให้สลบ ถึงจะสามารถรอดพ้นจากสำรวจของเขาได้…” ข้อมูลที่ได้มีน้อยเกินไป ชายหนุ่มจึงวิเคราะห์ได้เพียงเท่านี้
“ในเมื่อพวกนายมาแล้ว ฉัน…ฉันก็วางใจแล้ว” ชายหัวล้านหัวเราะ ทว่าดูจากสายตาตื่นตระหนกของเขา ก็พอรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นสร้างความหวาดกลัวให้เขาลึกซึ้งขนาดไหน…
สมาชิกที่ประคองเขาตลอดเงยหน้ามองชายหนุ่ม หลังจากที่ลอบพยักหน้าเงียบๆ จู่ๆ เขาก็หัวเราะเย็นชา แล้วถามว่า “เมื่อกี้นายบอกว่า นายก็เป็นคนของทีมระเบิดเหมือนกัน หมายความว่ายังไง?”
“มะ…หมายความว่าไง…” มุมปากของชายหัวล้านกระตุกสั่น สีหน้าของเขาเริ่มลนลาน “มะ…ไม่มีอะไรนี่ ฉันก็แค่…เมื่อกี้ฉันยังไม่ได้สติดี…”
“งั้นหรอ?” สมาชิกคนนั้นมองเขาอย่างเหยียดหยาม ทันใดนั้นสายตาเขาก็แน่วแน่
พรวด!
เมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ ชายหัวล้านก็เบิกตากว้าง เขาจ้องสมาชิกคนนั้นอย่างเหลือเชื่อ แล้วหันไปมองหน้าชายหนุ่มอีกครั้ง
สมาชิกคนนั้นพลิกฝ่ามือ และปล่อยแขนชายหัวล้านทันที
พลั่ก!
ชายหัวล้านล้มลงไปบนพื้นอีกครั้ง เขาพยายามใช้มือข้างหนึ่งลูบหน้าอกตัวเอง แต่สุดท้ายกลับทำได้เพียงกระตุกแขนเล็กน้อยสองสามที จากนั้นก็แน่นิ่งไปทั้งที่ยังลืมตา
สมาชิกคนนั้นยืดเช็ดคราบเลือดออกจากริชอยู่ข้างโซฟา เขาหันไปมองศพชายหัวล้านอย่างดูแคลน จากนั้นก็หันไปมองผู้สลบอีกสองคนที่อยู่ในห้อง “พวกเขาปล่อยคนพวกนี้ไว้ เพื่อข่มขู่เรางั้นหรอ?”
“ใครจะไปรู้ล่ะ…” สมาชิกอีกคนพูดอย่างเย็นชา
“เอาล่ะ เก็บพวกเขาไว้ก่อนแล้วกัน ในห้องนี้เราคงไม่ได้ข้อมูลเพิ่มเติมมากไปกว่านี้แล้ว ส่วนเจ้าหัวล้านนี่ โยนความผิดไปให้เจ้าหลิงม่อก็แล้วกัน” ชายหนุ่มตบชายเสื้อเบาๆ เหมือนต้องการเช็ดคราบเลือดที่ไม่มีอยู่แล้วออก จากนั้นก็หันกายเดินออกไป
—————————————————————————–