นิสัยเดิมฮุ่ยหลานนั้นประหยัดเรียบง่าย เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เกิดกลัวว่าจะทำสร้อยข้อมือเสียหาย จึงรีบชะงักมือไว้ กำลังจะพูดขึ้นอีกครั้ง แต่กลับได้ฟังเสียงคุณหนูใหญ่แทน “อนุสามเป็นคนเรียบง่ายเชื่อถือได้ จวนหลังตระกูลอวิ๋นขาดแคลนคนเช่นนี้ อย่าได้พูดเลยว่าสร้อยข้อมือทองเป็นของสูงส่ง ข้าไม่ลังเลที่จะมอบให้เลย”
ชูซย่าได้ยินคุณหนูพูดเช่นนี้ ก็กะพริบตาปริบๆ ยังไม่เข้าใจความคิดของคุณหนูใหญ่อีกหรือ…เห็นด้วยที่อนุสามเป็นคนเช่นนี้ ดูท่าตอบแทนความซื่อสัตย์ของนางด้วยการแค่ให้รางวัลจะไม่ง่ายนะสิ
ฮุ่ยหลานเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นยืนกรานจะให้ จึงจำต้องรับมาชั่วคราว แล้วเอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่ไม่ใส่ใจว่าเชี่ยเซินเป็นผู้มาใหม่ มอบหมายการเตรียมงานแต่งแก่เชี่ยเซินดูแล บุญคุณครั้งนี้ เชี่ยเซินซาบซึ้งไม่หมดไม่สิ้น งานมงคลใหญ่ครั้งเดียวในช่วงชีวิตของคุณหนูใหญ่ ต่อให้ไม่มีรางวัลใดๆ เชี่ยเซินก็สามารถจัดการดูแลให้ดีอย่างไม่หลับไม่นอนแก่คุณหนูใหญ่ได้ ไม่มีทางให้เกิดข้อผิดพลาดแน่นอน”
อวิ๋นหว่านชิ่นแววตาเป็นประกาย “แม่เล็กสามจัดการงานได้อย่างมีเสถียรภาพ ไม่มีการฉกฉวยโอกาส ข้าไม่ต้องกังวลที่แม่เล็กสามจัดการงานแต่งให้เลย จะกังวลก็แค่เพียงสิ่งอื่นเท่านั้น”
ฮุ่ยหลานพูดอย่างเร่งรีบ “คุณหนูใหญ่มีภาระในใจ หากเชี่ยเซินมีความสามารถพอ ก็จะพยายามทุกวิธีทางให้สำเร็จเพื่อคุณหนูใหญ่”
อวิ๋นหว่านชิ่นประคองโถน้ำร้อนไว้ในแขนเสื้อ จ้องเขม็งไปที่ฮุ่ยหลานและชูซย่าพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน คลับคล้ายพูดคุยกันเล่น “พวกเจ้าก็รู้ อายุคุณชายน้อยยังเล็กอยู่ นิสัยยังไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ ช่วงอายุนี้สำคัญอย่างมาก เดินพลาดก้าวเดียว หรือต้นกล้าเอนเอียง ก็ยากจะแยกกลับมาได้ในภายหลัง ยามที่ข้าอยู่เรือน ยังพอจะดูแลได้ รอจนข้าไปแล้ว คุณชายน้อยก็จะไม่มีคนดูแลแล้ว นายท่านก็วุ่นอยู่กับชนชั้นขุนนาง ท่านย่าก็อายุมากแล้ว ไม่ช้าก็เร็วคงได้กลับบ้านเกิดที่ไท่โจว ตามสถานการณ์เลื่อนขั้นขุนนางของท่านพ่อในตอนนี้ ไม่แน่ว่าวันข้างหน้าหลังจวนยังคงหาคนเพิ่มเรื่อยๆ หากได้เจอคนจิตใจดีอย่างอนุสามก็แล้วไป หากเจอพวกที่มีเจตนาร้ายแอบแฝง ข้ากลัวว่าคุณชายน้อยจะ…”
ที่แท้คุณหนูใหญ่มอบสร้อยข้อมือแถมยังชื่นชม ก็เพื่อการนี้นี่เอง
ชูซย่าเข้าใจความหมายของนางแล้ว ก็จริงนะ ในช่วงแรกคุณหนูใหญ่พาคุณชายน้อยให้รอดพ้นน้ำมือของไป๋ซื่อมาได้ มิเช่นนั้นหากได้เจอไป๋ซื่ออีก ก็คงไม่ได้เลี้ยงดูและควบคุมด้วยตัวเอง ออกเรือนไปตอนนี้ เรื่องคุณชายน้อยย่อมเป็นภาระในใจที่ปล่อยวางไม่ได้ แน่นอนว่าต้องคิดหาหนทางไว้ให้คุณชายน้อย
เป็นไปตามคาด ฮุ่ยหลานไตร่ตรองอยู่นานนม พลันเงยหน้าขึ้น ปลุกความกล้าหาญขึ้น แล้วเริ่มเปิดปากพูด “เชี่ยเซินไม่มีความสามารถในการอบรมสั่งสอนคุณชายน้อย แต่คุณหนูใหญ่โปรดวางใจ ตราบใดที่ยังมีเชี่ยเซินในตระกูลอวิ๋น จะต้องยืนเคียงข้างคุณชายน้อยแน่นอน หากมีใครกล้าข่มเหงปะทุษร้ายคุณชายน้อย เชี่ยเซินไม่อาจลูบหน้าปะจมูก จะรีบไปที่จวนอ๋องเพื่อบอกคุณหนูใหญ่แน่นอน”
อวิ๋นหว่านชิ่นที่รอจนนางกล่าวประโยคนี้ ใจที่หนักอึ้งจึงเบาขึ้นไม่น้อย แม้ว่าจวนอ๋องและตระกูลอวิ๋นจะอยู่ในเมืองหลวงเช่นเดียวกัน ทว่าอย่างไรเสียที่หนึ่งก็บ้านสามี ที่หนึ่งก็บ้านภรรยา อวิ๋นจิ่นจ้งที่ไม่ได้อยู่ในสายตา ต่อให้มีเรื่องอะไรนางก็ไม่สามารถจะดูแลได้ตลอด ในตอนนี้มีฮุ่ยหลานแล้ว นางก็วางใจได้เยอะ ถ้าฝั่งน้องชายเกิดเรื่องอะไร ต่อให้ฮุ่ยหลานจะยับยั้งไม่ไหว อย่างน้อยก็พอจะขวางกั้นได้บ้าง และสามารถนำข่าวมาให้นางทราบได้อย่างทันท่วงที
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ สีหน้าอวิ๋นหว่านชิ่นก็อ่อนโยนลง วางโถน้ำร้อนลง เข้าไปจับมือฮุ่ยหลาน เผยแววตาละมุนละไม “มีแม่เล็กสามคอยดูแลให้ ข้าก็วางใจได้มากทีเดียว” นางเผยรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง “พอพูดขึ้นมา สองสามปีมานี้จิ่นจ้งก็ขยันเล่าเรียนไม่น้อยทีเดียว อาจารย์ที่กั๋วจื่อเจี้ยนชมหลายต่อหลายครั้ง กล่าวได้คือสามารถลองสอบถงเซิงล่วงหน้าก่อนได้ ถ้าในภายหลังเกิดประสบความสำเร็จขึ้นมา แม่เล็กสามก็ถือว่าเป็นแม่เล็กที่เคยดูแลคุณชายน้อย ย่อมตามติดเป็นร่มเงาเสพสุขด้วยได้แน่ หากในภายหลังแม่เล็กสามกำเนิดบุตรมา คุณชายน้อยคงจะสนิทชิดเชื้อกับลูกของท่านเป็นแน่ ถึงเวลานั้น พี่น้องก็จะคอยช่วยเหลื้อเกื้อกูลแก่กัน”
ชูซย่าแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ การล่อลวงแม่เล็กสามไปในที่ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ช่างง่ายเสียจริง
เป็นดั่งคาด สีหน้าฮุ่ยหลานฉายแววปีติ ประหลาดใจที่ได้รับความสำคัญอย่างไม่คาดฝัน จะมีอนุกี่คนที่จะได้เป็นร่มเงาเสพสุขความสำเร็จกัน ต่อให้อนุให้กำเนิดลูกขุนนาง ก็แค่ได้รางวัลทรัพย์สินในฐานนะอนุผู้ให้กำเนิดเท่านั้น ส่วนอนุก็ต้องยืนหลีกทางให้ลูกผู้แสนกตัญญูของขุนนางชั้นสูงรุ่นก่อนหน้า เพื่อท่านแม่บรรดาศักดิ์ชั้นเก้ามิ่งผู้ล่วงลับไปแล้ว ยังนั่งวิงวอนบนหน้าโลงศพท่านแม่อย่างเข้มแข็ง
ทว่าคุณหนูใหญ่ที่สุขุมผู้นี้ ในเมื่อพูดเช่นนี้แล้ว ย่อมมิใช่การพูดจาเหลวไหลเป็นแน่ อย่างน้อยก็ให้ความสำคัญแก่ตน
ดูท่าทีแล้ว ในอนาคตคุณชายน้อยคงได้นางมาดูแลปกป้องชีวา
ถ้านางโชคดีมีบุตรละก็ ถึงเวลานั้นเป็นแค่บุตรชายบุตรสาวที่เกิดจากอนุเท่านั้น เรื่องอนาคตและมีทรัพย์สมบัติคงไม่เท่าบุตรของเมียหลวง แต่มีความสัมพันธ์ที่ดีงามกับบุตรเมียหลวงอย่างคุณชายน้อยแล้ว ก็สามารถเชิดหน้าชูตาได้ไม่น้อย
พอคิดแล้ว ฮุ่ยหลานก็กล่าวว่า “คุณหนูใหญ่กล่าวเกินจริงไปแล้ว ตั้งแต่นี้ไป เชี่ยเซินจะดูแลคุณชายน้อยเอง”
อวิ๋นหว่านชิ่นก็เผยใบหน้ารอยยิ้มสดใสดุจดอกพุดตาน พยักหน้า “ดี เช่นนั้นแม่เล็กสามก็ออกไปทำงานก่อนเถิด”
“เจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่” ฮุ่ยหลานพยักหน้า น้อมตัวอย่างนอบน้อม แล้วถือใบรายการสินเดิมก่อนจะแหวกม่านออกไป
รอจนฮุ่ยหลานเดินลับไปแล้ว ชูซย่าก็มองดูคุณหนูใหญ่ เห็นสีหน้านางผ่อนคลายขึ้นมาก จึงรู้ว่าเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอกแล้ว เลยออกไปอย่างเงียบๆ แล้วหิ้วกล่องข้าวไม้สีแดงกล่องหนึ่งมาด้วย กล่าวขึ้นว่า “ในที่สุดภายในบ้านก็มีคนเป็นหูเป็นตาให้ คุณหนูใหญ่วางใจได้เถิดเจ้าค่ะ”
พูดว่าวางใจได้ก็ยังวางใจไม่ได้จริงๆ หรอก หากเป็นไปได้อวิ๋นหว่านชิ่นก็อยากจะเอาน้องชายเป็นส่วนหนึ่งในสินเดิมแล้วหิ้วไปด้วยใจจะขาด ทว่ายังเคารพสามีอยู่ ไม่มีเหตุผลที่จะพาน้องชายไปด้วยในเมื่อท่านพี่ได้ออกเรือนไปแล้ว ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ทำได้เพียงคอยดูเท่านั้น พอกำลังจะตอบก็ชำเลืองเห็นชูซย่าเปิดกล่องข้าว แล้วยกชามกระเบื้องจากด้านใน แล้วเปิดฝาออก กลิ่นที่คุ้นเคยพลันโชยออกมา
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มเจื่อน เป็นแกงเขากวางอ่อนที่เอามาจากร้านเต๋อซิ่งไจ เป็นครั้งแรกที่ส่งมา ฉินอ๋องที่อยู่ร้านเต๋อซิ่งไจคงคาดการณ์สั่งไว้ แล้วกำชับว่าประมาณสิบวันให้พ่อครัวในร้านต้มแกงไว้ถ้วยหนึ่ง รอจนคนตระกูลอวิ๋นมารับ หากไม่ได้ไปหรือช้าไปสองสามวัน เขาสามารถให้พนักงานในร้านเต๋อซิ่งไจแอบมาเตือนที่บ้าน บีบบังคับคนจนไม่กล้าไม่ไปรับแน่ๆ ทั้งยังมองออกว่านางไม่อาจฟุ่มเฟือยได้ นำมาแล้วอย่างไรก็ต้องกิน