แต่ก่อนจะเป็นเมี่ยวเอ๋อร์ที่ไปรับ ตอนนี้เมี่ยวเอ๋อร์ไม่อยู่แล้วจึงให้ชูซย่าทำแทน นี่เป็นครั้งแรกที่ชูซย่าไปรับ นางยื่นช้อนเคลือบให้ พลางยิ้มพูดว่า “บ่าวเห็นว่าแกงเขากวางอ่อนนี้ยังมีประโยชน์ต่อมดลูก ในเดือนสองเดือนนี้ ในวันสบายๆ คุณหนูใหญ่ดูเหมือนจะไม่มีอาการเจ็บปวดแล้ว สีหน้าก็มีเลือดฝาดไม่น้อย มีชีวิตชีวามากขึ้น…”
อวิ๋นหว่านชิ่นที่เพิ่งจะใช้ช้อนเคลือบตักแกงได้คำเดียว ได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็วางลงอย่างไร้สาเหตุ พักนี้เอาแต่คิดเรื่องจัดการสินเดิม ส่วนเวลาที่เหลือก็ดูแลสถานการณ์ร้านเซียงหยิงซิ่วอยู่ห่างๆ นอกเหนือจากนี้ก็ล้วนศึกษาค้นคว้าตำราแพทย์ที่เหยากวงเหย้าส่งมาให้ บางครั้งก็ปรุงยาตามตำรับ หนึ่งวันสิบสองชั่วยามแสนแน่นขนัด กลับลืมไปเพียงจุดเดียว แล้วยังเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดด้วย!
…เจ้าสาว ควรจะต้องสวยสง่าสิ!
ตั้งแต่วันนั้น อวิ๋นหว่านชิ่นก็เริ่มกระบวนการบำรุงผิวอย่างเต็มกำลัง ในทุกวันหลังทานมื้อเย็นแล้ว จะใช้น้ำมันระเหยจากดอกไม้ผสมกับน้ำในอ่าง หลังจากอาบน้ำก็จะพอกด้วยน้ำผึ้งผสมกับผงเกสร สุดท้ายก็เช็ดให้สะอาด ใช้น้ำสะอาดชะล้างแล้วค่อยขึ้นเตียงนอน แม้แต่การทานอาหารสามมื้อก็ต้องลดปริมาณลงเหลือสองในสาม
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ยามรุ่งอรุณนี้ สำนักพระราชวังส่งนางในมาอบรมตระกูลอวิ๋น ผู้ที่มาคือหมัวมัวที่อายุราวสี่สิบ นางแซ่เฝิง เป็นนางในอาวุโส เนื่องจากต้องใช้เวลาสามวันในการอบรมเจ้าสาวที่ตระกูลอวิ๋น จึงจัดเตรียมให้อยู่ห้องเซียงฝางที่อยู่ข้างๆ กับเรือนหยิงฝู
บ่าวตระกูลอวิ๋นพาเฝิงหมัวมัวไปที่เรือนของคุณหนูใหญ่ อวิ๋นหว่านชิ่นก็มารอที่ทางเข้าประตูวงพระจันทร์ก่อนแล้ว พอเห็นใบหน้ายาวของหมัวมัวผู้นี้ องคาพยพทั้งห้าเรียงรายสวยงาม สองตากวาดมองทั่วรอบกาย มองปราดเดียวก็รู้ว่าอยู่ในวังมาหลายปี เป็นผู้ที่ไม่ว่าอะไรก็ล้วนเห็นจนชินตาแล้ว มีเพียงรอยยิ้มเล็กน้อยเท่านั้น จึงขยับตัวไปเบื้องหน้าแล้วถอนสายบัว “คารวะเฝิงหมัวมัว สองสามวันนี้ต้องรบกวนหมัวมัวแล้ว”
ชูซย่าที่สองมือประคองกล่องของขวัญ เดินเข้าไป ยกมือขึ้นสูงมอบให้เฝิงหมัวมัวอย่างความเคารพนบน้อม
เฝิงหมัวมัวเปิดดู พบว่าเป็นน้ำเต้าทองขนาดใหญ่หนึ่งใบ และแอบใช้มือชั่งน้ำหนักดู เป็นทองคำบริสุทธิ์แท้ ใบหน้าที่จริงจังก็คลายอ่อนโยนลงเล็กน้อย “คุณหนูอวิ๋น เกรงใจเกินไปแล้ว บ่าวจะรับไว้ได้อย่างไร” ถึงพูดเช่นนี้ ก็ส่งกล่องให้นางในน้อยที่ติดตามมาด้วยแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นท่าทีของนางก็ยิ้มหวานเอ่ยว่า “ไยจะรับมิได้เล่า ข้าล้วนไม่เข้าใจอะไรเลย สองสามวันนี้ยังต้องขอร้องให้เฝิงหมัวมัวอดทนอบรม อย่าตำหนิข้าที่เก้งก้างเลยนะเจ้าคะ”
หมัวมัวที่อบรมจากภายในวังมาย่อมรู้ว่าควรรับมืออย่างไร หากไม่สร้างความสัมพันธ์อันดี ก็รู้แจ้งดีว่าจุดจบนางจะเป็นอย่างไร ยามอบรมตั้งใจให้ผิดพลาดเล็กน้อย ตนเองก็จนปัญญาเช่นกัน
สามวันแห่งการอบรม สมองอวิ๋นหว่านชิ่นตึงเครียด เพิ่งจะได้รู้ว่าการเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์ จะใช้พลังสมองขนาดนี้ ในวันแรก เฝิงหมัวมัวสอนอิริยาบถของสะใภ้ราชวงศ์และกฎพื้นฐานของวัง รวมถึงลำดับของผู้สูงศักดิ์วังหลังในปัจจุบัน ทั้งนี้จะได้ไม่เกิดข้อบกพร่องยามเข้าวัง อีกทั้งยังอธิบายอย่างละเอียดถึงกระบวนการวันแต่งงานใหญ่ แม้กระทั่งอวิ๋นหว่านชิ่นหันศีรษะ เฝิงหมัวมัวก็ไอแค่กๆ สองที แสดงถึงความไม่พอใจ นี่ยังไม่นับที่เข้ามาจู่โจมตรวจสอบในยามดึก เมื่อย้อนถามอีกครั้ง โชคดีที่อวิ๋นหว่านชิ่นมีความจำดี ตั้งใจฟังเสมอ จึงตอบคำถามได้อย่างคล่องแคล่ว จึงผ่านพ้นไปได้
ในวันนี้สบายขึ้นเยอะแล้ว กลับเรียกชูซย่าที่กำลังหน้าแดงมาคอยรับใช้อยู่ข้างๆ เฝิงหมัวมัวนำภาพชุนกงและตุ๊กตาชุนอี้ที่มาจากในวังให้อวิ๋นหว่านชิ่นได้สังเกตและศึกษา ซึ่งต้องเน้นหนักอย่างยิ่ง ท่าไหนจะทำได้นานที่สุด ท่าไหนจะทุ่นแรงมากที่สุด ท่าไหนจะเข้าลึกมากที่สุด ท่าไหนจะง่ายต่อการกำเนิดบุตรมากที่สุด…
ชูซย่าที่ได้ฟังก็รู้สึกร้อนผ่าว แล้วมาศึกษาต่อแบบเปลือยเปล่าที่ห้องส่วนตัว แต่ก่อนคุณหนูใหญ่ก็เคยให้หนังสือภาพการตกลงปลงใจเลือกคู่แต่งงานอยู่กินชั่วชีวิตของหญิงงามสองสามเล่มเพื่อฆ่าเวลาเล่นแก่นาง ทว่าที่เห็นมากที่สุดก็แค่ชายหญิงโอบกอดกันใต้จันทราเท่านั้น จึงโดนเฝิงหมัวมัวบอกให้ไปรับลมเย็น เพราะหน้าที่แดงมาโดยตลอด ยังไม่คืนสภาพปกติเสียที
สำหรับอวิ๋นหว่านชิ่นที่อดีตชาติเคยผ่านการแต่งงานมาจึงไม่ได้กดดันแต่อย่างใด ทว่าต่อให้ไม่มีความกดดันก็ต้องแกล้งทำเป็นหน้าแดงอยู่บ้าง มิเช่นนั้นเฝิงหมัวมัวอาจจะสงสัยได้ ดังนั้น อวิ๋นหว่านชิ่นก็แค่ทำตามชูซย่าเท่านั้นเอง บางทีก็ปิดหน้า เบือนหน้าหลบ ทำเป็นแสดงละคร
เฝิงหมัวมัวเห็นนางปิดหน้าก็ตีให้เอาลง แล้วพูดตำหนิ “นี่ไม่ใช่เวลามาอายแล้ว! ตอนนี้ในจวนอ๋องมีแค่คุณหนูอวิ๋นคนเดียว หากปรนนิบัติฉินอ๋องที่ห้องนอนไร้ซึ่งความสุข ก็จะเป็นความผิดใหญ่หลวงของคุณหนูอวิ๋น และคุณหนูอวิ๋นเป็นถึงเจิ้งเฟย จะดีที่สุดหากนำหน้าผู้อื่นให้กำเนิดบุตรชายได้ ในภายหลังจะได้ไม่มีกลุ่มนางในชั้นซูเฟยที่จวนอ๋องชิงให้กำเนิดบุตรก่อน ทำเอาตำแหน่งขจัดขจายไปหมด”
ชูซย่าที่ได้ฟังก็หายหน้าแดงแล้ว แต่กลับเศร้าเล็กน้อย ตอนนี้เป็นเรื่องงานแต่งของคุณหนูตน คนยังไม่ทันแต่งงาน ก็เริ่มกล่าวถึงนางในชั้นซูเฟยที่ไม่มีแม้แต่เงาเนี่ย เช่นนี้จะไม่ทำเอาคนใจเสียหรือ
อวิ๋นหว่านชิ่นกลับหัวเราะ “เรื่องตำแหน่งจะขจัดขจาย หมัวมัวมิต้องกังวลไป”
นางในชั้นซูเฟยรึ ไม่พูดก่อนว่าเขาจะยอมหรือไม่ ยังต้องดูอีกว่าร่างกายเช่นเขาจะมีหรือไม่มีฝีมืออีก! เนื้อติดมันชิ้นเดียวเขายังทานลำบาก ยังจะหวังเนื้อชิ้นอื่นหรือ จนสุดท้ายอวิ๋นหว่านชิ่นก็หน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย คิดเพ้อเจ้ออะไรเนี่ย! ต้องเป็นเพราะเกี่ยวกับภาพชุนกงแน่ๆ ทำเอาจิตใจตนตีกับความชั่วเสียได้!
เฝิงหมัวมัวคิดแค่ที่นางรับรองก็คือนางจะชิงนำหน้าให้กำเนิดบุตรชายคนโตแน่ ก็นับว่าเฉลียวฉลาด สีหน้าจึงผ่อนคลายลง แล้วเริ่มอบรมต่อ
สามวันผ่านไป ในขณะเดียวกับที่เฝิงหมัวมัวก็ลาจากจวนอวิ๋น ยามสำนักพระราชวังมารับคนนั้น ก็ถือโอกาสส่งต่อคำพูดว่า ฝ่ายสำนักดาราศาสตร์ได้ฤกษ์ดีมาแล้ว และได้ผ่านสายตาของพระองค์ท่านแล้ว ซึ่งตัดสินใจว่า จะจัดพิธีสมรสในวันที่แปดเดือนหน้า
ยามที่ข่าวแพร่สะพัดถึงเรือนหยิงฝู อวิ๋นหว่านชิ่นที่กำลังอ่านตำราแพทย์เล่มหนึ่งอยู่ริมหน้าต่างจึงได้รับข่าวแล้ว นางไม่รู้สึกเซื่องซึมแม้แต่น้อย วันแต่งงานชาติที่แล้วก็เป็นช่วงบุปผาบานยามวสันต์ สรรพสิ่งล้วนมีชีวิตชีวา มีความหวังอย่างเต็มเปี่ยม วันแต่งงานครั้งนี้ใกล้กลางเหมันตฤดู คงได้ต้องหนาวไปถึงกระดูกเร็วๆ นี้ ก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์การแต่งงานในชาตินี้จะเป็นอย่างไร ได้แต่งงานกับเขา ก็เท่ากับกำหนดก่อความวุ่นวายในประวัติศาสตร์ชาตินี้ เป็นการเปิดฉากใหม่
อย่างไรก็ดี ระยะทางในวันแต่งงานไม่ไกล ในสายตาเรื่องการตระเตรียมงานแต่งเบื้องต้นล้วนเหมาะสมดีแล้ว ทางด้านร้านค้าก็ยังมีแผน ยังจำไม่ได้ นางวางตำราในมือลง ลุกขึ้นยืน นำเสื้อคลุมขนหนูสีเงินจากบนฉากกั้นมาสวมใส่ ส่งเสียงเรียก “ชูซย่า ไปกัน พาข้าไปที่ร้านเซียงหยิงซิ่ว”