ตอนที่ 124-1 พัฒนาน้ำพุร้อน ญาติผู้พี่บอกความลับ

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อวิ๋นหว่านชิ่นที่เปลี่ยนเสื้อผ้า สวมหมวกเหวยเม่า เพิ่งออกมาจากเรือนหยิงฝู ด้านนอกประตูจันทราก็มีร่างเล็กกำลังทำหน้าขรึมเกาะกำแพงอย่างน่ารักน่าชัง กะพริบขนตาที่ยาวหนา  

 

 

“ท่านพี่จะไปไหน”  

 

 

ด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร ราวกับนกตัวจ้อยที่ถูกคนบีบคอ ไม่ร่าเริงและทำเสียงใสเหมือนแต่ก่อน อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นดวงตากลมโตของน้องชายมองตนอย่างกลอกไปมา อยากจะพูดขึ้นแต่ก็หยุด ท่าทางคลับคล้ายว่ามีคำที่พูดออกมาไม่ได้อยู่เต็มท้อง จึงเจ็บปวดในใจเล็กน้อย จมูกก็แสบขึ้นเล็กน้อยอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

ในวันแรกที่ตระกูลอวิ๋นรับพระราชโองการให้จัดพิธีแต่งงาน อวิ๋นจิ่นจ้งก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นคนละคน พูดน้อยลง สองสามวันมานี้ที่อวิ๋นหว่านชิ่นตระเตรียมงานแต่ง ทุกๆ วันหลังกลับมาจากเลิกเรียนเขาก็จะมองรอบๆ นอกเรือนหยิงฝู อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ดีว่า น้องชายอาลัยอาวรณ์ไม่อยากแยกจากตนเอง 

 

 

นางก็ไม่อยากเช่นกัน ในชาตินี้ไม่ง่ายนักที่จะได้รู้สึกใกล้ชิดกับน้องชาย กลับต้องแยกจากเขาอีก ปล่อยวางไม่ได้จริงๆ 

 

 

นางเดินเข้าไป เผยรอยยิ้ม “จิ่นจ้งเลิกเรียนแล้วหรือ เหตุใดถึงไม่กลับห้องเซียงฝางไปอ่านหนังสือเล่า”  

 

 

อวิ๋นจิ่นจ้งทำเสียงอ้อมแอ้มสองที ริมฝีปากสวยเม้มสนิทจนเป็นเส้นเดียว ใบหน้าเล็กขาวนวลดูหดหู่ไร้ความสุข  

 

 

ข้างกายอวิ๋นจิ่นจ้งก็มีบ่าวน้อยซูถงนามว่ามั่วเซียงเข้ามาแทนที่ เป็นคนที่อวิ๋นหว่านชิ่นรับเข้ามาเองในภายหลัง ปีนี้อายุสิบหกปี เป็นต้นแบบการสืบทอดความรู้และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามที่ดียิ่ง มีนิสัยใจคอที่จริงใจ ความประพฤติอยู่ในศีลธรรม มีการศึกษารู้มารยาทสมบัติผู้ดี เฉลียวฉลาดตั้งแต่เกิด บัดนี้ มั่วเซียงกวาดสายตามองคุณชายน้อยที่เศร้าสร้อย ยิ้มแย้มอยู่ข้างๆ กล่าวว่า “คุณหนูใหญ่ คุณชายน้อยอาวรณ์ไม่อยากให้ท่านออกเรือน ช่วงดึกดื่นสองสามวันนี้ก่อนจะเข้านอนก็พร่ำบ่นกัดผ้าห่ม ว่าเกลียดฉินอ๋องที่สุด ไยรีบขโมยท่านพี่ไปเช่นนี้…” 

 

 

“พูดจาเหลวไหลอะไร! ข้าเคยพูดเสียเมื่อไหร่กัน” อวิ๋นจิ่นจ้งลนลาน ใบหน้าเล็กขาวใสพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง อายุราวนี้มักจะมั่นใจในตัวเองสูงยิ่ง ไยเอาตนมาพูดราวกับเด็กติดพี่สาวกันเล่า!  

 

 

มั่วเซียงกลับไม่ยอมฟังคำตักเตือน เปิดโปงความคิดคุณชายน้อย “…สองสามวันนี้คุณชายน้อยเศร้าโศกไม่เป็นอันกิน แม้กระทั่งฟังอาจารย์พูดในคาบเรียนก็ไม่เข้าหัว จนถูกอาจารย์ตำหนิหลายครั้ง ยังไม่ให้บ่าวมาบอกคุณหนูใหญ่อีก…” 

 

 

“หุบปากเสียเจ้าข้ารับใช้!” อวิ๋นจิ่นจ้งย่นจมูก เสียงดังจนบ่าวซูถงปิดปากสนิท  

 

 

หญิงสาวก่อนงานแต่งต่างก็มีอาการซึมเศร้ากันไปเกินครึ่งหนึ่งแล้ว ชาติที่แล้วอวิ๋นหว่านชิ่นก็เป็นเช่นนี้ ทั้งสุขทั้งทุกข์ จิตใจกระสับกระส่าย สารพัดความรู้สึก ทว่าครั้งนี้กลับดีหน่อย อาการซึมเศร้าที่กำเริบขึ้นในตัวน้องชาย ในใจมีระลึกถึงอยู่บ้าง หากตามปกติพอรู้ว่าน้องชายไม่ตั้งใจร่ำเรียน ย่อมอบรมสั่งสอนเป็นแน่ ทว่าวันนี้กลับพูดไม่ออกสักประโยค สีหน้าจึงอ่อนโยนลง ยิ้มเบาๆ เอ่ยว่า “จิ่นจ้ง วันนี้การบ้านที่กั๋วจื่อเจี้ยนให้มาทำเสร็จแล้วหรือ” 

 

 

“เสร็จแล้ว” อวิ๋นจิ่นจ้งชักมือกลับ ส่งเสียงฮึใส่มั่วเซียงหนึ่งครา 

 

 

“ไปร้านเซียงหยิงซิ่วเป็นเพื่อนพี่กัน แต่ว่ายังเหมือนคราวที่แล้วนะ กลับบ้านมาอย่าพูดอะไร มิเช่นนั้น ไม่ว่าเรื่องอะไรพี่ก็จะไม่พาเจ้าไปด้วยอีก” อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มพลางตะโกนขึ้น “นำเสื้อคลุมมาให้คุณชายน้อย” 

 

 

อวิ๋นจิ่นจ้งที่หน้าหม่นหมองมาสองสามวันในที่สุดก็แจ่มใสขึ้น ร่าเริงขึ้นทันใด 

 

 

เมื่อสองพี่น้องมาถึงร้านเซียงหยิงซิ่ว ภายในร้านก็มีลูกค้าอยู่ ซึ่งป้าสี่และหงเยียนกำลังดูแลอยู่ ส่วนอาหลั่งอยู่ด้านหลังยุ่งกับการขนย้ายสินค้าในคลังสินค้า สองคนจึงยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้าง มิกล้ารบกวน 

 

 

เกือบจะเดือนหนึ่งที่ไม่ได้มา สถานการณ์ของร้านเซียงหยิงซิ่วคนก็นิยมมากขึ้น เหมือนเป็นสถานที่ทำการค้ามากขึ้นแล้ว การวางแผนของร้านก็เหมาะสมมากกว่าแต่ก่อน หงเยียน ป้าสี่ และอาหลั่งสามคน หนึ่งคนจดบัญชี หนึ่งคนดูแลสภาพแวดล้อม หนึ่งคนรับผิดชอบเข้าออกคลังสินค้า แต่ละคนต่างทำตามหน้าที่ มีลำดับชัดเจน เป็นไปตามระเบียบแบบแผน 

 

 

ยามที่เทียบเข้าถนนจิ้นเป่า อวิ๋นหว่านชิ่นสังเกตเห็นว่าร้านค้าอื่นที่ขายของแบบเดียวกันบนถนน ร้านเซียงหยิงซิ่วมีลูกค้ามากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่เริ่มตระหนักถึงเรื่องคุณภาพของสินค้าก็ไม่เลวเช่นเดียวกัน ทว่าลูกค้าส่วนใหญ่ ยังมองหาป้ายประกาศเกียรติคุณที่รับพระราชทานจากฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ก็แค่ป้ายใหม่เท่านั้น สุดท้ายแล้วก็ยังเทียบไม่ได้ร้านขายแป้งร่ำน้ำปรุงที่มีมานาน โดยเฉพาะสองสามสาขาของร้านเทียนเซียงบนถนนจิ้นเป่า ชื่อเสียงยิ่งเป็นที่แม่นมั่น ปักหลักมาสิบกว่าปี ย่อมมีกลุ่มลูกค้าที่ซื่อสัตย์เป็นมั่นเป็นเหมาะ 

 

 

เรื่องประสบการณ์ ร้านเซียงหยิงซิ่วยังไม่ถึงปี จึงสู้ไม่ได้ ทำได้เพียงอาศัยพวกกลเม็ดธุรกิจและความคิดความชำนาญที่เป็นเอกลักษณ์มาพัฒนา 

 

 

พึ่งพิงป้ายประกาศเกียรติคุณที่รับพระราชทานจากองค์ฮ่องเต้ คนจำนวนหนึ่งจึงนิยมรวมตัวกัน จึงประสบผลสำเร็จมีชื่อเสียงขึ้นมาบ้าง เวลานี้ เหมาะจะเริ่มอาศัยลมวสันต์พัดพาให้ไฟโหม เร่งการบุกเบิกเร็วขึ้น…  

 

 

หงเยียนที่สายตาคมกริบ เป็นคนแรกที่เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นยืนอยู่ใต้บันไดนอกร้าน จึงแปลกใจ คิดอยากจะเชิญนางเข้ามา เห็นนางส่งสัญญาณให้ต้อนรับลูกค้าก่อน จึงอุ่นใจขึ้น รอจนลูกค้าเลือกสินค้า แล้วเดินไปส่งลูกค้า หลังจากนั้นก็ไปดึงทั้งสองคนเข้ามา พร้อมกับเผยสีหน้าประหลาดใจ “คุณหนูใหญ่ไยมาเวลาเช่นนี้เจ้าค่ะ!” ป้าสี่ก็ลูบมือ พูดอย่างดีอกดีใจ “ใช่แล้ว ช่วงนี้คุณหนูใหญ่กำลังจัดเตรียมงานแต่ง มีเวลาว่างมาร้านได้อย่างไรกัน” อาหลั่งเป็นชายหนุ่มที่ใช้ค่อนชีวิตอยู่ในชนบท ไหนเลยจะเคยเห็นคนสำคัญ รู้เพียงวันเวลาผ่านไปคุณหนูใหญ่จะเป็นชายาเอกของจวนฉินอ๋อง จึงแค่เกาศีรษะอย่างทึ่มทื่อ “จากนี้ไป ถ้าคุณหนูใหญ่มา ข้าต้องเรียกคุณหนูใหญ่ว่าชายาเอกหรืออะไรดีขอรับ” 

 

 

แม้นอาหลั่งจะพูดอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับทิ่มเข้าไปในความคิดของหงเยียนและป้าสี่อย่างพอดิบพอดี พลันสบตากัน ใช่แล้ว หลังอวิ๋นหว่านชิ่นออกเรือนไป ร้านนี้ยังดูแลได้อย่างไรกัน สุดท้ายแล้วก็จะเป็นพระชายาขององค์ชายแล้ว 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นมองความคิดของทั้งสองออก จึงแถลงไขว่า “หลังจากนี้กับก่อนหน้านี้ก็เหมือนกัน พึงควรอะไรก็ควรเช่นนั้นไป ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง” 

 

 

ผู้คนจึงถอนหายใจ วางใจได้ กลับเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยกับหงเยียนว่า “หงเยียน เจ้าเข้าไปกับข้าหน่อย” 

 

 

ภายในห้องชานเรือน หงเยียนได้ฟังความคิดที่ขุดออกมาของคุณหนูใหญ่ ก็หุบยิ้มไม่ได้ไปสักพัก ขาดแค่ร้องโอ้แล้วลุกยืนขึ้นเท่านั้น “คุณหนูใหญ่…ที่พูดว่าอยากจะสร้างบ่อน้ำพุร้อนภายใต้สังกัดของร้านเซียงหยิงซิ่ว จริงหรือเจ้าคะ ท่านคงไม่ล้อเล่นหรอกใช่ไหม” 

 

 

ร้านเซียงหยิงซิ่วก็แค่ร้านขายแป้งร่ำน้ำปรุง โครงการใหญ่ขนาดนั้นคงสิ้นเปลือง จะคุ้มค่ารึ น้ำพุจากความร้อนใต้พิภพจัดว่าเป็นทรัพยากรของแผ่นดิน ขึ้นกับราชสำนักทั้งสิ้น สิทธิ์ในการขุดเจาะและสิทธิ์ในการใช้งานล้วนเกี่ยวข้องกับศาลาว่าการ กิจการส่วนบุคคลก็ไม่สามารถจะยึดนำมาใช้ได้ แค่นำมาก็จะเป็นเรื่องวุ่นวายซับซ้อนเอาได้ ยิ่งต้องใช้เวลาอีก เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องเพียงชั่วครู่ชั่วยาม 

 

 

วันนั้นที่น้ำในอ่างของพระราชวังไคหยวนแข็งตัวขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นก็รวบรวมความคิดมาถึงทุกวันนี้ ไหนเลยจะเอ่ยยอมแพ้ “ก็จริงน่ะสิ ข้าจะหลอกเจ้าไปทำไมกันเล่า” พูดจบก็พูดเรื่องความคิดแผนการน้ำพุร้อนอีกรอบ 

 

 

ขุดบ่อน้ำพุร้อนแยกเป็นสองสามบ่อ แล้วใส่สมุนไพรและน้ำบุปผาที่ต่างกันไป ใช้ตามวัตถุประสงค์ สามารถแบ่งได้เป็นรักษาความงามบนใบหน้า ดูแลผิว การดูเพื่อสุขภาพ ขจัดความเย็นและบ่ออื่นๆ ตามแต่ละประเภท ยังสามารถแบ่งได้เป็นบ่อแช่ทั้งตัว บ่อเฉพาะเท้า บ่อเฉพาะส่วนศีรษะ บ่ออบไอน้ำเฉพาะหน้า…ความคิดนี้ถึงจะช่างแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร เมืองหลวงที่ใหญ่โตเช่นนี้มิมีผู้ใดสามารถคิดได้หรอก หงเยียนที่ได้ฟังก็ตื่นเต้นทีเดียว เห็นนางมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม หมายมั่นปั้นมือ จึงหยั่งเชิงว่า “ช่องทางของฝ่ายขุนนางหายากจะตายไป นอกจากจะให้สินบน ยังต้องใช้วาทศิลป์อย่างสมเหตุสมผลด้วย เพื่อให้เหล่าใต้เท้าขุนนางได้ยอมรับทั้งปากและใจ คุณหนูใหญ่ ท่านไม่ไปหาฉินอ๋องแล้ว…”