องครักษ์เงาทั้งเก้าสิบเก้าร่างต่างก็มารวมตัวกันตามคำสั่งของมู่เฉียนซี ดูเหมือนว่าท่านผู้นำตระกูลมู่มีเรื่องสำคัญจะประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
มู่เฉียนซีกล่าวถามขึ้นว่า “พวกเจ้าต้องการทะลวงพลังเป็นระดับจักรพรรดิหรือไม่ ?”
เมื่อเหล่าบรรดาองครักษ์เงาได้ยินต่างก็ตกตะลึงไปพร้อมกัน รวมทั้งมู่อีด้วย
มู่อีกล่าวถามขึ้นว่า “ท่านผู้นำ เอ่อ… คือพวกเราเพิ่งจะทะลวงพลังระดับราชาได้เมื่อไม่นานมานี้ การทะลวงพลังระดับจักรพรรดิดูเหมือนว่าจะไม่ง่ายนะขอรับ”
มู่เฉียนซีกล่าว “ขอเพียงแค่พวกเจ้าบอกข้าว่าอยากหรือไม่อยาก ?”
“อยากขอรับ!”
ทุกคนต่างตอบเป็นเสียงเดียวกัน นั่นเป็นถึงระดับจักรพรรดิเลยเชียว! ขอเพียงแค่พวกเขาได้ทะลวงพลังระดับจักรพรรดิ ทั่วทั้งแคว้นจื่อเยี่ยก็ไม่มีใครหน้าไหนกล้ามารังแกตระกูลมู่ได้
มู่เฉียนซีกล่าว “รูปร่างของพวกเจ้าเปลี่ยนแปลง ทะลวงพลังเป็นจักรพรรดิ ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามีจิตใจที่เด็ดเดี่ยว แน่วแน่ และแข็งแกร่ง ถึงแม้ว่าการพัฒนาอย่างรวดเร็วนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของพวกเจ้า แต่พวกเจ้าจะไม่มีกระบวนการขั้นตอนในการพัฒนา ทั้งยังจะพลาดโอกาสหลายอย่าง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้ายังต้องการจะทะลวงพลังอีกหรือไม่ ?”
พวกเขากล่าวตอบนาง “เส้นทางในการฝึกฝนนั้นสำคัญยิ่ง แต่พวกเราต้องการผลลัพธ์มากกว่า ตามสถานการณ์ในตอนนี้ พวกเราจำต้องแข็งแกร่งให้มากที่สุดถึงจะได้เปรียบขอรับ”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างพึงพอใจ “ดี! พวกเจ้าตระหนักได้เช่นนี้ ข้าภูมิใจยิ่งนัก” จากนั้นนางหยิบยาฟ้าดินซวนหวงออกมาจากพื้นที่มิติของนาง พลางกล่าว “นี่คือยาฟ้าดินซวนหวง เมื่อพวกเจ้าใช้มัน พลังของพวกเจ้าก็จะทะลวงเป็นระดับจักรพรรดิทันที”
มู่อีเบิกตากว้างจ้องสตรีผู้นำมู่เฉียนซี ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยชินแล้วกับการที่ท่านผู้นำตระกูลเอายาวิเศษออกมาให้แต่ละอย่าง แต่ยาวิญญาณที่สามารถทะลวงพลังเป็นระดับจักรพรรดิ พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
หากยาวิญญาณนี้วางขายในเซี่ยโจว มีหวังราคาต้องสูงเสียดฟ้าเป็นแน่
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “อย่ามัวแต่อึ้งกันอยู่เลย รีบกินยาแล้วทะลวงพลังจักรพรรดิเสียเถอะ จากนั้นเราจะไปเก็บหนี้กัน”
“ขอรับ”
พวกเขากลืนยาวิญญาณลงคออย่างไม่ลังเล ในขณะที่เหล่าองครักษ์เงากำลังกินยาวิญญาณนั้น มู่เฉียนซีได้ใช้หยกวิญญาณสร้างค่ายกลขึ้นมาเพื่อปกปิดระดับพลังของพวกเขาเอาไว้
หากนางไม่ทำเช่นนี้ มีหวังพลังจักรพรรดิขององครักษ์เงาตระกูลมู่อาจทำให้ผู้อื่นตกใจเอาได้
“สาวน้อย ในที่สุดเจ้าก็หาทางออกได้แล้ว” ขณะเดียวกันนั้นจวินโม่ซีก็วิ่งเข้ามาดูฉากที่น่าตื่นตาตื่นใจนี้ด้วย
เมื่อองครักษ์เงานับร้อยทะลวงพลังระดับจักรพรรดิได้ ในฐานะที่ตนเป็นถึงราชาโอสถ จวินโม่ซีรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขากล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “สาวน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะให้องครักษ์เงาเหล่านี้ใช้ยาฟ้าดินซวนหวง”
มู่เฉียนซี “สายตาเจ้าเฉียบแหลมนัก เพียงแวบเดียวเจ้าก็ดูออก ข้ายังมีอีก เจ้าอยากได้หรือไม่ล่ะ ?”
รางวัลที่หม้อเทพปาฮวางชิงมู่มอบให้กับนางนั้นนับร้อยกว่าเม็ด นางให้องครักษ์เงาไปแล้วร้อยเม็ด และที่นี่ตอนนี้ นางยังมีเหลืออยู่
จวินโม่ซี “พลังของข้าอยู่ในระดับจักรพรรดิอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้มัน ยานี้วิเศษก็จริง แต่สาวน้อย เจ้าอย่ากินมั่วซั่วล่ะ ระวังจะดับอนาถ!”
มู่เฉียนซี “อืม! ตอนที่ชิงมู่มอบสิ่งนี้ให้กับข้า ก็บอกข้าไว้แล้วเช่นกันว่ายานี่ข้ายังใช้มันไม่ได้”
จวินโม่ซีสงสัย “ชิงมู่รึ? ข้าเดาไว้แล้วว่ามันไม่ใช่หม้อเทพนิรันดร์จริง ๆ แต่ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นหม้อเทพปาฮวางชิงมู่”
ดวงตาของมู่เฉียนซีฉายแววตกใจเล็กน้อย “จวินโม่ซี เจ้ารู้เยอะเหมือนกันนี่”
จวินโม่ซีกล่าวอย่างชอบใจ “มันแน่นอนอยู่แล้ว หม้อเทพนิรันดร์เป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ หลายพันปีหลังจากที่หม้อเทพนิรันดร์ปรากฏขึ้นก็มีวัตถุเลียนแบบปรากฏตามมาเก้าสิ่ง หนึ่งในนั้นคือหม้อเทพปาฮวางชิงมู่ มู่เฉียนซีสาวน้อย… เจ้าได้หม้อเทพปาฮวางชิงมู่มาก็นับว่าวิเศษมากแล้ว เจ้าได้มาไม่น้อยทีเดียวเลยใช่หรือไม่ ?”
มู่เฉียนซี “ได้มาไม่น้อยก็จริง แต่ในตำนานของหม้อเทพปาฮวางชิงมู่ก็ยังไม่มีวิธีที่รักษาขาของท่านอาข้าได้”
จวินโม่ซี “ไม่เป็นไร ค่อย ๆ ให้มันเป็นไปเถิด ในเมื่อเจ้าเจอหม้อเทพปาฮวางชิงมู่แล้ว นั่นแสดงว่าหม้อเทพนิรันดร์ก็อยู่ไม่ไกลเจ้าแล้วล่ะ”
“จวินโม่ซี เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?”
“หม้อเทพปาฮวางชิงมู่เป็นวัตถุเลียนแบบหม้อเทพนิรันดร์ ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้หม้อเทพนิรันดร์ที่สุดแล้ว หากเจ้าปรารถนาหม้อเทพนิรันดร์ เจ้าก็มีโอกาสหาได้ง่ายมากกว่าคนอื่น”
มู่เฉียนซีมองจวินโม่ซีอย่างละเอียดพลางกล่าวเรียกเขาอย่างตื่นเต้น “จวินโม่ซี!”
“หือ ?”
“เจ้าคนเห็นแก่กิน”
“แล้วเจ้ามีปัญหาอะไรล่ะ ?”
“ข้ารู้สึกว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เจ้ารู้มันมากเกินกว่าคนธรรมดาจะรู้ได้ เรื่องราวเก่าแก่โบราณต่าง ๆ เจ้ารู้ดีราวกับเป็นสมบัติในบ้านเจ้าเอง เจ้าคายออกมาเดี๋ยวนี้เลย เจ้ามีความลับอะไรกันแน่ ?” มู่เฉียนซีถามอย่างจริงจัง
จวินโม่ซียืดอกตรงอย่างสง่า ดวงตามองมองมู่เฉียนซีก่อนจะกล่าว “เอ๊ะ! ข้าเพิ่งจะนึกได้ว่ายังมีเป็ดย่างอยู่ตัวหนึ่งที่ข้ายังกินไม่หมด เช่นนั้นข้าขอตัวไปกินเป็ดก่อน วันอื่นค่อยว่ากันใหม่”
พลังระดับจักรพรรดิแห่งภูติอย่างเขาต้องการจะไป มู่เฉียนซีนางไม่อาจตามทันอยู่แล้ว ได้แต่กลอกตามองบน ส่ายศีรษะระอาใจ แม้ว่าเขาจะมีความลับอะไรบางอย่างปกปิดเอาไว้ ทว่าก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับนางแต่อย่างใด สัญชาตญาณบอกนางเช่นนั้น
— ตูม! ตูม! ตูม! —
องครักษ์เงาตระกูลมู่กำลังทะลวงพลังเข้าสู่ระดับจักรพรรดิทีละคน
“ฮ่า ๆ ๆ”
องครักษ์เงาแต่ละคนต่างหัวเราะออกมาด้วยความพึงพอใจเป็นอย่างมาก พลังระดับจักรพรรดิทำให้พวกเขามั่นใจเต็มเปี่ยม ต่อไปนี้พวกเขาจะดูแลปกป้องตระกูลมู่อย่างสุดความสามารถ
มู่เฉียนซีกล่าว “แบ่งกองกำลังเป็นสองส่วน กึ่งหนึ่งอยู่ดูแลความเรียบร้อยที่จวน อีกกึ่งหนึ่งไปกับข้า แล้วตามเก้าคนนั่นมาให้ข้าด้วย”
“ขอรับ”
เป้าหมายแรกแน่นอนว่าต้องเป็นสำนักนิกายที่แข็งแกร่งที่สุด นั่นก็คือสำนักซวนเหลย สำนักที่แข็งแกร่งที่สุดยังถูกบดขยี้ ต้องมาดูกันว่าราชสำนักกับสำนักตานจี้จะกล้าหือหรือไม่
ครั้นแล้วมู่เฉียนซียกกองกำลังบุกไปที่สำนักซวนเหลย ศิษย์สำนักซวนเหลยเห็น พลันรีบเข้าไปรายงานเจ้าสำนักทันที “เจ้าสำนัก เจ้าสำนักขอรับ แย่แล้วขอรับ! ท่านผู้นำตระกูลมู่นำกำลังคนบุกมาที่นี่ขอรับ”
เจ้าสำนักขมวดคิ้วทันที “มู่เฉียนซีนำกำลังคนมาเช่นนั้นรึ นางเอาของของข้าไปมากมายข้ายังไม่คิดบัญชีกับนาง วันนี้นางยังจะบุกมาหาข้าถึงที่อีกหรือไร ?”
“ท่านเจ้าสำนัก เราจะทำอย่างไรดีขอรับ ? ไล่พวกมันไปหรือว่าอย่างไรดี ?”
“ต้องเชิญนางเข้ามาสิ นางผู้นี้กล้าหาญยิ่งนัก วันนี้ข้าจะสั่งสอนนางให้ได้รู้เสียบ้าง เป็นแค่เพียงสตรีอายุน้อยตัวเล็ก ๆ เกิดในตระกูลร่ำรวย จะหยิ่งผยองได้สักเพียงใดกัน”
“ขอรับ”
ศิษย์สำนักซวนเหลยเชิญมู่เฉียนซีเข้ามา
มู่เฉียนซีเหลือบไปมองเจ้าสำนักก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าสำนักซวนเหลย มิทราบว่าเป็นตาเฒ่าความจำเลอะเลือนไปแล้วหรือไม่ ที่พนันกับข้าเอาไว้เมื่อครึ่งเดือนก่อนหลงลืมไปแล้วรึ ?”
“แต่หากความจำเลอะเลือนไปแล้วก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป หอหมอปีศาจของข้ามีหยูกยานับร้อยที่สามารถรักษาอาการแก่เลอะเลือนได้ ขอเพียงแค่เจ้าสำนักซวนเหลยมีเงินทองมาจ่ายค่ายา โรคแก่เลอะเลือนก็หายขาดได้ในทันที”
เมื่อได้ยินคำพูดดูแคลนเช่นนี้ของมู่เฉียนซี เจ้าสำนักซวนเหลยขมวดคิ้วโกรธเกรี้ยว นางเด็กนี่กล้าดีอย่างไรมาบอกว่าเขาเป็นตาเฒ่าเลอะเลือน! เขาเป็นถึงยอดฝีมือระดับจักรพรรดิ อีกอย่าง อายุของเขาก็แก่รุ่นราวคราวลุงของนางแล้ว นางกล้าใช้วาจาเช่นนี้กับเขาได้อย่างไร ?
เจ้าสำนักทำเสียงฮึดฮัด กล่าวว่า “เจ้าเด็กน้อย ข้าสบายดีเจ้าอย่าเป็นกังวลไป วรยุทธ์เจิ้นซานกับเก้าสายฟ้าลี้ลับของสำนักข้า มิอาจเผยแพร่ให้คนนอกได้ เจ้ากลับไปเสียเถอะ”
มู่เฉียนซีหยิบสัญญาโลหิตขึ้นมา กล่าวว่า “ในสัญญาโลหิตนี้เขียนไว้อย่างชัดแจ้งทุกประการ เจ้าสำนักซวนเหลยคิดจะผิดสัญญาให้คนใต้หล้าหัวเราะเยาะเช่นนั้นหรือ ?”
เจ้าสำนักซวนเหลยกล่าวเสียงเย็น “หากข้าทำลายสัญญาโลหิตนี้เสียให้สิ้นซาก ทุกอย่างก็จบลงแล้ว” กล่าวจบ ร่างของเจ้าสำนักซวนเหลยพุ่งเข้าหามู่เฉียนซีอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
ทว่าทันใดนั้นเอง ร่างเก้าร่างขวางหน้าเจ้าสำนักเอาไว้
พลังอันแข็งแกร่งของท่านผู้อาวุโสทั้งเก้า สกัดร่างของเจ้าสำนักกระเด็นลอยออกไป แน่นอนว่าพลังของเจ้าสำนักซวนเหลยมิอาจเทียบกับพลังของท่านผู้อาวุโสทั้งเก้าได้
เจ้าสำนักซวนเหลยเบิกตากว้างดวงตาแทบปูดแทบถลน
“เป็นไปได้อย่างไร ? นี่พวกมันยังไม่ออกจากตระกูลมู่รึ ?!”
.