เจียงหรูฉินยังคงสะอึกสะอื้นคร่ำครวญ ทว่าไม่มีใครนึกสงสารนางเลยแม้แต่น้อย
ผอจื่อร่างกำยำสองคนเข้ามาลากตัวเจียงหรูฉินออกจากตำหนักหยาเสวียน
นางส่งเสียงกรีดร้องประหนึ่งหัวใจจะแหลกสลาย หลินเมิ้งหยาไม่หันหน้ากลับไปมอง แม้คำพูดของนางเมื่อครู่จะมีเหตุผล แต่พระสนมเต๋อเฟยไม่มีทางเชื่อคำพูดนางทั้งหมดอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่คิดว่าตนเองจะสามารถปิดบังเรื่องนี้ได้ไปตลอดชีวิต
“ถึงอย่างไรหรูฉินก็สร้างเรื่องขณะที่พำนักในจวนอวี้ เจ้าลองบอกมาเถิดว่าจะจัดการเรื่องนี้เช่นไร”
หลินเมิ้งหยาและพระสนมเต๋อเฟยจำต้องจัดการเรื่องนี้ให้ดี
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด พระสนมเต๋อเฟยหมดหนทางแล้วหรือกำลังหยั่งเชิงนางอยู่กันแน่?
เมื่อคิดได้ดังนี้ หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าตนเองควรรับมือด้วยความระมัดระวัง
“เรื่องนี้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าเจียงหรูฉินหรือพวกเราก็ล้วนมิอาจดับเชื้อไฟได้ทัน หากสกุลชุ่ยสามารถให้อภัยได้นั้นนับว่าเป็นการดี แต่หากพวกเขายังไม่ยอมเลิกรา เกรงว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากตามมาอีกเพคะ”
พระสนมเต๋อเฟยจ้องนางเขม็ง ก่อนจะสบถในลำคอ
“เปิ่นกงรู้เรื่องนี้ดี แต่เพราะครั้งนี้สกุลชุ่ยเป็นผู้จับผิดได้ด้วยตนเอง หากเราไม่จัดการหรูฉินแล้วล่ะก็ เช่นนั้นสกุลชุ่ยคงมิปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปง่ายๆ อย่างแน่นอน”
หลินเมิ้งหยารู้ดีว่าคำพูดของตนเองนั้นไร้ประโยชน์ ก้มหน้าลง แสร้งทำท่าทางครุ่นคิด ก่อนจะส่งสายตาลังเลไปทางพระสนมเต๋อเฟย ราวกับว่ามีความคิดบางอย่างต้องการจะเสนอ
“พูดมาเถิด เปิ่นกงรู้ว่าเจ้าจะต้องมีวิธีแก้ปัญหาอย่างแน่นอน ลองพูดออกมา”
หลินเมิ้งหยาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอ่ย
“อันที่จริงเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะสกุลชุ่ยจับได้ว่าหรูฉินไปอยู่บนเตียงของคณิกาชาย ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกเสียหน้า หม่อมฉันคิดว่าหรูฉินมิได้มีท่าทางเหมือนคนกำลังโกหก เช่นนั้นพวกเราหาใครสักคนเพื่อพิสูจน์ร่างกายของนาง หากนางยังคงบริสุทธิ์ เช่นนั้นข่าวลือก็จะสยบข่าวลือไปเองเพคะ เพียงแค่ว่าปากของคนเรานั้นค่อนข้างว่องไว มิรู้ว่าจะยังสามารถยับยั้งข่าวลือเสียๆ หายๆ ทันหรือไม่”
ความคิดของหลินเมิ้งหยานั้นไม่เลว หากเป็นยุคสมัยปัจจุบัน เช่นนั้นมันจะเป็นหลักฐานให้แก่เจียงหรูฉินในการแก้ข่าวลือเสียหายได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องให้คนของสกุลชุ่ยมาเป็นผู้ตรวจสอบร่างกาย หากทำเช่นนี้ แม้เจียงหรูฉินจะกลายเป็นตัวตลก แต่ถึงกระนั้นก็สามารถแก้ไขข่าวลือได้
เห็นได้ชัดว่าพระสนมเต๋อเฟยเองก็คิดตามทัน ดังนั้นสีหน้าของนางจึงเปลี่ยนไป
แม้จะยังคงสุขุม แต่สุดท้ายก็รู้ว่านี่เป็นเพียงทางออกเดียว เจียงหรูฉินจะเป็นหรือตายหาใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหน้าตาชื่อเสียงของสกุลเจียง หากยังปล่อยให้เรื่องนี้แพร่กระจายออกไป เช่นนั้นสกุลเจียงคงกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งเมือง
“เปิ่นกงจะจัดการเรื่องนี้เอง เอาล่ะ ตอนนี้เวลาไม่คอยท่าแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถิด จริงสิ เจ้าจงดูแลความเรียบร้อยให้ดี เปิ่นกงจะไปที่บ้านสกุลชุ่ย”
หลินเมิ้งหยาพยักหน้าด้วยท่าทางว่านอนสอนง่าย ตอบรับคำสั่งของพระสนมเต๋อเฟย ก่อนจะพาสาวใช้ของตนออกจากประตูตำหนักหยาเสวียน
แสยะยิ้มเย็นชา นางเพิ่งผ่านปัญหามาอย่างมากมาย
แหงนหน้ามองท้องฟ้า หรี่ตามองแสงสีส้มเบื้องบน แม้จะไม่มีหลักฐาน แต่นางเข้าใจบางอย่างได้ชัดเจน
ดูเหมือนอีกเดี๋ยวจะต้องมีเรื่องสนุกเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
วันส่งท้ายปีเก่าซึ่งก็คือวันตรุษจีนในตอนนี้ล้วนเป็นเทศกาลที่ทุกคนให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง หากเอ่ยว่าเทศกาลวันฤดูหนาวคือการไหว้บรรพบุรุษเพื่อขอพรเรื่องลมฟ้าอากาศ เช่นนั้นวันส่งท้ายปีเก่าก็เปรียบเสมือนวันรวมญาติเพื่อร่วมกันเฉลิมฉลองเทศกาลด้วยกันอย่างมีความสุข
จวนอวี้เข้าสู่ช่วงเวลายุ่งเหยิงเต็มที
หลินเมิ้งหยาจัดแจงคนที่มีความสามารถไปจัดการงานแต่ละส่วน ดังนั้นนางจึงไม่ต้องหัวหมุนกับเรื่องเหล่านี้มากนัก แม้จะมีเวลาว่างเพียงเล็กน้อย นางก็เอาเวลาส่วนนั้นไปร่ำเรียนวิชาแพทย์พิษกับท่านอาจารย์
เรื่องบางเรื่องมิได้ง่ายดายอย่างใจคิด ของบางอย่างเองก็มิได้เลวร้ายดั่งที่เห็น
อย่างเช่นพิษแมงป่องที่ทุกคนมักพบเจอ แม้จะมีฤทธิ์ร้ายแรง แต่หากนำมาใช้ให้ถูกทางก็จะกลายเป็นยาดีไม่แพ้ยารักษาโรคเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น หากหมอนำยารักษาอาการมาใช้อย่างไม่ถูกต้อง เช่นนั้นร่างกายของผู้ถูกรักษาก็อาจจะย่ำแย่ไม่ต่างอะไรจากการถูกวางยาพิษ
ยาทุกแขนงมิอาจจำแนกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นยาดีหรือหรือยาพิษ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับจิตใจของคนใช้ยาทั้งสิ้น
หลินเมิ้งหยารู้ซึ้งถึงแก่นแท้ในเรื่องนี้ดี
ส่วนท่านอาจารย์ป๋ายหลี่รุ่ย หลังจากที่ได้เรียนรู้วิชาจากเขา นางจึงค่อยๆ เข้าใจ เหตุที่ชายผู้นี้หมกมุ่นอยู่กับยาพิษเพียงอย่างเดียว นั่นก็เพราะเขาไม่ชอบกฎเกณฑ์ของโลกภายนอก เขาจึงได้ชื่อว่าปรมาจารย์ด้านยาพิษ
เท่าที่หลินเมิ้งหยาดู เมื่อเทียบเขากับหมอคนอื่น ท่านอาจารย์เหมือนเป็นหมอบ้าคนหนึ่ง
เหตุผลที่เขายอมใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ บางทีอาจเพราะท่านอาจารย์ไม่ชอบกฎเกณฑ์ของโลกภายนอก
“มองอะไร? เจ้าจำคำพูดที่ข้าสอนได้หรือไม่?”
“เพียะ” เสียงดังขึ้น ป๋ายหลี่รุ่ยใช้กระดานหยกในมือเคาะศีรษะของลูกศิษย์เบาๆ เมื่อได้เห็นอีกฝ่ายยกมือลูบศีรษะแล้วแลบลิ้นออกมา ป๋ายหลี่รุ่ยจึงส่ายหน้าอย่างระอา
ทว่าตอนที่คิดจะพูดให้หลินเมิ้งหยาฟังใหม่อีกรอบ เขากลับได้ยินเสียงท่องจำคำสอนของเขาเมื่อครู่จากปากของนาง
“เอ๋? เมื่อครู่เจ้าเหม่อลอยมิใช่หรือ? เหตุใดจึงจำคำพูดของข้าได้เล่า?”
ป๋ายหลี่รุ่ยตกตะลึง เหตุการณ์เช่นนี้พบได้ไม่บ่อยนัก แต่ช่วงนี้เขาพบว่าไม่ว่าเขาจะสอนอะไร ไม่ว่าจะยากถึงขนาดไหน หลินเมิ้งหยามักจดจำรายละเอียดได้ทุกขั้นตอน
“เพราะข้าฟังท่านอยู่อย่างไรเล่าเจ้าคะ”
หลินเมิ้งหยาไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด นางเพียงแค่รู้สึกว่าสิ่งที่อาจารย์พร่ำเพียรสั่งสอนล้วนชัดเจนมากขึ้นเมื่อปรากฏอยู่ในสมอง นางสามารถจำคำพูดของเขาได้แม้เขาจะเอ่ยออกมาเพียงครั้งเดียวก็ตาม
ง่ายมาก ไม่เห็นจะยากตรงไหน
“เช่นนั้นอาจารย์ขอถามเจ้าหน่อยว่าหากต้องการถอนพิษงูหัวแดง จะต้องใช้ยาชนิดใด?”
สูตรการปรุงยาถอนพิษนั้นไม่ยาก แต่งูหัวแดงจะมีเฉพาะในเมืองเลี่ยหยุนตี้เท่านั้น ฉะนั้นสมุนไพรที่ใช้จึงมีแต่เพียงสมุนไพรที่เติบโตในเมืองเลี่ยหยุนตี้ ตอนที่เขารู้ เขารู้สึกกล้ำกลืนอย่างบอกไม่ถูก
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะท่องจำออกมาโดยไม่ตกหล่นเลยแม้แต่ตัวเดียว
น่าแปลกเหลือเกิน เขาเพียงแค่พูดสูตรนี้ขึ้นมาลอยๆ เพียงเท่านั้น
“เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าอีกครั้งว่าหากต้องการถอนยาพิษของหญ้าเทียนลู่ จะต้องใช้ยาชนิดใด?”
ป๋ายหลี่รุ่ยลงทดสอบดูอีกครั้ง คราวนี้จำเป็นต้องบอกรายชื่อยาสมุนไพรกว่าร้อยชนิด แม้แต่เขาเองก็ไม่อาจบอกหมดในคราวเดียว
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับเอ่ยออกมาโดยไม่จำเป็นต้องคิด
ที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือนางไม่เพียงแค่พูดชื่อยาได้อย่างถูกต้อง แต่กลับถอดคำพูดที่เขาสอนได้ทุกตัวอักษร แม้จะมียาบางชนิดที่เขาใช้ภาษาถิ่นพูด แต่หลินเมิ้งหยากลับพูดออกมาได้จนครบ
สวรรค์โปรด! ความปลื้มปีติเผยบนใบหน้าของป๋ายหลี่รุ่ย คิดไม่ถึงเลยว่านักเรียนขี้เกียจของเขาคนนี้จะมีพรสวรรค์ในการจดจำ!
ฉะนั้นป๋ายหลี่รุ่ยจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าเขาจะสอนทุกอย่างที่รู้ให้หลินเมิ้งหยา แม้นางจะไม่สามารถบรรลุสุดยอดของวิชาแพทย์พิษได้ แต่นางจะมีความสามารถเกินกว่าเขาอย่างแน่นอน
การได้มีลูกศิษย์ผู้สืบทอดวิชาเช่นนี้ ไม่ว่าอาจารย์คนไหนก็อยากได้มาครอบครอง!
หลินเมิ้งหยาเองก็รู้สึกงงงวยเช่นเดียวกัน นางรู้ดีว่าตนมีความสามารถด้านการจดจำ แม้แต่อาจารย์ในยุคปัจจุบันเองก็เคยเอ่ยชมในเรื่องนี้ หลังจากข้ามภพมา ป๋ายจื่อเคยเล่าให้ฟังว่าแม้เมื่อก่อนหลินเมิ้งหยาจะเป็นคนสติเลอะเลือน แต่ความทรงจำของนางกลับล้ำเลิศ
หรือนี่จะเป็นเหตุผลที่เรดาร์ในสมองสามารถพันฒนาความสามารถได้ในร่างกายนี้กันนะ?
เมื่อคิดได้ดังนี้ หลินเมิ้งหยาจึงมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
เหตุเพราะจิตวิญญาณของนางข้ามภพมา ร่างกายของนางมิได้ตามมาด้วย ฉะนั้นการเปิดการทำงานของเรดาร์ที่ถูกต้องก็คือการส่งผ่านตัวกลาง?
ซึ่งหมายความว่าหากต้องการเปิดการใช้งานเรดาร์อย่างสมบูรณ์ เช่นนั้นจะต้องย้ายจิตวิญญาณของผู้ปลูกถ่ายคลื่นสมองไปสู่ร่างใหม่ด้วย?
เช่นนั้นร่างเดิมของนางก็จะต้องถูกเก็บรักษาเอาไว้ไปตลอดกาล
สวรรค์โปรด! จะมีใครเชื่อเรื่องแปลกขนาดนี้กัน?
หากสมองของนางถูกเรดาร์พัฒนาต่อไปจนถึงขั้นตอนสุดท้าย เช่นนั้นนางจะเป็นเช่นไรกันนะ?
หลินเมิ้งหยาก็ไม่อาจรู้ได้ เหตุเพราะสมองเป็นอวัยวะที่น่าพิศวงที่สุด แม้แต่โลกในยุคปัจจุบันก็มิอาจไขความลับของสมองได้
ตอนนี้สามารถพูดได้เพียงอย่างเดียวว่านางได้รับโชคก้อนโตมาแล้ว!
“นังหนู นังหนู นี่เจ้าเหม่ออะไรกัน?”
หลินเมิ้งหยาดึงสติกลับมา ก่อนจะได้เห็นดวงตาถลึงโตของท่านอาจารย์ นางรีบส่งยิ้ม เมื่อก่อนนางไม่เคยเหม่อลอยเลยแม้แต่น้อย
เหตุใดช่วงนี้นางจึงมักเหม่อลอยกันนะ?
“ท่านอาจารย์พูดต่อเลยเจ้าค่ะ”
เฮ้อ ดูเหมือนช่วงนี้นางจะมีเรื่องให้ต้องกังวลมากมาย
เมื่อออกจากห้องหินของท่านอาจารย์ หลินเมิ้งหยาเดินอ้อมไปหาป๋ายหลี่อู๋เฉิน
ใกล้จะสิ้นปีแล้ว แม้ผู้ที่ถูกคุมขังในคุกแห่งนี้จะเป็นศัตรูของหลงเทียนอวี้ แต่หลินเมิ้งหยาเป็นคนให้ความสำคัญกับความมีมนุษยธรรมดั่งเช่นคนสมัยใหม่
ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าและของกินมามอบให้คนเหล่านี้
แม้ของเล็กน้อยเหล่านี้จะไม่ทำให้ทัศนคติของพวกเขาเปลี่ยนไป แต่อย่างน้อยการเก็บพวกเขาเอาไว้ก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง
ประตูเหล็กบานโตปิดกั้นเอาไว้ หลินเมิ้งหยาทำได้เพียงมองลอดช่องระบายอากาศเล็กๆ
เขายังคงนั่งก้มหน้า ผมเผ้ารกรุงรังปิดบังใบหน้าของป๋ายหลี่อู๋เฉิน เสื้อผ้าสกปรกกลายเป็นสีเดียวกับฝุ่นเกรอะกรังในคุกใต้ดิน
อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็นึกถึงคุณชายผู้มักจะถือพัดโบกสะบัดคนนั้นขึ้นมา แววตาปรากฏความเสียดาย ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เหตุใดเขาจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้?
“เปิดประตู ข้าจะเข้าไปดูอาการเขา”
องครักษ์เฝ้าประตูลังเล หลงเทียนอวี้เคยสั่งเอาไว้ว่าห้ามมิให้ใครเข้าใกล้เขาเป็นอันขาด แต่หลินเมิ้งหยาเป็นถึงนายหญิงของจวน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอำนาจเช่นเดียวกับหลงเทียนอวี้
ดังนั้น หลังจากที่องครักษ์ทั้งสองสบตากัน พวกเขาจึงเปิดประตูเหล็กออก
“พระชายา เขาอันตรายมาก พระองค์อย่าเข้าใกล้เขามากจนเกินไปนะพ่ะย่ะค่ะ มิเช่นนั้นเขาอาจทำร้ายท่านได้”
สุดท้ายองครักษ์ทำได้เพียงส่งเสียงเตือน