บทที่ 291: ความสัมพันธ์แห่งสายเลือด
ทั้งลิเลียนและโรเอลไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีความสั่นพ้องของสายเลือดเกิดขึ้น พวกเขาทั้งสองต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์อันพลิกผันนี้ ทั้งคู่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันอบอุ่นที่หลั่งไหลเข้าสู่หัวใจ เติมเต็มจิตใจของพวกเขา ก่อนที่พวกเขาจะสามารถประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้นได้ การสั่นพ้องของสายเลือดก็เริ่มมีผล
คล้ายกับการที่อารมณ์ของบุคคลได้รับผลกระทบจากฮอร์โมนในระดับหนึ่ง การสั่นพ้องของสายเลือดเองก็ทำให้เกิดความรู้สึกใกล้ชิดที่อธิบายไม่ได้ และไม่สามารถระงับได้ระหว่างบุคคลทั้งสองคน
ความรู้สึกสนิทสนมนี้คงอยู่ได้เพียงชั่วครู่ แต่ก็มากพอที่จะเปลี่ยนวิธีที่โรเอล และลิเลียน รับรู้เกี่ยวกับกันและกันได้ มันตอบข้อสงสัยทั้งหมดที่ลิเลียนมีมาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
เป็นอย่างนี้นี่เอง
ดวงตาสีอเมทิสต์ของลิเลียน เบิกกว้างด้วยความตระหนัก ในที่สุดเธอก็เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นสัญชาตญาณของเธอที่อยากจะช่วยโรเอลแก้ไขปัญหา หรือความกังวลที่เธอรู้สึกเมื่อเขาตกอยู่ในอันตราย
สายเลือดของพวกเขามีอิทธิพลต่อเธอโดยไม่รู้ตัว
แม้ว่าจะไม่มีการสั่นพ้องของสายเลือดระหว่างพวกเขาเลยตลอดช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปในตัวลิเลียนทุกครั้งที่พวกเขาได้มีโอกาศปะทะกันด้วยพลังเวทย์
หากมองย้อนกลับไป ลิเลียนก็ตระหนักได้ว่าเบาะแสทั้งหมดปรากฏออกมาอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เธอนั้นไม่สามารถรวมมันเข้าด้วยกันได้เท่านั้น อย่างแรกเลยก็คือโอกาสที่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติสายการสรรค์สร้างสองคนจะมีวิธีการร่ายพลังเวทย์เหมือนกันจะมีสักเท่าไหร่กันเชียว ?
ความจริงเหล่านี้ได้ถูกลิเลียนปิดบังไปเนื่องจากความแตกต่างมากมายในภูมิหลังของทั้งสอง
การเปิดเผยนี้ทำให้เธอประหลาดใจอย่างมาก และมันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี
ตระกูลแอคเคอร์มันน์ และตระกูลแอสคาร์ดห่างเหินกันมาเป็นเวลาอย่างน้อย ๆ ก็หนึ่งพันปีแล้ว ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงแทบเรียกได้ว่าเป็นคนแปลกหน้า นี่ถือเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจที่สายเลือดทั้งสองได้มาบรรจบกันอีกครั้งหลังจากก้าวข้ามผ่านกาลเวลาอันยาวนาน
ลิเลียนคิดว่านี่เป็นของขวัญจากเทพีเซีย
สายสัมพันธ์ทางสายเลือดเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ยอมให้มีการทรยศหักหลังกัน หรือหน้าซื่อใจคด มันเป็นสายสัมพันธ์ที่ไม่มีวันตัดขาด แค่คิดก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้จิตใจของลิเลียนร้อนวูบวาบด้วยความตื่นเต้น
กลับกันแล้ว นี่ทำให้โรเอลรู้สึกสับสนอย่างหนัก
ลิเลียนเป็นญาติทางพลังสายเลือดของเรางั้นเหรอ? มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?! ถ้าเรื่องความสัมพันธ์แพร่กระจายออกไปสู่สาธารณะล่ะก็ เธอจะต้อง…!
“โรเอล พวกเรา…”
“รุ่นพี่…”
โรเอล มองไปที่ลิเลียนผู้กำลังกระวนกระวาย และกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เขารู้สึกว่าพลังเวทย์ของเขาเริ่มพลุ่งพล่าน ทันใดนั้นแหวนกุหลาบดำที่เขาเก็บไว้ในกระเป๋าก็เริ่มส่องแสงระยิบระยับ เหมือนกำลังสั่นพ้องกับพลังเวทย์ของเขา
“ออกไปให้ไกลจากผม !”
“โรเอล ?”
หลังจากผ่านสถานการณ์นี้มาแล้วสองครั้ง โรเอลก็ทราบได้ในทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความสยดสยอง เด็กหนุ่มผลักลิเลียนออกไปในทันที ก่อนที่พลังเวทย์ของเขาจะพุ่งออกมาด้วยความรุนแรงที่ไม่มีใครสามารถหยุดได้
ก่อนที่โรเอลจะได้อธิบายอะไร สติของเขาก็จางหายไปแล้ว
…
“!”
เมื่อโรเอลลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็พบว่าตัวเองกำลังแหงนมองท้องฟ้ายามค่ำคืนอันไร้ซึ่งดวงดาว เขาได้ยินเสียงปะทุของเปลวไฟมาจากสถานที่ไม่ไกลนัก พร้อมกับกลิ่นเหม็นของเลือดจากบริเวณโดยรอบ
พื้นดินที่เขานอนอยู่นั้นรู้สึกเย็นยะเยือก ลมพายุกลางคืนอันเยือกแข็งทำให้สิ่งแวดล้อมดูเป็นอันตรายมากขึ้นเท่านั้น
นี่เราอยู่ที่ไหนกัน ?
จิตใจที่สับสนมึนงงของโรเอล เริ่มปั่นป่วนอย่างช้า ๆ เขาหวนนึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้เพื่อพยายามคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น…?
ซองจดหมายสีเลือด พื้นที่สีเทา ยักษ์เนื้อที่มีหนวดนับไม่ถ้วน…
ฉากหลายฉากแว่บเข้ามาในความคิดของโรเอลก่อนจะหยุดลงที่ใบหน้าของลิเลียนในที่สุด ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตา แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขที่เอ่อล้น
จิตใจของโรเอลกระจ่างขึ้นในทันที ร่างกายของเขาสะดุ้งขึ้นจากพื้นพร้อมอุทานออกมาเสียงดัง
“รุ่นพี่ !”
เสียงของโรเอลดังก้องกังวานในคืนอันมืดมิด ก่อนจะตามมาด้วยความเงียบสงบ ทุกอย่างเริ่มปะติดปะต่อเข้าด้วยกันทันที
เราอยู่ในมิติสถานะผู้เฝ้ามองอีกแล้วสินะ … แล้วทำไมมันถึงต้องมาเกิดขึ้นตอนนี้ด้วยเล่า !
…
โรเอล สำรวจสภาพแวดล้อมด้วยความตื่นตระหนก จิตใจของเขาว่างเปล่าทันทีที่เขาตระหนักได้ว่าลิเลียนนั้นไม่ได้อยู่ใกล้ ๆเขา
ไม่มีใครเลย ? นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?! เป็นเพราะเราผลักเธอออกไปก่อนที่จะถูกส่งมาที่นี่งั้นเหรอ ?!
ไม่…นั่นไม่น่าจะเป็นไปได้ เราผลักเธอออกไปเพราะต้องการหยุดการทำงานของสายเลือดผู้แสวงหาราชา แต่มันก็ล้มเหลวอย่างเห็นได้ชัด โอกาสที่เธอจะไม่ถูกส่งตัวเข้ามาที่สถานะผู้เฝ้าก็คือ…
โรเอลนึกถึงวิธีที่ชาร์ล็อตถูกลากเข้ามาในสถานะผู้เฝ้ามองก่อนหน้านี้ ทั้ง ๆ ที่นอนหลับอยู่ในห้องข้าง ๆ กัน ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็หนักอึ้งไปในทันที เขาจับหน้าผากพยายามบังคับให้ตัวเองสงบสติอารมณ์ลง
มีความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง
หนึ่ง ลิเลียนไม่ได้ถูกพามาที่นี่กับโรเอล นั่นคงเป็นข่าวดีเพราะไม่มีใครรู้ถึงภัยอันตรายใหญ่หลวงที่รออยู่ในสถานะผู้เฝ้ามองมากไปกว่าเขา ภัยคุกคามที่ต้องเผชิญในสถานะผู้เฝ้ามองนั้นรุนแรงเหนือหลักเหตุผล บิดาแห่งความมืดถือเป็นตัวอย่างที่ดี เขาโชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากเปตรา ไม่เช่นนั้นต่อให้เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่แข็งแกร่งเพียงใด ที่สุดแล้วก็คงไม่รอดในสถานการณ์แบบนั้น
เมื่อไม่นานนี้โรเอลได้พบกับญาติทางสายเลือดของเขาอีกครั้ง ทำให้หัวใจของเขายังคงสั่นคลอนจากความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ ซึ่งเกิดจากการการสั่นพ้องของพวกเขา
โรเอลทนความคิดที่ว่าลิเลียนจะต้องตกอยู่ในอันตรายไม่ได้ เขายอมสละอายุขัยไปอีกหลายปีดีกว่าที่จะเห็นอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับเธอ
แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นเรื่องที่เปลี่ยนกันง่าย ๆ แบบนั้น
หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว ในที่สุดโรเอลก็รู้สึกว่าความเป็นไปได้แรกนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย…
ถ้าหากลิเลียนเป็นญาติทางสายเลือดของเขา หมายความว่าเธอก็ได้รับมรดกสายเลือดแห่งผู้แสวงหาราชาด้วยเช่นกัน แม้แต่นอร่าและชาร์ล็อตก็ยังถูกกวาดต้อนเข้าสู่สถานะผู้เฝ้ามองอย่างไร้ความปราณีกับเขา มันจึงยากที่จะจินตนาการว่าลิเลียนที่มีสายเลือดเดียวกับเขาจะได้รับการยกเว้น
โรเอลกัดฟันแน่นขณะคิดถึงความเป็นไปได้ที่สอง ลิเลียนได้เข้าสู่สถานะพยานมาด้วย แต่เธอไม่ได้ถูกส่งตัวมายังที่เดียวกันกับเขา…
“นี่ล้อกันเล่นใช่ไหมเนี่ย ?!”
โรเอลตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว
เด็กหนุ่มชกหมัดลงกับพื้นรู้สึกเหมือนกำลังจะเสียสติ…
สถานการณ์เช่นนี้หมายความว่าเขาเพิ่งปล่อยให้ลิเลียนอยู่ตามลำพังในสถานะผู้เฝ้ามองที่สุดแสนจะอันตราย !
ลิเลียนคงจะสับสนมาก ด้วยที่ปราศจากทหารผ่านศึกอย่างโรเอลที่พาเธอมา อีกทั้งนอกจากนี้ยังเห็นได้ชัดว่าสภาพจิตใจของเธอเองก็ยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับการทดสอบระดับนี้ด้วย !
แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้อีกอย่างที่โรเอลไม่กล้าแม้แต่จะคิด ความเป็นไปได้ที่พลังสายเลือดของทั้งคู่ทำงานพร้อมกันและแยกจากกันคนละมิติห้วงเวลาในสถานะผู้เฝ้ามองที่แยกจากกัน ซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะไม่สามารถช่วยเหลือกันได้เลย ต่อให้ต้องการแค่ไหนก็ตาม
ความคิดเกี่ยวกับเครือญาติทางสายเลือดที่เพิ่งได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งหลังจากห่างหายกันมานาน ทำให้ร่างของโรเอลสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้
จิตใจของเด็กหนุ่มสับสนอลหม่านไปหมด แต่ประสบการณ์มากมายของเขาในสถานะผู้เฝ้ามอง บอกเขาว่าต้องรีบลงโดยเร็วที่สุด
“เราต้องใจเย็น ๆ กันก่อน ลิเลียนเองก็เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ดังนั้นจึงไม่น่ามีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับเธอได้ง่าย ๆ เราต้องเข้าใจสถานการณ์ในยุคนี้ก่อนถึงจะคิดหาทางช่วยเธอได้…”
โรเอลขมวดคิ้วและบังคับตัวเองให้คิดในแง่บวก หลังจากที่จิตใจของเขากระจ่างขึ้นเล็กน้อย เขาก็หันความสนใจไปที่ระบบ
【คำเตือน !】
【คำเตือน !】
【คำเตือน !】
【ระบบตรวจพบการตื่นของพลังทางสายเลือด】
【ระบบสนับสนุนการปลุกพลังทางสายเลือดกำลังถูกเปิดใช้งาน…】
【การเปิดใช้งานสถานะผู้เฝ้ามอง】
【หอสมุดพังทลายลงท่ามกลางไฟอันลุกโชน ความฝันอันแสนหวานถูกกลืนกินโดยความปรารถนา พร้อมเศษไม้ที่ร่วงหล่นส่งเสียงฆ้องแห่งสงคราม】
【เวลานับถอยหลังสู่จุดสิ้นสุดของสถานะ ผู้เฝ้ามอง : 239 ชั่วโมง 22 นาที】
【การประเมินอย่างละเอียด : ต่ำ (2)】
ยังเป็นคำแนะนำที่ไร้ประโยชน์เช่นเคย…!
ใบหน้าของโรเอลถึงกับกระตุกขึ้นมาเมื่อเห็นเรื่องไร้สาระที่ปรากฏขึ้นบนระบบ เขาตั้งใจที่จะเรียกดูมันก่อนจะปิดแล้วกลับไปสำรวจสภาพแวดล้อม แต่แล้วใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นการแจ้งเตือนสองสามแถวสุดท้าย
การประเมินต่ำของโรเอลเป็นที่เข้าใจได้เนื่องจากเขายังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะสังเกตเห็นว่าระยะเวลาของสถานะผู้เฝ้ามองรอบนี้นั้นยาวกว่าครั้งก่อนถึงสองเท่า
โรเอลอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าการนับถอยหลังเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่านั้นเกิดจาก ผลกระทบของการสั่นพ้องระหว่างลิเลียนกับเขารึเปล่า ?
เด็กหนุ่มขจัดความกังวลและรวบรวมกำลังใจขึ้นมา สำหรับตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาคือการใช้ทุกวิถีทางที่มีเพื่อตามหาลิเลียน และรับรองความปลอดภัยของเธอ
โรเอลค่อย ๆ ยืนขึ้นสำรวจสภาพแวดล้อมอันมืดมิดรอบตัว เพื่อรวบรวมข้อมูล ก่อนอื่นเขาต้องคิดให้ออกก่อนว่าเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในยุคใดกันที่เขาถูกส่งมา เพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติต่อไปของเขา
ทางด้านซ้ายของโรเอลเป็นที่ราบและทางด้านขวาของเขาเป็นป่าเขียวชอุ่ม ข้างหน้าเขามีถนนลาดยางอย่างดี ซึ่งสร้างขึ้นสำหรับทางผ่านของรถม้า
มีความเป็นไปได้ว่าตอนนี้เราอยู่บนถนนสายหลักใกล้ ๆ กับชานเมือง
โรเอลมองไปยังทิศทางที่แสงสีส้มและกลิ่นเหม็นของเลือดพุ่งออกมา
และพื้นที่ที่ไม่ไกลกันนัก มีรถม้าที่ไฟไหม้จนเกือบหมดทั้งคันจอดอยู่ ไม้ที่กระจัดกระจายและยางรถที่ร่วงหล่นบ่งบอกได้ว่ารถม้านั้นได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงก่อนที่จะถูกเผา…
โรเอลสังเกตจนแน่ใจก่อนว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณใกล้เคียงจึงพุ่งไปที่รถม้า มีศพสิบสองศพนอนอยู่เกลื่อนอยู่รอบรถม้า พลังเวทย์ไหลเวียนช้า ๆ อยู่รอบๆ ร่างของพวกเขา บ่งบอกว่าพวกเขาทุกคนล้วนเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ที่ทรงพลัง
ทุกคนเกือบทั้งหมดสวมชุดเกราะป้องกัน ทำให้โรเอลสามารถระบุได้ว่า คนเดียวที่สวมชุดคลุมอย่างดีนั้นเป็นเจ้าของรถ เขาเป็นชายหนุ่มผมดำที่มีรูโหว่กลางนอกของเขา ราวกับว่ามีใครมากินส่วนหนึ่งของเขาไป
ศพอื่น ๆ ก็มีบาดแผลที่น่าอึดอัดเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อที่ละลาย ชิ้นส่วนของร่างกายที่ไหม้เกรียม หรือแขนขาที่ขาดหายไป พวกเขาถูกฆ่าด้วยวิธีต่าง ๆ มากมาย
มันคือการกระทำของผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายไม่ผิดแน่ โรเอลอนุมานเบื้องต้น
แต่แล้วความสงสัยใหม่ก็ผุดขึ้นในใจของเขาหลังจากนั้นไม่นาน
ยุคไหนกันที่พวกลัทธิชั่วร้ายเหิมเกริมพอที่จะฆ่าคนตามถนนสายหลัก และทิ้งร่างของพวกเขาให้นอนอยู่รอบ ๆ พวกเขาไม่กลัวอัครสาวกจากโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างงั้นเหรอ ?
สิ่งนี้ทำให้โรเอลอยากรู้เกี่ยวกับตัวตนของเหยื่อ…
ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเริ่มตรวจร่างกายของพวกเขา แต่ก็ไม่พบอะไรเลย เขาจึงเปลี่ยนไปตรวจสอบที่ซากรถม้าแทน ก่อนจะพบเข้ากับซองจดหมายที่ไม่บุบสลาย
โรเอลปัดขี้เถ้าบนจดหมายออกแล้วเปิดมัน คำพูดบรรทัดแรกก็มากเกินพอแล้วที่จะทำให้เขาตกตะลึง…
“ท่านทูตศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพ ภาคีแห่งนักบุญสาขาเลนสเตอร์ ขณะนี้กำลังเผชิญหน้ากับภัยคุกคามครั้งใหญ่…”