บทที่ 292 : เข้าไป! เข้าแน่นอน!
ภาคีแห่งนักบุญ! ทูตศักดิ์สิทธิ์?!
โรเอลไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนเพิ่งได้อ่าน เขาหันกลับไปมองซากศพที่นอนกระจุยกระจายอยู่ข้างในทันที
พวกเขามาจากภาคีแห่งนักบุญงั้นเหรอ ? เท่าที่จำได้พวกภาคีแห่งนักบุญเป็นลัทธิชั่วร้ายนี่นา แต่ฆาตกรเองก็น่าจะเป็นพวกลัทธิชั่วร้ายด้วยเหมือนกัน… นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน
แน่ ? มีการแตกคอกันเองงั้นเหรอ?!
โรเอลกระพริบตาด้วยความประหลาดใจ เด็กหนุ่มไม่คาดคิดว่าเหยื่อกลุ่มแรกที่เขาบังเอิญเจอจะเป็นพวกลัทธิชั่วร้าย
แน่นอนว่าเขาคุ้นเคยกับชื่อ ‘ภาคีแห่งนักบุญ’ เป็นอย่างดี
ย้อนกลับไปในมิติผู้เฝ้ามองครั้งก่อน ตอนที่โรเอลอยู่บนกองเรือทองคำ เขาได้พบกับดอยล์ หนึ่งในผู้มีพลังเหนือธรรมชาติของภาคีแห่งนักบุญ และได้ไล่ตามไปสังหารร่างหลักของอีกฝ่าย สังหารผู้เชิดหุ่นระดับแก่นแท้ 2 ลงไปในที่สุด
แม้หลังจากที่ดอยล์แตกเป็นเศษน้ำแข็งไปแล้ว โรเอลก็ยังไม่สามารถสลัดความเกลียดชังในใจที่มีต่ออีกฝ่ายออกไปได้ เนื่องจากอีกฝ่ายนั้นหมายจะคร่าชีวิตของชาร์ล็อต หลังจากกลับจากสถานะผู้เฝ้ามองเขาจึงถามนอร่าเกี่ยวกับภาคีแห่งนักบุญ ซึ่งก็ทำให้ได้รู้ว่าภาคีแห่งนักบุญได้หายสาบสูญไปจากพื้นที่ของ จักรวรรดิเซนต์เมซิทมานานหลายปีแล้ว
โรเอลถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากได้ยินข่าวนั้น แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความกังวลของเขาเกี่ยวกับลัทธิที่บูชามารดาแห่งเทพธิดาลดลงไปแต่อย่างใด ด้วยความที่ภัยพิบัติทั้งหกนั้นมีพลังระดับที่สามารถทำลายล้างอารยธรรมของมนุษยชาติได้ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะลดความระแวดระวังของตนเองลง
แต่อย่างไรก็ตามเด็กหนุ่มไม่คิดเลยว่าจะมาเจอกับภาคีแห่งนักบุญที่นี่…
ด้วยที่ไม่อยากพลาดข้อมูลใด ๆ ในจดหมาย โรเอลจึงตั้งใจอ่านอย่างระมัดระวัง เมื่ออ่านเสร็จแล้ว เขาก็ก้มศีรษะลงและเริ่มประมวลผลข้อมูล
จดหมายดังกล่าวทำให้โรเอลสามารถระบุยุคสมัยที่เขาถูกส่งเข้ามาได้ นั่นคือปี 612 ของยุคที่สาม ราว ๆ สี่ร้อยปีก่อนหากนับจากปัจจุบัน ส่วนที่ตั้งก็คือเขตชานเมืองของเมืองหลวงแห่งอาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนล เลนสเตอร์
“นี่น่าจะเป็นช่วงที่มนุษยชาติทำสงครามกับพวกกลายพันธุ์ครั้งที่2สินะ ถ้าจำไม่ผิด เลนสเตอร์เองก็เผชิญกับความวุ่นวายในช่วงเวลานี้เหมือน ๆ กัน…”
โรเอลพึมพำพลางพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อระลึกถึงทุกสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาเกี่ยวกับยุคนี้
น่าเสียดายที่ตอนนี้เขายังมีข้อมูลไม่มากพอ…
วิกฤตการณ์หลักที่มนุษยชาติต้องเผชิญในยุคนี้คือสงครามกับพวกกลายพันธุ์ครั้งที่ 2 มันเป็นยุคที่เหล่านักประวัติศาสตร์ต่างยกย่องในจิตวิญญาณอันแน่วแน่ไม่ยอมแพ้ของมวลมนุษยชาติ ในการต่อสู้กับพวกกลายพันธุ์ในสงครามครั้งยิ่งใหญ่
ในฐานะที่เป็นผู้ที่มีความรอบรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ โรเอลสามารถพูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสงครามกับพวกกลายพันธุ์ครั้งที่ 2 ทั้งวันก็ยังได้…
แต่อย่างไรก็ตามเขาแทบไม่เคยเจอบันทึกเกี่ยวกับความวุ่นวายในเลนสเตอร์เลย
แม้แต่อาณาจักรโซเฟีย อาณาจักรมหาอำนาจในยุคอดีตก็ยังถูกลืมเลือนจนแทบไม่เหลือบันทึกใด ๆ ภายในระยะเวลาแปดร้อยปี หากพิจารณาถึงความสำคัญแล้ว ความไม่สงบในเลนสเตอร์ที่มีความสำคัญเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับส่วนอื่น ๆ ในสงครามกับพวกกลายพันธุ์ครั้งที่2 มันจึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่รายละเอียดส่วนมากจะเลือนหายไปตลอดช่วงสี่ร้อยปี
ทั้งหมดที่มีการบันทึกไว้ในหนังสือก็คือพวกลัทธิชั่วร้ายได้ก่อการจลาจลในอาณาจักรแห่งการศึกษา โบรเนล ซึ่งก็ได้รับการยืนยันความถูกต้องทางข้อมูลด้วยจดหมายที่เขาเพิ่งพบ
ผู้เขียนจดหมายฉบับนี้เป็นหัวหน้าของภาคีแห่งนักบุญ สาขาเลนสเตอร์, แบรดลีย์ โดยเนื้อหาของมันก็ค่อนข้างจะตรงไปตรงมา มันคือจดหมายขอความช่วยเหลือ…
ดูเหมือนว่าเลนสเตอร์จะส่งบุคลากรระดับสูงไปที่แนวหน้ามากเกินไป จนเปิดช่องโหว่ให้พวกลัทธิชั่วร้ายโจมตีได้ ทว่าตัวตั้งตัวตีของการจลาจลกลับไม่ใช่ภาคีแห่งนักบุญ แต่เป็นภราดรภาพแห่งการกอบกู้…
ความสัมพันธ์ระหว่างลัทธิชั่วร้ายเป็นจุดบอดที่มักจะถูกมองข้าม คนทั่ว ๆ ไปส่วนมากแล้ว จะคิดว่าลัทธิชั่วร้ายทั้งหมดอยู่ฝ่ายเดียวกัน แต่นั่นเป็นสิ่งที่ผิด
ลัทธิชั่วร้ายต่างก็มีเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป
ยกตัวอย่างเช่นภาคีแห่งนักบุญ พวกเขามีเป้าหมายที่จะชำระล้างโลกด้วย หกภัยพิบัติ และนำมนุษยชาติกลับเข้าสู่อ้อมกอดของ มารดาแห่งเทพธิดา หรืออธิบายง่าย ๆ ก็คือทำลายล้างอารยธรรมของมนุษยชาติ
แม้โรเอลจะยังไม่รู้ว่าเป้าหมายของภราดรภาพแห่งการกอบกู้คืออะไร แต่ความจงรักภักดีของพวกเขานั้นไม่ได้อยู่กับมารดาแห่งเทพธิดาอย่างแน่นอน จึงค่อนข้างแน่ชัดว่าพวกเขาเองก็ไม่ได้ชอบหกภัยพิบัติด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ ต่อให้ภราดรภาพแห่งการกอบกู้จะเป็นพวกโง่เขลาอีกกลุ่มหนึ่งที่คิดจะทำลายล้างโลก พวกเขาก็ไม่น่าจะร่วมมือเป็นพันธมิตรกับภาคีแห่งนักบุญอยู่ดี
ทำไมงั้นเหรอ?
นั่นก็เพราะว่าพวกเขาบูชาเทพเจ้าคนล่ะองค์กัน เป้าหมายไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดเพียงอย่างเดียวสำหรับพวกเขา วิธีการในการบรรลุเป้าหมายเองก็มีความสำคัญเท่าเทียมกัน หากพวกเขาไม่ได้จนมุมจริง ๆ ล่ะก็ มันไม่มีทางเลยที่ทั้งสองลัทธิจะร่วมมือกันได้
สถานการณ์ปัจจุบันในเลนสเตอร์ถือเป็นตัวอย่างที่ดี…
ตามที่ระบุไว้ในจดหมาย ภราดรภาพแห่งการกอบกู้ได้ควบคุมเมืองเลนสเตอร์ โดยใช้พลังของโบราณวัตถุศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง ส่งผลให้กองทหารรักษาการณ์และพลเมืองทุกคนต้องถอยร่นเข้าไปยังจุดลี้ภัยของสถาบัน เซนต์เฟรย่า เปิดใช้งานกลไกป้องกันของสถาบันการศึกษาเป็นฐานที่มั่น
เมื่อรู้ว่าต้องใช้เวลานานพอสมควรในการเอาชนะสถาบันเซนต์เฟรย่า พวกเขาจึงหันไปสนใจผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายอื่น ๆ ที่ปฏิเสธที่จะก้มหัวร่วมมือกับผู้นำของพวกเขา ซึ่งหนึ่งในเป้าหมายหลักของพวกเขาคือภาคีแห่งนักบุญ
แน่นอนว่าลัทธิชั่วร้ายอย่างภาคีแห่งนักบุญเองก็มีไพ่ตายเช่นกัน แต่ตัวแปรสำคัญในการใช้มันก็คือทูตศักดิ์สิทธิ์ จึงเป็นสาเหตุให้พวกเขาส่งจดหมายขอความช่วยเหลือฉุกเฉินออกไป
น่าเสียดายที่ภาคีแห่งนักบุญไม่มีวันจะได้รับความช่วยเหลือจากนักการทูตศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขารอคอย นั่นก็เพราะทูตศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกมานั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว
พวกเขาคงมาได้แค่นี้แหละ…
จดหมายฉบับนี้ทำให้โรเอลเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันในเลนสเตอร์ได้เป็นอย่างดี เด็กหนุ่มดีใจที่ได้รู้ว่าพวกลัทธิชั่วร้ายกำลังต่อสู้กันเอง อย่างไรก็ตามมีทางเลือกสำคัญที่เขาต้องตัดสินใจในตอนนี้
เราควรเข้าไปในตัวเมืองไหมนะ?
ตอนนี้ เลนสเตอร์ อยู่ในสภาวะที่ปั่นป่วนเต็มไปด้วยความโกลาหล ดังนั้นการเข้าไปในตัวเมืองจึงถือเป็นการตัดสินใจที่เสี่ยงอันตราย แต่การตั้งค่ายรออยู่ในป่าจนกว่าการนับถอยหลังจะสิ้นสุดลงก็ไม่น่าจะใช่ทางเลือกที่ดีเช่นกัน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าก็ตาม…
โรเอลลังเลที่จะเข้าไปพัวพันกับความโกลาหลของยุคสมัยนี้ เนื่องจากเขาไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีเท่าไหร่
เด็กหนุ่มถูกส่งมาที่นี่หลังจากที่ทุ่มสุดตัว เพื่อบดขยี้ มาซีอุส โดยใช้ สัมผัสแห่งธารน้ำแข็ง และดูดพลังชีวิตของตนเอง แม้ว่าสภาพของโรเอลจะไม่ได้เลวร้ายเท่ากับตอนที่ล้มป่วยก่อนหน้านี้ แต่ผลข้างเคียงของมันก็ยังส่งผลต่อความสามารถในการต่อสู้ของเขาอย่างรุนแรง
ถ้าโรเอลเลือกที่จะเข้าไปในตัวเมือง ไม่ว่าเขาจะพบกับภาคีแห่งนักบุญ หรือ ภราดรภาพแห่งการกอบกู้ ก็จะต้องมีการต่อสู้เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่ ๆ ทำให้สถานที่เดียวที่เขาสามารถเข้าไปพึ่งพาได้อย่างปลอดภัยคือสถาบันเซนต์เฟรย่าที่อ่อนแอกว่าอีกสองฝ่าย
ปัญหาก็คือโรเอลต้องฝ่าฟันอาณาเขตอันกว้างใหญ่ของศัตรู เพื่อเข้าไปยังสถาบันเซนต์เฟรย่า และต่อให้เขาทำสำเร็จ เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะสามารถโน้มน้าวกองทหารรักษาการณ์และเจ้าหน้าที่ของสถาบันเซนต์เฟรบ่าว่าตนเองเป็นพันธมิตรได้ยังไง?
ในช่วงวิกฤตแบบนี้ไม่ว่าใครก็ต้องระแวดระวังคนนอก แม้ว่าสถาบันการศึกษาเซนต์
เฟรย่าจะต้องการกำลังเสริม แต่แนวโน้มที่พวกเขาจะปิดกั้นโรเอลก็ยังมีมากกว่า ด้วยที่ความสุ่มเสี่ยงที่ว่าเขานั้นอาจจะเป็นสายลับ
การออกห่างจากตัวเมืองจึงถือเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดกว่าในแง่ของความปลอดภัย…
แต่ถ้าหากทำเช่นนั้นโรเอลก็จะไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ เลย เพราะแม้ว่าสถานะผู้เฝ้ามองจะเต็มไปด้วยอันตราย แต่มันก็ทำให้เขาได้รับพลังอันยิ่งใหญ่และเรียนรู้ความจริงในประวัติศาสตร์ได้เมื่อเอาชนะอุปสรรคภายในนั้น ดังนั้น หากเขาเลือกที่จะไม่เข้าไปในตัวเมือง ก็เท่ากับว่าเขาได้ละทิ้งโอกาสที่จะพัฒนาตนเอง และข้อมูลต่าง ๆ อันมีค่าไป
ในปี 612 ของยุคที่สาม เป็นยุคที่ สมัชชานักปราชญ์พลบค่ำยังไม่ถูกยุบ มันจึงเป็นไปได้ว่า ‘นักวิชาการ’ อาจจะยังอยู่ใน สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า ซึ่งจะช่วยให้โรเอลสามารถไขปริศนามากมายบนโลกนี้ได้ หากเขาได้พบกับ ‘นักวิชาการ’ ด้วยตนเอง
ที่สำคัญก็คือ ถ้าลิเลียนอยู่ในเมืองล่ะก็…
ภายใต้แสงจันทร์ยามค่ำคืน โรเอลกำจดหมายในมือแน่นพยายามตัดสินใจหาทางเลือกที่ดีที่สุด ลมพายุพัดผ่านไปราวกับเสียงร่ำไห้ของผู้ตาย ส่งกลิ่นเหม็นของเลือดที่อยู่รอบบริเวณให้ฟุ้งขึ้นมา
ดวงตาสีทองของ โรเอล เปล่งประกายเจิดจ้าในขณะที่เขาเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสีย แต่ในท้ายที่สุดการคำนวณทั้งหมดก็เลือนหายไป ด้วยความรู้สึกที่เข้าครอบงำจิตใจ เหลือเพียงภาพของเด็กสาวคนหนึ่งที่เอื้อมมือที่สั่นเทาเข้าหาใบหน้าของเขาเท่านั้น
ทันทีที่นึกถึงลิเลียนความอบอุ่นก็หลั่งไหลเข้าสู่อกของโรเอล สำหรับเขาแล้วเธอเป็นสิ่งที่ตระกูลแอสคาร์ดขาดไปและหวงแหนที่สุด นั่นคือ ‘เครือญาติ’
แม้ว่าลิเลียนจะถูกกีดกันจากเครือญาติตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้เธอแทบคลั่งไคล้โหยหามันจนแทบคลั่ง แต่ก็ไม่ได้มีเพียงเธอที่รู้สึกแบบนั้น
การตื่นตัวของพลังทางสายเลือดตระกูลแอสคาร์ด มักจะมีเพียงคนเดียวในรุ่นของพวกเขา ทำให้พวกเขาต้องแบกรับความรับผิดชอบอันหนักอึ้งเพียงลำพัง และความเครียดที่ถาโถมเข้ามานั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่บุคคลภายนอกทั่ว ๆ ไปจะเข้าใจได้
สิ่งที่โรเอลต้องการไม่ได้ต่างอะไรไปจากลิเลียนเลย…
ฉะนั้นแล้วมีเพียงคำตอบเดียวสำหรับการตัดสินใจครั้งนี้
“เราต้องเข้าไปในเมือง เท่านั้น…”
โรเอลพึมพำอย่างเด็ดเดี่ยว…
เพราะเธอคือญาติทางสายเลือดเพียงคนเดียวของเรา…
ทว่าไม่นานหลังจากที่โรเอลตัดสินใจได้ เขาก็ขมวดคิ้วอย่างหนัก
“ปัญหาก็คือตอนนี้สภาพของเราก็ย่ำแย่ เราต้องหลีกเลี่ยงการต่อสู้ให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ทำอย่างไรดีล่ะ…?”
โรเอลบีบหน้าผากของตนพยายามคิดหาแผนการที่เป็นไปได้
เมฆดำลอยอยู่เหนือดวงจันทร์ พัดพาบริเวณรอบนอกของป่าไปสู่ความมืดมิด โรเอลยืนนิ่งราวกับรูปปั้นท่ามกลางเงามืด จากนั้นแผนการอันกล้าบ้าบิ่นก็เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ
เด็กหนุ่มหยิบจดหมายในมือขึ้นมาอย่างรวดเร็ว วิเคราะห์ข้อความทีละคำอย่างระมัดระวัง ก่อนจะโยนจดหมายทิ้งลงในกองไฟและดูมันไหม้เป็นเถ้าถ่าน ก่อนจะเดินไปที่ซากรถม้า เพื่อสรุปทิศทางที่คณะของทูตศักดิ์สิทธิ์กำลังเดินทางไป ก่อนที่จะถูกซุ่มโจมตี
…
สองชั่วโมงต่อมาที่ประตูเมืองของเลนสเตอร์
เมฆดำเข้าปกคลุมอีกครั้ง ปิดดวงจันทร์อันสว่างไสวบนท้องฟ้า เหลือเพียงแสงจากคบไฟติดอยู่ตามกำแพงเมืองคอยให้แสงสว่าง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ใบหน้าของเหล่าสาวกของภาคีแห่งนักบุญสว่างขึ้นแต่อย่างใด
นี่ก็ผ่านมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว นับจากที่เหล่าภราดรภาพแห่งการกอบกู้เข้ายึดเมืองและเริ่มสังหารผู้ที่ปฏิเสธที่จะยอมจำนนต่อพวกเขา ทำให้ภาคีแห่งนักบุญ ประสบความพ่ายแพ้ติดต่อกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า บั่นทอนขวัญกำลังใจของพวกเขาให้ตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ
พวกสัตว์ประหลาดที่น่ารังเกียจราวกับปีนออกมาจากประตูนรกปรากฏตัวออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว ทำให้ไม่มีใครสามารถขัดขืนเหล่าภราดรภาพแห่งการกอบกู้ได้เลย ความแข็งแกร่งทางกำลังรบของพวกเขาทำให้ทุกคนเริ่มสงสัยว่าอาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนล ซึ่งถูกภาคีแห่งนักบุญครอบงำมาหลายศตวรรษกำลังจะถูกเปลี่ยนมือหรือไม่
เหล่าสาวกต่างรอคอยด้วยความสิ้นหวัง จนกระทั่งพวกเขาได้ยินเสียงดังก้องกังวานในครึ่งหลังค่ำคืน ทหารรักษาการณ์หรี่ตาลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาตามทางเพียงลำพัง
ท่าทีอันกล้าหาญแต่สง่างามของเขาบ่งบอกให้เห็นว่า เขาเป็นคนที่มีภูมิหลังสำคัญ นำไปสู่การพูดคุยปรึกษาหารือกันอย่างร้อนแรงในหมู่สาวก ก่อนที่หนึ่งในพวกเขาจะตะโกนออกมาในที่สุด
“เจ้าเป็นใครน่ะ? ระบุตัวตนเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่งก่อนที่พวกเขาจะได้รับคำตอบ
“จงเรียกแบรดลีย์ออกมาคุยกับข้า…!”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นดวงตาสีทองอันเป็นประกายของเขา
“ข้าคือทูตศักดิ์สิทธิ์ของภาคีแห่งนักบุญ โรเอล…”