บทที่ 293 : คุณเป็นใคร?
ภาคีแห่งนักบุญสาขาเลนสเตอร์นั้นจบสิ้นแล้ว…
นี่คือความคิดที่ครอบงำจิตใจของแบรดลีย์ เดนิส มาตลอดหลายวันมานี้
หากมองแว่บแรก แบรดลีย์ดูเหมือนชายวัยกลางคนธรรมดา ๆ ที่มีรูปร่างผอมบางและผมหงอก แต่ภายใต้รูปลักษณ์อันต่ำต้อย เขาคือผู้นำและอธิการผู้สูงศักดิ์ของภาคีแห่งนักบุญ สาขาเลนสเตอร์
เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้วที่กลุ่มภราดรภาพแห่งการกอบกู้ได้เริ่มต้นก่อการจลาจล และขวัญกำลังใจของแบรดลีย์ก็ตกต่ำลงมาเรื่อย ๆ นับตั้งแต่นั้น
ด้วยความที่สงครามกับพวกกลายพันธุ์ได้ปะทุขึ้นที่ชายแดน ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงของเลนสเตอร์จึงถูกส่งไปยังแนวหน้าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อาจารย์ และนักบวชในเมืองลดลงไปเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันจำนวนนักเรียนใหม่ ที่เข้ามาใน เลนสเตอร์เองก็ลดลงไปด้วยเช่นกัน
การป้องกันของเมืองจึงอยู่ในระดับต่ำ
ไม่มีคนกลุ่มไหนที่จะครอบงำได้ง่ายไปกว่าฝูงชนที่กำลังหวาดกลัว ความโกลาหลจึงเป็นปัจจัยที่สมบูรณ์แบบที่สุด สำหรับลัทธิชั่วร้ายในการดูดใจผู้อ่อนแอเข้ามา เพื่อขยายองค์กรของพวกเขา
สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยเช่นนี้ ทำให้ลัทธิชั่วร้ายสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วภายใต้เงามืดตลอดช่วงสิบปีที่ผ่านมา
ไม่ใช่ว่าชนชั้นผู้นำของมนุษยชาติไม่ได้สังเกตเห็นกิจกรรมของลัทธิชั่วร้ายเหล่านี้ แต่พวกเขาเลือกที่จะเพิกเฉย เนื่องจากพวกเขาไม่มีเวลาและกำลังพลมากพอที่จะจัดการกับลัทธิชั่วร้าย ไปพร้อม ๆ กับการรับมือสถานการณ์ในแนวหน้า ณ พรมแดนของมนุษยชาติ
นี่จึงถือเป็นยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองสำหรับลัทธิชั่วร้ายโดยแท้จริง แต่แล้วจู่ ๆ สถานการณ์ก็กลับพลิกผัน
ภราดรภาพแห่งการกอบกู้ องค์กรเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ย้อนไปถึงยุคที่สอง โดยดำเนินกิจการอยู่ภายในอาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนลมานานหลายศตวรรษแล้ว แม้ว่าขนาดและอิทธิพลของพวกเขาจะดูด้อยกว่า เมื่อเทียบกับภาคีแห่งนักบุญ แต่ความวุ่นวายในช่วงสิบปีที่ผ่านมาก็ได้นำมาซึ่งการเติบโตอย่างรวดเร็วขององค์กรนี้
มีสัญญาณบ่งชี้มากมายว่าภราดรภาพแห่งการกอบกู้นั้นเริ่มอยู่ในจุดที่ไม่สามารถควบคุมได้แล้ว เช่น ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในภาคีแห่งนักบุญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามแบรดลีย์ก็ไม่เคยคิดว่าพวกเขาจะกล้าก่อการจลาจลแบบนี้!
นี่ถือเป็นการข้ามเส้นอย่างไม่ต้องสงสัย
บรรดาผู้นำของมนุษยชาติต่างเพิกเฉยต่อพวกเขา เพราะคาดว่าพวกลัทธิชั่วร้ายไม่มีทางก่อจลาจลในเวลาแบบนี้แน่ ทุกคนล้วนเข้าใจดีว่าถ้าหากพวกกลายพันธุ์ข้ามผ่านชายแดนเข้ามาได้จะถือเป็นจุดจบของมวลมนุษยชาติ ดังนั้นจึงไม่มีใครโง่พอที่จะก่อวินาศกรรมโจมตีกันและกันในเวลาเช่นนี้
อันที่จริง สำหรับลัทธิชั่วร้ายการนอนรอให้ศัตรูของตัวเองเสื่อมอำนาจลงและสั่งสมกองกำลังยังดูจะมีประโยชน์เสียมากกว่าในช่วงเวลาแบบนี้
ภาคีแห่งนักบุญ ต้องการชี้นำอารยธรรมมนุษย์ไปสู่จุดจบ เพื่อกลับไปสู่อ้อมกอดของมารดาแห่งเทพธิดา แต่อย่างไรก็ตามจุดจบที่พวกเขาแสวงหานั้นต้องมาจากเงื้อมมือของเหล่าทูตของมารดาแห่งเทพธิดา ไม่ใช่พวกกลายพันธุ์ที่สกปรกเหล่านั้น…!
เมื่อภราดรภาพแห่งการกอบกู้เริ่มโจมตีเมืองเลนสเตอร์ กองกำลังมากมายรวมถึงกองทหารของเลนสเตอร์ และภาคีแห่งนักบุญจึงได้จัดตั้งพันธมิตรขึ้นเพื่อโค่นล้มพวกเขา แต่ทว่าผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามคาด
ภราดรภาพแห่งการกอบกู้นั้นเป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะ…
พวกเขาเรียกกองทัพอสุรกายมนุษย์ในชุดเกราะและเสื้อคลุมสีดำออกมา ด้วยอุปกรณ์เวทย์อันแปลกประหลาด แม้ว่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้จะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ในเวลากลางวัน แต่เมื่อถึงเวลากลางคืน พวกมันก็จะกรีฑาทัพออกมาท่วมท้องถนนอย่างรวดเร็ว เสียงพึมพำลึกลับของพวกมันมีพลังทำลายจิตใจ ทำให้ปวดหัวจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ แม้กระทั่งผู้มีพลังเหนือธรรมชาติก็ยังไม่อาจต้านทาน!
สัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านี้มีจำนวนมากมายเกินกว่าจะรับมือได้ ดังนั้นกองทหารที่รอดตายจึงถอยทัพเข้าไปในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าอย่างรวดเร็ว ยึดมันเป็นป้อมปราการร่วมกับรองอาจารย์ใหญ่แอสตริดและนักเรียนที่เหลือ
ทว่าแบรดลีย์และพรรคพวกไม่ได้มีป้อมปราการอันทรงพลังให้ถอยกลับไป ด้วยที่กองทหารของเมืองเลนสเตอร์นั้นหนีไปไกลเกินเอื้อม ภราดรภาพแห่งการกอบกู้จึงได้เบนสายตาของพวกเขาไปยังศัตรูอันดับสองของพวกเขา ภาคีแห่งนักบุญ
ภาคีแห่งนักบุญได้รวมกองกำลังของพวกเขาไปทางตะวันออกของเมือง ตั้งฐานที่มั่นภายในปราสาทวอลเชสเตอร์ แต่การป้องกันของมันนั้นอ่อนแอกว่ามากเมื่อเปรียบเทียบกับสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า ตอนนี้มันจึงเป็นเพียงแค่เรื่องของเวลาแล้ว ก่อนที่พวกเขาจะต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้โดยสมบูรณ์
นอกจากนี้ เมื่อคืนแบรดลีย์ยังได้รับรายงานลับที่ทำให้เขาต้องสิ้นหวัง
ทูตศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาถูกสกัดกั้นโดยศัตรูและถูกสังหาร
การสูญสิ้นของทูตศักดิ์สิทธิ์ หมายความว่าพวกเขาได้สูญเสียไพ่ตายใบสุดท้ายไปแล้ว
ต้องใช้เวลาอีกนานโข กว่าที่กำลังเสริมจากชายแดนตะวันออกจะมาถึงที่นี่ เพื่อหยุดยั้งภราดรภาพแห่งการกอบกู้ และแม้ว่าสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าจะสามารถยืนหยัดได้จนถึงตอนนั้น แต่ภาคีแห่งนักบุญไม่มีทางคงอยู่ได้นานขนาดนั้นแน่
การหลบหนีเองก็ไม่ใช่ทางเลือกสำหรับพวกเขาเช่นกัน หากพวกเขาทำภารกิจที่นี่ไม่สำเร็จ ผู้นำระดับสูงของภาคีแห่งนักบุญจะต้องเป็นคนลงมือจบชีวิตของพวกเขาแทนอย่างแน่นอน
ทางเลือกในตอนนี้จึงมีเพียงการถูกฆ่าโดยพวกอสูรในเวลากลางคืน หรือถูกกำจัดโดยผู้นำระดับสูงของภาคี มันเป็นสถานการณ์อันสิ้นหวังที่ทำให้แบรดลีย์จมอยู่ในความเศร้าโศกและสุราเมรัย
ไวน์แดงอายุร้อยปีหมดลงภายในไม่กี่นาที
ด้วยความมึนเมาเล็กน้อย แบรดลีย์เดินไปที่ขอบหน้าต่างมองออกไปยังถนนที่มีไฟสลัว นอกปราสาทอัน แม้ว่ามันจะมืดสนิท แต่เขาก็รู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังเห็นสัตว์ประหลาดคลานออกมาจากเงามืด
ก๊อก ก๊อก !
“ใครกัน? ข้าบอกว่าห้ามรบกวนไม่ใช่รึไง?”
เสียงเคาะประตูอย่างกะทันหันทำให้แบรดลีย์หลุดออกจากความงุนงง พร้อมตะโกนไปที่ประตูอย่างหงุดหงิด ทว่าจู่ ๆ เขาก็ได้รับรายงานอันเหลือเชื่อ จากสาวกผู้ตื่นเต้นที่อยู่ข้างนอก
“ท่านอธิการ ทูตศักดิ์สิทธิ์มาถึงแล้วขอรับ!”
…
ทูตศักดิ์สิทธิ์? เรามีทูตบ้าอะไรของเจ้า?!
แบรดลีย์คิดขณะวิ่งไปที่ประตูเมืองทางทิศตะวันออกพร้อมกับสาวกคนอื่น ๆ ของภาคีแห่งนักบุญและกองทัพหุ่นเชิดครึ่งคนครึ่งแมงป่อง
ข่าวการมาถึงของทูตศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ทำให้เขาโล่งใจแต่อย่างใด ต่างจากคนอื่น ๆ ที่ตื่นเต้นกับการมาถึงของ ‘ทูตศักดิ์สิทธิ์’ จอมปลอมนี้ แบรดลีย์นั้นรู้ดีถึงข้อเท็จจริง
ทูตศักดิ์สิทธิ์? เขาถูกสังหารโดยพวกภราดรภาพแห่งการกอบกู้ไปแล้วต่างหาก! ใครก็ตามมาที่นี่ต้องเป็นสายลับของพวกมันแน่!
จากที่ไกลๆ แบรดลีย์สามารถเห็นร่างของเด็กหนุ่มผมดำที่กำลังพูดคุยกับเหล่าสาวกอยู่ข้างประตูเมืองได้อย่างชัดเจน แววตาเฉียบคมแวบผ่านดวงตาของเขา พร้อมโบกมือตะโกนออกคำสั่ง…
“จับกุมตัวเขาไว้! เขาเป็นตัวปลอม!”
คำพูดเหล่านั้นทำให้เหล่าสาวกที่ยืนอยู่รอบ ๆ โรเอลตื่นตระหนก พวกเขารีบถอยออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความกลัว ขณะเดียวกันสาวกชุดขาวสองคนก็รีบพุ่งออกไปพร้อมกับหุ่นเชิดมนุษย์แมงป่องล้อมรอบตัวโรเอลไว้
ไม่ดีแล้วสิ…ผู้ชายคนนั้นน่าจะเป็นแบรดลีย์ เขาคงได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการตายของทูตศักดิ์สิทธิ์ ไม่ก็คุ้นเคยกับทูตศักดิ์สิทธิ์เป็นการส่วนตัวสินะ โรเอลคิดพลางขมวดคิ้ว
หลังจากอ่านจดหมายอย่างละเอียดถี่ถ้วน เด็กหนุ่มก็สันนิษฐานว่าแบรดลีย์และทูตศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้รู้จักกัน อันที่จริงแล้ว แบรดลีย์น่าจะไม่รู้จักชื่อของทูตศักดิ์สิทธิ์ด้วยซ้ำ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงกล้าใช้แผนปลอมตัวเป็นทูตศักดิ์สิทธิ์แบบนี้
แต่ทว่าเห็นได้ชัดว่าแผนของโรเอลล้มเหลว
ด้านหน้าประตูเมืองทางทิศตะวันออกเหล่าสาวกของ ภาคีแห่งนักบุญเริ่มชักอาวุธและรีดเร้นพลังเวทย์ของตนออกมา เตรียมพร้อมที่จะเข้าต่อสู้
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบรรยากาศจะตึงเครียด แต่โรเอลก็ไม่ได้ตื่นตระหนกเลย เขาจ้องไปที่แบรดลีย์อย่างสงบด้วยดวงตาสีทองพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอันเย็นชาและเปี่ยมไปด้วยอำนาจ…
“อธิการแบรดลีย์ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? นี่เป็นสิ่งที่เจ้าควรปฏิบัติต่อทูตศักดิ์สิทธิ์งั้นเหรอ?”
“ทูตศักดิ์สิทธิ์? เจ้าคิดว่าข้าโง่นักรึไง! ข้าเคยพบท่าพรอนเต้มาก่อน และเจ้าก็ไม่ใช่เขาแน่!”
แบรดลีย์ตะโกนขณะที่เขาจ้องมองไปที่โรเอลอย่างขุ่นเคือง
มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่อธิการระดับภูมิภาคเช่นเขาจะคุ้นเคยกับทูตศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาโดยตรงของผู้บริหารภาคีแห่งนักบุญ ซึ่งการแอบอ้างอันอาจหาญของอีกฝ่ายก็กำลังใช้ประโยชน์จากข้อเท็จจริงนี้อย่างชัดเจน…
ทว่าโชคไม่ดีสำหรับโรเอล แบรดลีย์นั้นคุ้นเคยกับทูตศักดิ์สิทธิ์ พรอนเต้ ด้วยที่อีกฝ่ายเกิดในเมืองเลนสเตอร์ และเคยเป็นสมาชิกในภาคีแห่งนักบุญ สาขาเลนสเตอร์ ก่อนจะถูกส่งตัวไปที่สำนักงานใหญ่ในฐานะทูตศักดิ์สิทธิ์
ความบังเอิญนี้ทำให้แผนของโรเอลล้มเหลวไม่เป็นท่า อย่างไรก็ตามเขาไม่มีทางที่จะใช้แผนการเสี่ยง ๆ แบบนี้โดยที่ไม่มีแผนสำรองใด ๆ อันที่จริงโรเอลได้คำนึงถึงความเป็นไปได้ดังกล่าวเอาไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว
โรเอลมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะขดลง
“พรอนเต้? โอ้…เจ้าคงหมายถึงไอ้สวะที่ตายระหว่างการเดินทางมาที่นี่สินะ ข้าเคยบอกเจ้าหรือไงว่าข้าคือพรอนเต้ ? ”
“ห…ห๊ะ หา ?”
“ข้าเป็นทูตศักดิ์สิทธิ์ภายใต้คำสั่งโดยตรงของผู้บริหารภาคีแห่งนักบุญ อธิการแบรดลีย์ จงระวังคำพูดของเจ้าด้วยเวลาที่พูดกับข้า!”
จู่ ๆ โรเอลก็ขึ้นเสียงก่นด่าแบรดลีย์ในทันที
ท่าทางมั่นใจของเขาทำให้แบรดลีย์สับสน สาวกคนหนึ่งรีบวิ่งออกมาข้างหน้า และแจ้งว่าเด็กหนุ่มผมดำที่ระบุตนเองว่า โรเอล สิ่งนี้ทำให้เกิดความคิดบางอย่างขึ้นในใจของอธิการวัยกลางคน
หรือว่าผู้บริหารจะเล็งเห็นว่าสถานการณ์ที่นี่เลวร้ายกว่าที่คิดเลยส่งคนจากสำนักงานใหญ่มาช่วยพวกเรา ก่อนที่เราจะส่งคำร้องขอความช่วยเหลือออกไป ?
ไม่ ๆ นั่นมันเป็นไปไม่ได้…การจลาจลเพิ่งเกิดขึ้นได้เมื่อไม่นานมานี้ เหล่าผู้บริหารจะตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วขนาดนั้นได้ยังไง?
“ท่านทูตศักดิ์สิทธิ์โรเอลสินะ ? ขออภัยด้วย แต่ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน”
แบรดลีย์เยาะเย้ยพลางมองไปที่โรเอลอย่างเย็นชา…
“แต่ในเมื่อเจ้าอ้างตนว่าเป็นทูตศักดิ์สิทธิ์ ไหนลองบอกชื่อผู้บริหารที่ส่งเจ้ามาได้รึเปล่าล่ะ?”
ทั่วบริเวณโดยรอบตกอยู่ในความเงียบขณะที่ดวงตาของโรเอลเริ่มหรี่ลงอย่างรวดเร็ว
จิตสังหารแผ่ออกมาอย่างพลุ่งพล่าน…ราวกับว่าการต่อสู้กำลังจะปะทุขึ้น!