บทที่ 294 : อยู่กับพระเจ้า

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 294 : อยู่กับพระเจ้า

ณ ประตูเมืองทางตะวันออกของเมืองเลนสเตอร์ ชายวัยกลางคนร่างผอมพร้อมด้วยสาวกชุดขาวนับไม่ถ้วนที่ถือคบเพลิงอยู่ในมือกำลังล้อมรอบเด็กหนุ่มผมดำ

พายุยังคงพัดผ่านไปมาไม่หยุด แต่ทว่าอากาศที่นี่กลับนิ่งสนิท

เสียงของแบรดลีย์ดังก้องอยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน ทำให้ทุกคนต้องหันไปมองโรเอล เพื่อรอคอยคำตอบจากเขา

คำถามนี้เป็นเรื่องยากสำหรับโรเอลที่จะตอบ มันถือเป็นจุดบอดของเขาอย่างแท้จริง ไม่มีทางเลยที่เขาจะคุ้นเคยกับผู้บริหารของภาคีแห่งนักบุญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยที่เขาไม่ใช่คนในยุคนี้ เด็กหนุ่มจึงไม่สามารถตอบคำถามของแบรดลีย์ได้

โรเอลยืนนิ่งอยู่ใต้แสงไฟสีเหลืองของคบเพลิง ราวกับกำลังครุ่นคิดอยู่ลึก ๆ

การขาดการตอบสนองนี้ ทำให้แววตาของแบรดลีย์เต็มไปด้วยจิตสังหาร รอยยิ้มเยือกเย็นผุดขึ้นมาบนหน้าของชายวัยกลางคนก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นพร้อมที่จะออกคำสั่งแก่สาวกให้ฉีกโรเอลเป็นชิ้น ๆ แต่แล้ว จู่ ๆ อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน

“แบรดลีย์ ใครมันเลือกคนอย่างเจ้ามาเป็นอธิการกัน? เจ้ากำลังพยายามละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้บริหาร แถมยังต่อหน้าฝูงชนมากมายเช่นนี้อีกด้วย”

การตำหนิอย่างรุนแรงของโรเอล ทำให้ความมั่นใจของแบรดลีย์เหี่ยวแห้ง เขาวิตกกังวลมากเกินไปจนไม่ได้พิจารณาความหมายของคำถาม เนื่องจากการสอบสวนข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริหารภาคีนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในที่สาธารณะเช่นนี้ อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่คิดที่จะถอย

หากแบรดลีย์ยอมต่อการตำหนิของโรเอล ก็หมายความว่าเขาจะต้องประชุมแบบตัวต่อตัวกับอีกฝ่ายเพื่อยืนยันตัวตน ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่อธิการวัยกลางคนพร้อมจะเสี่ยงเลย เพราะเขาเป็นเพียงผู้ใช้หุ่นเชิด

เมื่อใดก็ตามที่ผู้เชิดหุ่นส่งจิตสำนึกของตนเองลงไปในหุ่นเชิดเพื่อควบคุมพวกมัน ร่างหลักของพวกเขาจะอ่อนแอลงทำให้ง่ายต่อการถูกโจมตี เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องซ่อนร่างหลักเอาไว้ในสถานที่ปลอดภัยก่อนจะเข้าสู่การต่อสู้เสมอ

แน่นอนว่าผู้เชิดหุ่นบางคนก็มักจะมีความรู้เรื่องคาถาเวทย์ป้องกันบางอย่างสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่พวกเขาไม่สามารถพึ่งพาหุ่นเชิดได้ อย่างไรก็ตามผู้เชิดหุ่นที่ไม่มีหุ่นเชิดนั้นย่อมอ่อนแอกว่าผู้มีพลังพิเศษที่ชำนาญด้านแขนงอื่น ๆ

นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้สูงว่าโรเอลนั้นได้ใช้ชีวิตในฐานะสายลับมาตลอดชีวิต ดังนั้นไม่มีทางเลยที่แบรดลีย์จะตกลงเข้าพบกับเขาแบบตัวต่อตัว…

“…ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับคนอื่น ๆ ไปหรอก พวกเขาทุกคนล้วนเป็นสาวกผู้มีศรัทธาแน่วแน่ในมารดาแห่งเทพธิดา”

แบรดลีย์ยังคงตอบอย่างใจเย็น…โดยที่ไม่รู้เลยว่าโรเอลกำลังรอประโยคนั้นอยู่

“ศรัทธาอันแน่วแน่ ไม่มีวันสั่นคลอน เจ้าแน่ใจแล้วงั้นเหรอ?”

นัยน์ตาสีทองของโรเอล ส่องประกายด้วยความเย็นชาในขณะที่ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธเกรี้ยว

“ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ข้าอาจจะยังคงเชื่อคำพูดของเจ้าได้บ้าง แต่แล้วตั้งแต่ที่ข้ามาถึงที่นี่ ข้ากลับรู้สึกได้เพียงแค่สิ่งเดียวจากพวกเจ้านั่นก็คือ…ความกลัว!”

“พูดบ้าอะไรของเจ้า?!”

แบรดลีย์คำราม

โรเอลเพิกเฉยต่ออารมณ์ฉุนเฉียวของอีกฝ่าย เขากวาดสายตามองดูฝูงชนรอบตัวก่อนจะถามออกมาดัง ๆ

“ภราดรภาพแห่งการกอบกู้ใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งสัปดาห์ เพื่อยึดครองพื้นที่สามในสี่ของเลนสเตอร์ นี่เป็นวิธีที่พวกเจ้าตอบแทนความไว้วางใจของเหล่าผู้บริหารงั้นหรือ? ต้องขอบคุณในความไร้ความสามารถของเจ้า พวกศัตรูเลยสามารถจับการเคลื่อนไหวของพรอนเต้และลอบสังหารเขาระหว่างที่เดินทางมาที่นี่ได้ ในขณะที่พวกเจ้าทุกคนกำลังหนีหน้าศัตรู สง่าราศีของมารดาแห่งเทพธิดาเคยแว่บเข้ามาในหัวของพวกเจ้าสักครั้งไหม ?!”

“เจ้า…แบรดลีย์! เดนิส…เจ้ามันก็แค่ขยะขี้ขลาด! อย่าได้คิดที่จะพูดถึงความศรัทธาต่อหน้าข้า!”

“สิ่งที่ผู้บริหารในอดีตที่ยังอยู่ในวัยเยาว์อย่างดอยล์เสียสละทุ่มเทเพื่อภาคีไปเมื่อหลายศตวรรษต่างหากถึงควรค่าแก่คำว่าความศรัทธา! เขาเดินเข้าไปในอ้อมกอดทูตที่มารดาแห่งเทพธิดา…จิตวิญญาณของเขาจะอยู่กับท่านตลอดไป แล้วเจ้าล่ะ อธิการแบรดลีย์? เจ้าได้ทำอะไรมาเพื่อพิสูจน์ศรัทธาของตนเองต่อมารดาแห่งเทพธิดาหรือยังถึงได้กล้าพูดคำนั้นกับข้า ?”

แววตาอันแผดเผาและคำพูดอันทรงพลังของโรเอล ทำให้หัวใจของแบรดลีย์สั่นเทาด้วยความสยดสยอง

ชื่อของผู้บริหารดอยล์ถูกลืมเลือนจางหายไปนานแล้วในหมู่สาวกของภาคีแห่งนักบุญ ทว่าแบรดลีย์กลับคุ้นเคยกับชื่อนี้ดี ด้วยที่เขาอยู่ในภาคีผู้เชิดหุ่นเช่นเดียวกับดอยล์

ดอยล์เป็นหนึ่งในผู้บริหารรุ่นแรกๆ ของภาคีแห่งนักบุญที่มาจากภาคีผู้เชิดหุ่น เขาเป็นที่รู้จักเพราะพรสวรรค์ในฐานะผู้มีพลังพิเศษที่ทำให้เขาไปถึงระดับแก่นแท้ 2 ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย โชคร้ายที่ดอยล์นั้นได้เสียชีวิตลงก่อนวัยอันควร ระหว่างพยายามขัดขวางศัตรูขององค์กรเพื่อภารกิจ

ในสมัยนั้นชื่อเสียงของดอยล์ทำให้เกิดความโกลาหลโจนจันไปทั่ว แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปหลายศตวรรษ คนส่วนใหญ่ก็เริ่มที่จะลืมเลือนชื่อของเขาไปตามกาลเวลา คนกลุ่มเดียวที่ยังคงจดจำชื่อและเรื่องราวของดอยล์ได้ดีจึงเหลือเพียงเหล่าสมาชิกของภาคีผู้เชิดหุ่น

บางทีโรเอลอาจจะรู้เรื่องเกี่ยวกับวีรกรรมชื่อเสียงของดอยล์ผ่านบันทึกในสำนักงานใหญ่ ทำให้การเปรียบเทียบระหว่างดอยล์กับแบรดลีย์ กลายเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนแต่ก็เด็ดขาด…

ดอยล์สามารถไปถึง ระดับแก่นแท้ 2 และกลายเป็นผู้บริหารของภาคีได้ตั้งแต่อายุยังน้อย กลับกัน แล้วแบรดลีย์ต้องใช้เวลานานหลายสิบปีเพื่อไปถึง ระดับแก่นแท้ 2 อีกทั้งยังเป็นได้แค่ระดับอธิการมาจนถึงทุกวันนี้

ในด้านสำหรับศรัทธาแล้ว ดอยล์ได้ต่อสู้อย่างกล้าหาญ ท่ามกลางอ้อมกอดทูตของมารดาแห่งเทพธิดา ในขณะที่แบรดลีย์ประสบกับความพ่ายแพ้อันน่าสมเพช หลบซ่อนตัวในปราสาทวอลเชสเตอร์

สถานะของพวกเขาทั้งสองคนนั้นเทียบกันไม่ได้เลยสักนิดเดียว!

ใบหน้าของแบรดลีย์เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยโทสะและความอับอาย ชายวัยกลางคนไม่กล้าที่จะอ้าปากของตนอีกต่อไป โรเอลได้พิสูจน์ตัวตนของเขาออกมาแล้ว ด้วยวาจา ท่าทางและการเปรียบเทียบนี้ ซึ่งนั่นก็มากเกินพอที่จะทำให้แบรดลีย์สับสนกระวนกระวาย…

เด็กหนุ่มคนนี้เป็นทูตศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ งั้นเหรอ?!

สายตาของแบรดลีย์มองไปรอบ ๆ ด้วยความประหม่า…

โชคดีที่โรเอลไม่คิดที่จะดึงดันยืดเรื่องต่อ เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ ทำทีเป็นระงับความโกรธก่อนจะถามอย่างใจเย็น

“เจ้าถามใช่ไหม ว่าใครส่งข้ามาที่นี่? ข้าก็จะตอบคำถามของเจ้าก็ได้ ข้ามาที่นี่ด้วยการลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์จากเหล่าผู้บริหารที่ลงทุนมาเรียกข้าถึงท่าเรือทูฮอร์น แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่ได้รับจดหมายจากผู้บริหารเลยสินะ ข้าจะมองข้ามการดูหมิ่นของเจ้าให้ ถือซะว่าเป็นความผิดพลาดจากความโง่เขลา แต่จำเอาไว้ด้วยล่ะว่ามันจะต้องไม่มีครั้งที่สองอีก แบรดลีย์ เดนิส”

“ท่าเรือทูฮอร์น ?”

คำพูดอันละเอียดอ่อนนี้ทำให้แบรดลีย์เบิกตากว้าง

ที่นั่นถือเป็นที่พำนักของหนึ่งในทูตของมารดาแห่งเทพธิดา เปรียบได้ดั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ที่ศรัทธาในมารดาแห่งเทพธิดา อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่ดอยล์เสียชีวิตลงอีกด้วย…

นี่เป็นข้อมูลลับที่ทราบกันในหมู่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงของภาคี ซึ่งแบรดลีย์ก็เป็นหนึ่งในอธิการเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ เพราะเขาเคยไปที่นั่นตอนที่อายุยังน้อย

การที่โรเอลมาจากท่าเรือทูฮอร์นนั้นถือเป็นหลักฐานยืนยันความสัมพันธ์ของเขากับผู้บริหารอย่างแท้จริง ทำให้แบรดลีย์เริ่มเชื่อคำกล่าวอ้างของโรเอลมากขึ้น

อีกด้านหนึ่ง เมื่อโรเอลสังเกตเห็นปฏิกิริยาของแบรดลีย์ที่มีเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินชื่อของท่าเรือทูฮอร์น เขาก็ตัดสินใจที่จะตามน้ำ เสริมปรุงแต่งเรื่องเข้าไปอีกสักเล็กน้อย…

“เจ้าอาจจะจำข้าไม่ได้ก็จริง แต่เจ้าก็น่าจะจำพลังเวทย์นี้ได้ใช่รึเปล่า? นี่คือพลังที่ข้าได้รับมาจากทูตของมารดาแห่งเทพธิดาผู้ยิ่งใหญ่ของเรา…”

โรเอลยกมือขึ้นอย่างสง่างาม จากนั้นหมอกสีขาวบริสุทธิ์ก็เริ่มแผ่ออกมาบรรจบกันบนฝ่ามือของเขา…

มันคือพลังเวทย์อันเย็นยะเยือกจากสัตว์ประหลาดที่เคยทำลายอารยธรรมมากมายในอดีต ผู้สร้างธารน้ำแข็ง!

คลื่นแห่งความกระวนกระวายใจแผ่ออกไปสู่หัวใจของเหล่าสาวกโดยรอบ แต่ทว่าสิ่งที่แบรดลีย์รู้สึกกลับมีเพียงความตกตะลึง…

ไม่จริงน่า นี่มันพลังเวทย์จากทูตของมารดาแห่งเทพธิดาที่พำนักอยู่ในส่วนลึกของทะเลนี่นา!

เนื่องจากแบรดลีย์เคยไปที่ท่าเรือทูฮอร์นมาก่อน มันจึงเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะจำพลังเวทย์จากทูตของมารดาแห่งเทพธิดาผิดแปลกไปเป็นอย่างอื่น นี่เป็นหมุดลิ่มสุดท้ายที่ทำให้อธิการวัยกลางคนเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ในตัวตนของโรเอลในฐานะทูตศักดิ์สิทธิ์ ดวงตาของเขาเริ่มร้อนรนขึ้นด้วยความปั่นป่วนในจิตใจ

“ใช่ กระผมจำได้ขอรับ! กระผมรู้จักมันดี! โอ้ ท่านทูตผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่ง พวกเจ้าที่เหลือมัวทำอะไรกันอยู่? ลดอาวุธลงเดี๋ยวนี้!”

แบรดลีย์ตะโกน เหล่าสาวกต่างรีบเก็บอาวุธของตน สลายพลังเวทย์ที่รีดเร้นออกมา ความสงสัยในนัยน์ตาถูกแทนที่ด้วยความศรัทธาเคารพคารวะอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกันกองทัพหุ่นเชิดมนุษย์แมงป่องเองก็ล่าถอยออกไปด้วยเช่นกัน…

หลังจากนั้นแบรดลีย์เดินออกไปหาโรเอลด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

“ท่านทูตศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิดของกระผมเอง กระผมได้รับข่าวมาก่อนหน้านี้ว่าเจ้าซาร์โทนี่ที่น่าชิงชังนั่นได้ทำการสกัดกั้นและสังหารท่านทูตพรอนเต้ลง ซึ่งทำให้กระผมระแวดระวังเกี่ยวกับการมาถึงของท่าน ขอกราบขออภัยท่านอย่างสุดซึ้งในความผิดพลาดของตัวกระผม ณ ที่นี้ด้วยขอรับ”

ซาร์โทนี่? นั่นเป็นชื่อของผู้นำภราดรภาพแห่งการกอบกู้รึเปล่านะ?

โรเอลไม่ตอบสนองต่อคำขอโทษของแบรดลีย์ เพียงแต่หันกลับไปเหลือบมองเมืองอันมืดมิดด้านนอกประตูปราสาท

“ตอนนี้สถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?”

“ท่านทูตศักดิ์สิทธิ์ขอรับ คือว่าสถานการณ์ของพวกเรามันค่อนข้างจะไม่สู้ดีเท่าไหร่…”

แบรดลีย์เริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ระหว่างเล่า ชายวัยกลางคนก็อดไม่ได้ที่จะสังเกตเห็นใบหน้าของโรเอลที่ค่อย ๆ มืดมนลง ซึ่งทำให้หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะอยู่หลายครั้ง…

ตอนนี้แบรดลีย์กำลังอยู่ในสถานการณ์อันสิ้นหวัง ด้วยที่เขานั้นล้มเหลวในภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากผู้บริหาร คนเดียวที่เขาสามารถพึ่งพาได้ในตอนนี้จึงมีเพียงทูตศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเท่านั้น ชายวัยกลางคนจึงตัดสินใจที่จะทำตัวประจบประแจงโรเอล เพื่อพยายามเพิ่มแต้มความนิยมในใจอีกฝ่าย

สีหน้าของโรเอลในตอนที่แบรดลีย์พูดถึงทหารเกราะดำและคนชุดดำที่ออกมาทั่วเมืองในตอนกลางคืนนั้นสงบนิ่งจนเขาต้องประหลาดใจ

“พาข้าไปที่แนวหน้า…” โรเอลออกคำสั่งหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

แบรดลีย์รีบพยักหน้าอย่างรวดเร็วและนำทางไปด้วยตัวเอง

พวกเขาต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงในการเดินทางไปยังแนวหน้าซึ่งเป็นสนามรบที่กำลังเกิดการต่อสู้อันดุเดือด…

เหล่าสาวกของภาคีแห่งนักบุญกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจากเสียงสวดของเหล่าสัตว์ประหลาด ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกเสียจากต้องตรึงแนวป้องกันแล้วถอยร่นไปครั้งแล้วครั้งเล่า

เหตุผลเดียวที่พวกสัตว์ประหลาดยังไม่ชนะโดยสมบูรณ์เป็นเพราะลูกศรและคาถาเวทย์ระยะไกลที่ยิงมาจากด้านหลัง แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยให้ฝั่งภาคีเอาชนะพวกมันได้ในการต่อสู้…

นั่นก็เพราะจำนวนของสัตว์ประหลาดที่โผล่ออกมาจากเงามืดนั้นมากเกินไป!

ภราดรภาพแห่งการกอบกู้กำลังต่อสู้ทำสงครามกับกลุ่มอำนาจอื่น ๆ ในเมืองเลนสเตอร์ พวกเขาจะเป็นผู้ออกนำการจู่โจมในเวลากลางวัน และพักผ่อนในเวลากลางคืน มอบหน้าที่การกดดันศัตรูให้กับสัตว์ประหลาดเหล่านี้ กลวิธีนี้ทำให้พวกเขาสามารถรักษาความแข็งแกร่งของกำลังหลักเอาไว้ได้ แต่ขณะเดียวกันก็กำจัดกองกำลังของศัตรูลงได้อย่างสม่ำเสมอ

ที่เลวร้ายมากไปกว่านั้นก็คือ ศัตรูของพวกเขาไม่สามารถต่อสู้กับสัตว์ประหลาดเหล่านี้ได้ในระยะประชิด ทำให้ไม่สามารถตั้งขบวนแนวป้องกันใด ๆ ได้ และอาณาเขตพื้นดินที่พวกเขามีในช่วงเวลากลางวันจะหายไปในตอนกลางคืน

กลยุทธ์นี้ทำให้ภราดรภาพแห่งการกอบกู้ประสบความสำเร็จในการล้มล้างกองกำลังอื่น ๆ ทั้งหมดในเลนสเตอร์ จนเหลือเพียงแค่ภาคีแห่งนักบุญและสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า

และภาคีแห่งนักบุญเองก็จะต้องได้รับความพ่ายแพ้ในคืนนี้…!

สภาพสถานการณ์อันไร้ซึ่งหนทางแห่งชัยชนะในแนวหน้าได้ปลูกฝังความสิ้นหวังลงในใจของเหล่าสาวกทุกคน ประกอบกับเสียงบทสวดที่ก่อให้เกิดความบ้าคลั่ง ยิ่งทำให้สภาพจิตใจของพวกเขาแย่ลงไปอีก เรียกได้ว่าแม้แต่การมาถึงของกำลังเสริมก็คงไม่สามารถเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับพวกเขาได้…

โรเอลเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นสัตว์ประหลาดเหล่านั้น เขาหันไปมองแบรดลีย์และถาม

“นั่นใช่พวกสัตว์ประหลาดที่เจ้าพูดถึงรึเปล่า?”

“ใช่แล้วขอรับ…ท่านทูตศักดิ์สิทธิ์”

การยืนยันนี้ทำให้รอยยิ้มอันดูถูกเหยียดหยามปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของโรเอล เขาเดินตรงไปยังแนวหน้าอย่างไม่ลังเล แบรดลีย์ที่ตกใจมากจึงรีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อหยุดเด็กหนุ่ม แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจ

เดี๋ยวนะ ทำไมเราถึงไม่รู้สึกปวดหัวล่ะ?

อาการตกใจของแบรดลีย์ไม่ได้ทำให้ฝีเท้าของโรเอลช้าลงเลย

ในสนามรบที่ทุกคนกำลังถอยหนี มีเด็กหนุ่มผมดำที่กำลังเดินไปข้างหน้าเพียงลำพัง สร้างภาพที่แปลกตาขึ้น ส่งผลให้ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขา

ขณะที่โรเอลเดินออกไปข้างหน้า กระแสพลังเวทย์ลึกลับก็กระเพื่อมออกมาจากร่างกายของเขา บรรเทาความทุกข์ทรมานของเหล่าสาวกให้ฟื้นฟูสติและความสงบกลับมาแก่ทุกคน

ในที่สุดเมื่อโรเอลไปถึงแนวหน้าของแนวป้องกัน ร่างกายของเขาก็เปล่งประกายด้วยแสงดาว ภาพเงาเล็ก ๆ ของเขาให้ความรู้สึกเหมือนป้อมปราการอันสูงตระหง่านคอยปกป้องทุกคนจากสัตว์ประหลาดจากเงามืดเหล่านั้น

แบรดลีย์ได้แต่ตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่พลิกผันอันน่าอัศจรรย์นี้ ในขณะที่เหล่าสาวกจ้องมองไปยังร่างที่ไม่คุ้นเคยเบื้องหน้าพวกเขาด้วยความสับสน ไม่แน่ใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น?

เด็กหนุ่มผมดำยกดาบขึ้นสูงและหันไปหาเหล่าสาวกด้วยสีหน้าอันสง่าผ่าเผย ดวงตาสีทองของเขาเปล่งประกายราวกับเต็มไปด้วยความอบอุ่นของดวงอาทิตย์

“ข้าคือทูตศักดิ์สิทธิ์โรเอล ผู้ได้รับมอบหมายหน้าที่อันทรงเกียรติมาจากผู้บริหารให้มาช่วยสนับสนุนภาคีแห่งนักบุญสาขาเลนสเตอร์ และช่วยเหล่าพี่น้องของข้าจากความทุกข์ทรมาน!”

“โอ้ เหล่าบรรดาผู้เลื่อมใสศรัทธาในมารดาแห่งเทพธิดาเอ๋ย มันถึงเวลาแล้วที่พวกเจ้าจะต้องยืนหยัดอย่างแน่วแน่และรักษาเกียรติของท่านมารดาแห่งเทพธิดา ปาฏิหาริย์นี้มีไว้เพื่อช่วยให้พวกเราบรรลุจุดประสงค์ของเรา ท่านผู้นั้นได้อวยพรต่อพวกเรา ปกป้องพวกเราจากเสียงสวดอันโสมมของสัตว์ประหลาดเหล่านั้นแล้ว!”

“ท่านมารดาแห่งเทพธิดากำลังมองดูพวกเราอยู่ในขณะนี้ นี่เป็นโอกาสของพวกเจ้าที่จะพิสูจน์ตัวเอง พิสูจน์ในศรัทธาของพวกเจ้า จงลุกยืนเคียงข้างข้า พวกเราจะขับไล่สิ่งมีชีวิตอันน่าสะอิดสะเอียนเหล่านี้ออกไปด้วยพรที่ท่านมอบให้แก่เรา!”

เด็กหนุ่มผมดำยกแขนขึ้นราวกับเป็นเทพเจ้าที่กำลังโอบกอดมวลชน

ทุกคนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงเชียร์และเสียงกู่ร้องแห่งสงครามออกมา การเปิดเผยตัวตนของทูตศักดิ์สิทธิ์ได้ปลุกพลังศรัทธาของเหล่าสาวก พวกเขาจ้องไปยังสัตว์ประหลาดที่ยืนอยู่ข้างหน้าด้วยดวงตาอันแดงก่ำเต็มไปด้วยแรงใจ

ภายในบรรยากาศอันร้อนระอุ ในที่สุดเด็กหนุ่มผมดำก็ออกคำสั่งอีกครั้ง

“กำจัดพวกมันซะ!”