บทที่ 263 การสืบสวน

ภายในเวลาเพียงแค่ชั่วโมงเดียว เมืองไห่ชิงก็กลายเป็นฝันร้ายสำหรับบรรดาจอมยุทธ์ สัตว์เลี้ยงของพวกเขาจำนวนหลายร้อยตัวถูกฆ่าตายด้วยความโหดเหี้ยม ส่วนเจ้านายของพวกมันก็ตกอยู่ในอาการบาดเจ็บสาหัส

ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร?

ที่น่าประหลาดใจอีกอย่าง ก็คือกองกำลังทหารที่ปกติจะหลีกเลี่ยงพวกเขา ในขณะนี้กลับเกิดความกล้าหาญอย่างบ้าคลั่ง เมื่อพบเห็นสัตว์เลี้ยง ทหารเหล่านั้นก็จะรีบยิงทันที โดยเฉพาะบริเวณดวงตาราวกับว่าถึงจะฆ่าไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้ตาบอดได้

ไม่มีใครอยากเลี้ยงสัตว์ร้ายตาบอด เจ้านายของมันมีแต่ต้องส่งมันลงนรกเท่านั้น

มีผู้คนจำนวนมากที่รู้สึกเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง บางคนได้แต่คาดเดาว่าใครกันนะที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้? ในโลกยุทธภพจะมีใครกันที่ออกคำสั่งได้โหดร้ายถึงเพียงนี้? แล้วคำตอบก็ได้เปิดเผยออกมา

คนที่รู้คำตอบตัวเย็นไปถึงไขกระดูก ในเมืองไห่ชิงมีสัตว์เลี้ยงรวมตัวกันอยู่จำนวนมาก ไม่มีทางที่จะกวาดล้างได้หมดในเวลาอันสั้น ขณะนี้จอมยุทธ์ผู้เป็นเจ้านายของพวกมันกำลังพาสัตว์เลี้ยงของตนเองอพยพออกไปนอกเมืองด้วยความตื่นตระหนก

ฉู่ชวิ๋นและปันจือหาวยืนอยู่บนชั้นดาดฟ้าของตึกที่สูงที่สุดในเมืองไห่ชิง พวกเขากำลังมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ด้วยสายตาเยือกเย็น

ปันจือหาวยืนตัวตรง เช่นเดียวกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่รอบตัวเขาในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเคารพนับถือ

“หลังจากนี้ ส่งทหารออกไปสืบข้อมูลของซามูไรพเนจรพวกนั้น อย่าให้พวกมันรู้ตัว อย่าปะทะกับพวกมันด้วยตัวเองเด็ดขาด ถ้าพบเจอพวกมัน ให้รีบรายงานกลับมาหาฉันที” นายทหารธรรมดาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกซามูไรพเนจรแน่นอน

เมื่อเหลยเป้าเดินเข้ามาเห็นคนที่กำลังอพยพออกนอกเมือง เขาก็ขยับกระบองในมือด้วยความหมั่นเขี้ยวและพูดว่า “เจ้าพวกนี้รีบหนีกันไวเหลือเกิน”

ในไม่ช้า เหยียนชง จิ่วโยวและแม่หม้ายสาวก็กลับมาแล้ว

“ท่านเจ้าวังคะ” แม่หม้ายสาวเดินเข้ามายื่นส่งดาบสั้นคืนให้ชายหนุ่มด้วยความนอบน้อม

“เธอเก็บเอาไว้เถอะ” ฉู่ชวิ๋นพูด อาวุธวิเศษเหล่านี้เทียบไม่ได้เลยกับความซื่อสัตย์ของบริวารเขา

แม่หม้ายสาวรีบตอบรับด้วยความดีใจทันทีว่า “ขอบคุณค่ะ ท่านเจ้าวัง”

ดวงตาที่สวยงามของจิ่วโยวกระพริบปริบ ๆ ก่อนที่เด็กหญิงจะหัวเราะออกมาเบาๆ

“หัวเราะอะไร?” ฉู่ชวิ๋นมองหน้าเธออย่างไม่เข้าใจ

จิ่วโยวจ้องมองหน้าเขาแล้วยิ้มกว้างก่อนตอบว่า “ท่านเจ้าวังค่าาาา”

เฮ้อ!

ฉู่ชวิ๋นตกตะลึงจนยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ในยามปกติเขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย แต่เมื่อได้ยินจิ่วโยวพูดคำว่า ‘ท่านเจ้าวังค่าา’ ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาชอบกล เหมือนเธอกำลังเลียนแบบ หยานอี้ หวู่ปู้ซือ ที่เรียกเขาว่าท่านเจ้าวัง

“หรือจะเรียกว่านายท่านไปเลยดีล่ะ ดูเป็นมิตรและสูงส่งดี” เหลยเป้าหัวเราะออกมาบ้าง

แม่หม้ายสาวหันไปมอง “ฟังดูหยิ่งนิดหน่อยนะ เหมือนพวกมาเฟียเลย แต่ยังไงซะ ไม่ว่าจะเป็นท่านเจ้าวังหรือนายท่าน พวกเราก็ล้วนแต่อยู่ภายใต้คฤหาสน์ตระกูลฉู่”

เหยียนชงพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่แม่หม้ายสาวพูด

“จะเรียกอะไรก็เรียกไปเถอะ!” ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นัก มันก็แค่ชื่อเรียกตำแหน่งของเขา ไม่เห็นจะเป็นเรื่องสำคัญอะไร

“นายท่านได้ข่าวเรื่องซามูไรพเนจรพวกนั้นหรือยังครับ? กระบองของผมมันอยากกินเลือดคนอีกแล้ว” เหลยเป้าพูดเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว พร้อมกับแลบลิ้นเลียริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว

“กำลังยังหาข้อมูลอยู่” ดวงตาของฉู่ชวิ๋นปรากฏความเย็นเยียบขึ้นมา

“พวกมันกล้าโจมตีค่ายทหารแบบนี้ อย่าหวังว่าจะรอดชีวิตกลับไปได้!”

“แต่ทำไมพวกมันถึงต้องมาไกลถึงประเทศจีนด้วย?” เหยียนชงขมวดคิ้ว

“ไม่ว่าพวกมันจะมาทำไม แค่ฆ่าให้ตายก็พอแล้ว” เหลยเป้าพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก

“ไม่ เหยียนชงพูดมีเหตุผลอยู่นะ โลกของพวกเราเปลี่ยนไปแล้วแม้เดี๋ยวนี้มีชาวต่างชาติอยู่เต็มไปหมด แต่การที่พวกมันเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงประเทศจีน ย่อมต้องวางแผนอะไรอยู่อย่างแน่นอน” ฉู่ชวิ๋นพูดออกมาอย่างครุ่นคิด

“หรือจะเกี่ยวกับโบราณสถานที่อยู่นอกเมืองคะ?” แม่หม้ายสาวกล่าว

“ฉันเกรงว่าโบราณสถานพวกนั้น ไม่น่าคุ้มค่าให้พวกมันเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมานะ” ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้วและพูดอย่างเฉียบคม “แต่อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น บางทีอาจมีบางอย่างที่พวกมันต้องการในโบราณสถานนั่นก็ได้”

ข่าวเรื่องการค้นพบถนนโบราณในเมืองไห่ชิงแพร่กระจายไปทั่วโลกเป็นเวลาเกือบ 2 เดือนแล้ว

ซากปรักหักพังโบราณแห่งนี้ผิดปกติมาก มันจะปรากฏตัวขึ้นแค่เพียงเดือนละครั้งเท่านั้น โดยจะเปล่งแสงสว่างเป็นรัศมีไกลหลายกิโลเมตร กลายเป็นเหมือนเนินเขาที่สว่างไสวลูกหนึ่ง

“แต่ไม่ว่าพวกมันจะมาเพื่ออะไร ก็อย่าหวังว่าจะได้รอดกลับออกไปเลย” ฉู่ชวิ๋นจ้องมองบรรดาจอมยุทธ์ที่กำลังอพยพไปนอกเมือง เมื่อสัตว์เลี้ยงพวกนั้นริมฝีปากของเขาบิดตัวเป็นรอยยิ้ม

โลกใบนี้เปลี่ยนไปแล้วและจำนวนของจอมยุทธ์ก็เพิ่มมากขึ้น กฏหมายของโลกไร้ประโยชน์ต่อพวกจอมยุทธ์ คนธรรมดาไร้พลังจะป้องกันตัวเอง ทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา แต่จิตใต้สำนึกบอกฉู่ชวิ๋นว่า เขาควรคืนสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยให้แก่ชาวเมืองที่เป็นคนธรรมดา

อาจเพราะกระดูกมังกรบรรพบุรุษหรืออาจเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่เขากลับมายังโลก

จักรพรรดิอ๋าวฮวงเคยพูดเอาไว้ การล่มสลายของบรรพบุรุษมังกรรุ่นแรกเกี่ยวข้องกับการคุ้มครองของคนทั่วไป

จักรพรรดิอ๋าวฮวงขอให้ฉู่ชวิ๋นช่วยปกป้องคนธรรมดา ในตอนนั้นชายหนุ่มไม่ได้รับปากอะไร แต่ตอนนี้มันเป็นสิ่งที่เขาควรทำไม่รู้ทำไมเขาคิดแบบนี้

ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ฉู่ชวิ๋นไม่สนใจอะไร เขาไม่สนใจชีวิตผู้คน ตอนอยู่อีกโลก เขาอำมหิตมากกว่านี้เป็นร้อยเท่าพันเท่า เขาที่ได้ครองตำแหน่งจักรพรรดิเซียนโดยเริ่มจากจอมยุทธ์กระจอก ๆ เส้นทางชีวิตของเขาเต็มไปด้วยกองกระดูกและเลือดของคนตาย

แต่เมื่อได้กลับมาอยู่โลกมนุษย์ ชีวิตของฉู่ชวิ๋นก็เรียบง่ายขึ้นแต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป

ตัวอย่างเช่น ถ้าถูกกระทำ ก็ต้องแก้แค้น!

“ท่านเจ้าวังครับ พวกเราไปสืบข้อมูลของซามูไรพเนจรด้วยดีไหมครับ?” เหยียนชงขอคำแนะนำ

ฉู่ชวิ๋นไตร่ตรองสักครู่แล้วก็พยักหน้าเล็กน้อย

เหยียนชง และคนอื่น ๆ ก็เดินจากไป

ฉู่ชวิ๋น จิ่วโยวและปันจือหาวกลับไปรอฟังข่าวอยู่ที่ค่ายทหาร

เดือนที่แล้วซากปรักหักพังโบราณปรากฏตัวขึ้นมาในวันที่ 15 วันนี้ซึ่งวันนี้ก็วันที่ 13 แล้ว เท่ากับเหลือเวลาอีกแค่เพียง 2 วันเท่านั้น

ลางสังหรณ์ของฉู่ชวิ๋นดีกว่าคนธรรมดามากเนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงฟ้าดิน เขารู้สึกไม่ดีในใจของเขา

ในเย็นวันนั้น เหลยเป้าและแม่หม้ายสาวทยอยกลับมาตามลำดับ แต่ไม่นานหลังจากนั้น โทรศัพท์มือถือของฉู่ชวิ๋นก็มีข้อความเข้า ปรากฏว่าเป็นเหยียนชงส่งรูปถ่ายมาให้เขา มันเป็นรูปของโรงงานร้างแห่งหนึ่ง แต่ภาพถ่ายพร่ามัวไม่ชัดเจน

“โทรกลับไม่ติดเลยค่ะ” แม่หม้ายสาวพยายามจะโทรกลับไปหลายรอบ แต่ทุกครั้งระบบก็ตัดเข้าสู่การฝากข้อความ

“ในรูปมันคือที่ไหนกัน?” ฉู่ชวิ๋นถามข้อมูลจากปันจือหาว

“โรงงานพวกนี้จะตั้งอยู่ในเขตตะวันตกของเมืองไห่ชิงครับ แต่โรงงานร้างมีอยู่มากมายเหลือเกิน ดูจากรูปถ่ายแค่รูปเดียว เราไม่สามารถบอกได้เลยว่ามันเป็นโรงงานไหน” ปันจือหาวตอบ

“บอกให้ทุกคนไปตรวจค้นโรงงานทุกแห่งที่อยู่ในเขตตะวันตกเดี๋ยวนี้ !!” ฉู่ชวิ๋นออกคำสั่ง

ปันจือหาวไม่กล้าเชื่องช้า รีบเดินออกไปทำตามคำสั่งทันที

“ฉันเองก็จะไปเหมือนกัน พวกนายรีบตามมาด้วย” เมื่อพูดจบแล้วร่างของฉู่ชวิ๋นก็หายวับไปกลางอากาศ

……

……

เขตตะวันตกของเมืองไห่ชิง คนผู้หนึ่งกำลังหลบหนีอย่างทุลักทุเล เลือดสีแดงสดไหลหยดเป็นทางอยู่ด้านหลังเขา

คนผู้นั้นก็คือเหยียนชง เขาบาดเจ็บสาหัส มีบาดแผลเปิดกว้างจากบริเวณหัวไหล่จนถึงช่องท้อง

ด้านหลังเขา มีคนอีกหลายคนกำลังวิ่งตามมา โดยอาศัยการแกะรอยจากหยดเลือดบนพื้น

บาดแผลที่อยู่บนตัวเหยียนชงกินลึกมากเกินไป ไม่สามารถใช้ผ้าพันแผลห้ามเลือดได้

“บัดซบ” เหยียนชงสบถออกมา เมื่อเสียเลือดเยอะเกินไปก็เริ่มรู้สึกเวียนหัวแล้ว ขาของเขาเริ่มไม่มีแรง จำเป็นต้องเก็บดาบกลับเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ

“บาดเจ็บขนาดนั้นมันหนีเราไม่รอดแน่” หนึ่งในกลุ่มคนผู้ไล่ล่าพูดออกมาเมื่อมองรอยเลือดบนพื้น

“¥%%@……” ชายอีกคนหนึ่งที่ถือดาบยาวพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ

“มัตสึคาว่าคุง ไม่ต้องห่วงหรอก บาดเจ็บสาหัสแบบนี้ มันคงหนีไปได้ไม่ไกล”

“@¥%……”

“ไม่ต้องห่วง ไม่ว่ามันเป็นใครคนตายก็บอกที่อยู่ของพวกเราไม่ได้อยู่แล้ว”

กลุ่มคนผู้ไล่ล่าพูดคุยกันไป แต่ความเร็วในการไล่ตามไม่ได้ลดลงเลย

“มันอยู่ข้างหน้านั่น” ใครคนหนึ่งตะโกนขึ้น

ร่างของเหยียนชงปรากฏขึ้นในสายตาของพวกเขา เป็นเพราะว่าเหยียนชงบาดเจ็บหนักมากเกินไป ทำให้เคลื่อนไหวได้เชื่องช้าเกินไปและรอยเลือดที่หยดอยู่บนพื้นก็เป็นสิ่งที่สามารถแกะรอยได้อย่างง่ายดาย

เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นที่ข้างหลังเขา เหยียนชงก็ยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น เขารู้ว่าตนเองหนีต่อไปไม่ได้แล้วจึงได้หันกลับไปเผชิญหน้าผู้ตามล่า

“แกเป็นใคร? มาที่นี่ทำไม?” หนึ่งในผู้ตามล่าถาม

เหยียนชงหัวเราะเยาะ แล้วตอบว่า “ฉันก็เป็นพ่อพวกแกไงล่ะ”

อีกฝ่ายหนึ่งกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “จะตายอยู่แล้ว ยังกล้าเล่นลิ้นอีกเหรอ?”

“ฉันรู้ แต่ฉันแค่ก็อยากทำอะไรบ้างก่อนตาย” เหยียนชงพูดอย่างตรงไปตรงมา

“แกอยากตายไปพร้อมกับคำพูดไร้สาระพวกนี้หรือไง”

“ยังไงฉันก็ต้องตาย แต่ถ้าพวกแกเรียกฉันว่าพ่อ ฉันจะมีความสุขมาก” เหยียนชงยกมือปาดเลือดออกจากริมฝีปากและยิ้มกว้าง

“แกบังคับให้ฉันต้องฆ่าแกเองนะ” อีกฝ่ายหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงอำมหิต

“จะฆ่าก็รีบเข้ามาฆ่า พวกแกนี่พูดมากเหมือนพวกประตูวิญญาณสลายเลยนะ”

ดวงตาของฝ่ายตรงข้ามเป็นประกายเย็นเยียบ “ตกลงว่าแกมาตามหาพวกเราใช่ไหม” เขาถาม

“ถามอะไรโง่ ๆ ไม่งั้นฉันจะมาที่โสโครกแบบนี้ทำไมกัน?” เหยียนชงหัวเราะเยาะ

“แกเป็นใครกันแน่? แกเจอที่นี่ได้ยังไง?”

ความเจ็บปวดบนสีหน้าของเหยียนชงทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เขากัดฟันพูดออกมา “ถ้าบอกว่าฉันสะกดรอยพวกแกมาตลอด แกจะเชื่อไหมล่ะ?”

“เป็นไปไม่ได้” อีกฝ่ายหนึ่งปฏิเสธ

“ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ตอนบ่ายแกเดินทางเข้าไปที่ตัวเมืองและรับเขามาด้วย ก่อนที่จะมาที่นี่ ถูกไหมล่ะ?” เหยียนชงยกมือชี้ไปทางชายคนหนึ่ง

เมื่อได้ยินคำพูดของเหยียนชง สีหน้าของชายทั้งสองคนก็เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากสิ่งที่เหยียนชงพูดออกมาถูกต้องทุกประการ

“ขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่า ถ้าสู้กันตัวต่อตัว พวกแกได้ตายเหมือนหมาข้างถนนไปแล้ว” เหยียนชงระเบิดเสียงหัวเราะ กลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าเขาเหล่านี้แต่ละคนมีฝีมือทัดเทียมกับเขา ถึงแม้เหยียนชงจะมีอาวุธวิเศษอยู่ในมือ แต่ถ้าโดนรุมเล่นงาน เขาก็ไม่อาจต่อกรกับพวกมันได้เลย แค่การโจมตีจากซามูไรคนเดียว ลำไส้ของเขาก็แทบจะไหลออกมาจากท้องแล้ว

“บอกมาว่าแกเป็นใครกันแน่?” อีกฝ่ายถามอย่างเยือกเย็น เขาถามคำถามนี้ออกมาหลายรอบแล้ว

“ไม่สำคัญหรอกว่าฉันเป็นใคร ที่สำคัญก็คือคืนนี้พวกแกอย่าหวังเลยว่าจะรอดชีวิตกลับไปได้” เหยียนชงหัวเราะเสียงดัง ก่อนที่จะกระอักเลือดออกมาจากปากอีกคำใหญ่ เขาเชื่อว่าฉู่ชวิ๋นกำลังรีบเดินทางมาที่นี่อย่างแน่นอน!

“ในเมื่อแกไม่ยอมตอบคำถามดี ๆ ฉันก็จะส่งแกลงนรกเดี๋ยวนี้แหละ” ไม่มีการถามคำถามอีกต่อไป ยิ่งล่าช้ามากเท่าไหร่ ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อพวกเขามากเท่านั้น

ผลั่ก!

ฝ่ายตรงข้ามสะบัดฝ่ามือ พลังลมปราณรวมกันเป็นแส้ พุ่งใส่เหยียนชง

เหยียนชงพยายามเสี่ยงโชคหลบ แต่บาดแผลของเขาเต็มไปด้วยเลือดทำให้ขยับไม่สะดวกเหยียนชงจึงจำเป็นต้องเรียกดาบออกมาใช้งานอีกครั้ง

ตู้ม!

แส้ลมปราณสีขาวพุ่งเข้าปะทะกับตัวดาบในมือเหยียนชง ระลอกคลื่นอันน่าสยดสยองระเบิดแตกกระจายออกไป เหยียนชงกระเด็นไปไกลหลายร้อยเมตร ทั่วร่างของเขาย้อมไปด้วยเลือดสีแดงสด แต่มือของเหยียนชงยังคงกำด้ามจับดาบไว้แนบแน่น

เหยียนชงรู้ตัวว่าตนเองใกล้จะหมดสติแล้ว โลกทั้งใบหมุนคว้าง ดวงตาของเขาพร่ามัว เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาไม่หยุด เหยียนชงยิ้มออกมาด้วยความโศกเศร้าแล้วเปลือกตาของเขาก็ค่อย ๆ หรี่ปิดลงไปในที่สุด

ดวงตาของชายหนุ่มที่อยู่ในคณะผู้ตามล่าเต็มไปประกายแวววาว สายตาของเขาจ้องมองที่อาวุธวิเศษในมือของเหยียนชง พวกเขาอยากได้มันตั้งแต่แรกเห็นแล้ว

แต่กลับมีใครอีกคนหนึ่งเคลื่อนไหวเร็วกว่าเขา คนผู้นั้นเดินไปถึงข้างกายของเหยียนชงและหยิบดาบขึ้นมาจากมือของเหยียนชงขึ้นมา

“นี่มันหมายความว่ายังไงกัน มัตสึคาว่าคุง?”

“@¥%&*……”

ชายหนุ่มรับฟังภาษาต่างประเทศด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

“มัตสึคาว่าคุง ผู้ชายคนนี้ผมเป็นคนฆ่า ดาบของเขาก็ต้องเป็นของผมสิ”

“โม่เฉิงจุน ผู้ชายคนนี้สะกดรอยตามนายมา ถ้าฉันไม่ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส นายจะมีปัญญาฆ่าเขาหรือเปล่า ดาบนี้ต้องเป็นของฉัน” ชายชาวต่างชาติพูดภาษาจีนอย่างกระท่อนกระแท่น แต่เต็มไปด้วยความเหยียดหยามทั้งในน้ำเสียงและแววตาของเขา