อาเหม็ดสับสนอยู่สักพัก ในที่สุดก็ได้บทสรุปที่เขาคิดว่าสอดคล้องกับตรรกะ
จะต้องเป็นเพราะว่าเสี่ยวเชี่ยนแย่งสุ่ยเซียนผู้หญิง ‘ของเขา’ ไปแน่นอน เขาถึงได้เป็นแบบนี้ ใช่ ต้องใช่แน่
อาเหม็ดหาเหตุผลที่คิดว่าว่าเพอร์เฟคให้ตัวเอง จากนั้นก็นั่งก่อไฟต่อด้วยท่าทางที่เขาคิดว่าเท่ห์สุดๆแล้ว เขาต้องการทำให้เฉินเสี่ยวเชี่ยนเห็นว่า เขาก็ทำได้
แต่ในสายตาของเสี่ยวเชี่ยนในเวลานี้เห็นเป็นแบบนี้ สภาพแวดล้อมโดยรอบของบ่อตกปลานั้นเงียบสงัด คลื่นน้ำในทะเลสาบสอดรับกับต้นหลิวที่พลิ้วไปตามสายลม อวี๋เสี่ยวเฉียงที่ออร่าจับอยู่ในชุดแบรนด์เนมที่เธอซื้อให้ หล่อเสียจนทำลายล้างทุกสิ่ง ดูยังไงก็ไม่เบื่อ
ส่วนอาเหม็ดที่นั่งอยู่ข้างๆขาอวี๋หมิงหลางที่กำลังก่อไฟเพื่อพิสูจน์ตัวเองอยู่นั้น ได้ถูกเสี่ยวเชี่ยนเบลอไว้ เหมือนกับภาพถ่ายหน้าชัดหลังเบลอ มีแค่อวี๋หมิงหลางเท่านั้นที่โดดเด่น อย่างอื่นเป็นแค่พื้นหลัง ไม่ต้องสนใจ
“เอาเบ็ดไป ฉันจะไปโทรหาหลิวเหมย นายต้องกู้หน้าให้ฉัน ห้ามแพ้สุ่ยเซียน” เสี่ยวเชี่ยนยื่นเบ็ดให้อวี๋หมิงหลาง
“ถ้านายแพ้ ต้องยกผู้หญิงของนายให้ฉันหนึ่งวันเป็นไง ฉันคิดถึงความรู้สึกที่ได้นอนเตียงเดียวกับเสี่ยวเชี่ยน” สุ่ยเซียนถามอวี๋หมิงหลาง
เธอพูกกึ่งล้อเล่นกึ่งเอาจริง นับตั้งแต่เสี่ยวเชี่ยนแต่งกับอวี๋หมิงหลางแล้ว เธอก็ไม่มีโอกาสทำเหมือนตอนที่เพิ่งรู้จักเสี่ยวเชี่ยนอีกเลย ที่นอนคุยความลับที่บอกใครไม่ได้บนเตียงกัน
อาเหม็ดไอสำลักควัน ขณะเดียวกันก็หูผึ่ง โวะ แบบนี้ก็ได้เหรอ ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนแบบนี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา
“งั้นถ้าคุณแพ้ ยกผู้ชายของคุณให้ผมวันนึงเป็นไง” อวี๋หมิงหลางถามสุ่ยเซียนกลับ
“เขา…” คนแรกที่สุ่ยเซียนนึกถึงคือจูขี้บ่น อวี๋หมิงหลางพยักหน้า เขาอยากดื่มกับจูขี้บ่นนานแล้ว อยากจะมอมเหล้าเอาให้หมอบคาโต๊ะหรือไม่ก็ให้ร้องเพลงให้เขาฟังตอนเมาๆ
อาเหม็ดตัวเกร็ง สายตาที่มองอวี๋หมิงหลางเกิดความสับสน หรือผู้ชายคนนี้ไม่เพียงแต่จะชอบผู้หญิง ผู้ชายก็ได้งั้นเหรอ
ส่วนเสี่ยวเชี่ยนมองสุ่ยเซียนกับอวี๋หมิงหลางท้าพนันกัน แต่มือก็ไม่ได้ว่าง กดโทรไปหาหลิวเหมย
เรื่องตกปลาเธอสู้ไม่ได้จริงๆ แต่เรื่องตกคนน่ะ ถนัดมาก คาดว่าครอบครัวตรรกะประหลาดของแฟนหลิวเหมยคงกิน ‘เหยื่อ’ ที่ประธานเชี่ยนหย่อนลงไปแล้ว ตอนนี้น่าจะติดเบ็ดแล้วมั้ง
หลิวเหมยในเวลานี้กำลังไปเดินเที่ยวกับครอบครัวหม่า เพิ่งออกมาจากร้านอาหาร เนื่องจากเสี่ยวเชี่ยนสั่งแล้วว่าห้ามเธอเลี้ยงเธอก็ไม่เลี้ยง หน้าของแม่หม่าลุ่ยบึ้งเสียยิ่งกว่าอะไรดี
หลิวเหมยรู้สึกอึดอัดแบบบอกไม่ถูก พ่อแม่ของหม่าลุ่ยในจินตนาการของเธอควรเป็นคนที่ใจดี ดูซื่อๆ แต่นี่พอกินข้าวกันเสร็จทำไมถึงรู้สึกว่ามันแปลกๆตรงไหนชอบกล
ความรู้สึกขัดใจแบบแปลกๆนี้มาจากท่าทางหยิ่งๆและความอยากรู้อยากเห็นมากเกินไปของครอบครัวนี้ ถึงแม้หลิวเหมยจะไม่รู้ว่าครอบครัวนี้จะทำตัวหยิ่งไปเพื่ออะไรก็ตาม
ปกติคำพูดบางอย่างที่พูดกับหลิวเหมย หลิวเหมยก็ไม่เก็บมาใส่ใจ แต่นับตั้งแต่เสี่ยวเชี่ยนชงชาดอกเก๊กฮวยเล่าเรื่องคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอดแล้วไปกระโดดตึกให้ฟัง บางสิ่งบางอย่างก็ดูเปลี่ยนไป พอได้ฟังคำพูดของครอบครัวหม่าอีกครั้งเธอกลับรู้สึกว่าทุกประโยคล้วนมีจุดประสงค์แอบแฝง
อย่างเช่น การแกล้งถามถึงเรื่องทรัพย์สินของฝ่ายหญิงแบบอ้อมๆหมายความว่าไง บอกว่ามีธรรมเนียมปฏิบัติอะไรบ้างที่ผู้หญิงต้องทำ อาทิ ให้ลุงของฝ่ายหญิงซื้อนั่นซื้อนี่ให้หมายถึงอะไร ให้น้าของฝ่ายหญิงซื้อนั่นซื้อนี่หมายถึงอะไร ไหนจะบ้านที่ต้องการให้ใส่ชื่อฝ่ายชายลงไปด้วย เพราะเขามีงานทำเป็นหลักแหล่ง มีกองทุนสำรอง เวลาซื้อบ้านจะได้สิทธิพิเศษ
เรื่องพวกนี้ประธานเชี่ยนไม่พูดออกไปตรงๆ ถึงบางครั้งเธอจะชอบสั่งสอน แต่เธอรู้ว่าถ้าพูดชัดเจนเกินไปหลิวเหมยฟังไม่เข้าหัวหรอก ดังนั้นเสี่ยวเชี่ยนจึงใช้วิธีพูดผ่านบุคคลที่สาม นั่นก็คือใช้เคสคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอดบอกหลิวเหมย
และชาดอกเก๊กฮวยกานั้นก็ได้เป็นอุปกรณ์ที่ใช้แทนสัญลักษณ์ของเรื่องนี้ในทางจิตวิทยา
ผลที่ได้นั้นก็เหมือนกับตอนที่ประธานเชี่ยนยุให้เจี่ยซิ่วฟางหย่า เธอพยายามเน้นเรื่องเซี่ยงไฮ้ไนท์กับกระโปรงสั่นจู๋อยู่ตลอด ซึ่งก็เป็นการล้างสมองอย่างหนัก
เสี่ยวเชี่ยนไม่กังวลหรอกว่าพอเธอออกมาแล้วหลิวเหมยจะโง่ถึงขนาดยกทุกอย่างให้ทางนั้น ชาดอกเก๊กฮวยที่เธอสั่งให้หลิวเหมยนั้นใช้เครื่องเตือนใจได้ดี คนไม่อยู่แต่ชาอยู่ ทุกครั้งที่เห็นชาคำพูดของประธานเชี่ยนก็จะไปปรากฏในสมองของหลิวเหมย
การเตือนทางอ้อมของประธานเชี่ยนได้ผลดีมาก หลิวเหมยเกิดความระแวงตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ รู้สึกว่าแปลกๆตรงไหนชอบกล ไม่ใช่แค่เรื่องบ้านนะ เรื่องอื่นๆที่ประธานเชี่ยนพูดมาก็ถูกหมด
ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนโทรไป หลิวเหมยกำลังสับสนกับชีวิต แม่หม่าลุ่ยพูดอะไรอยู่ข้างๆเธอฟังไม่เข้าหัวเลยสักนิด
หม่าชิงน้องสาวของหม่าลุ่ยกำลังลองกระโปรง พนักงานชมไม่หยุดปาก ชมหุ่นที่เหมือนมิชลินหนักเจ็ดสิบโลซะกลายเป็นนางแบบหุ่นเพรียว แม่หม่าลุ่ยดูป้ายราคาแล้วก็เห็นเป็นเลขสี่หลัก
เธอนึกถึงเงินปึกนั้นที่เสี่ยวเชี่ยนให้หลิวเหมย ในใจมีความคิดว่าตัวเธอมีเท่าไรฉันก็จะใช้เท่านั้น
ในช่วงจังหวะเวลาสำคัญแบบนี้ เสี่ยวเชี่ยนก็โทรมาได้พอดิบพอดี
“เหมยจื่อ…” น้ำเสียงของเสี่ยวเชี่ยนดูเนือยๆ เวลานี้เธอกำลังนั่งพิงต้นไม้ดื่มด่ำกับลมเย็นๆของหน้าร้อนพลางมองสุดหล่อนั่งตกปลาแบบชิลด์ๆ
ส่วน ‘อาเหม็ดภาพพื้นหลัง’ ที่กำลังรบกับเตาถ่านอยู่นั้น เสี่ยวเชี่ยนมองข้ามโดยอัตโนมัติ ตอนนี้เพื่อนสนิทกับผู้ชายของเธอล้วนอยู่ในระยะสายตา ประธานเชี่ยนรู้สึกแสนสบาย คล้ายกับแมวน้อยที่พอใจในตัวเองแล้ว
“พี่สะใภ้ มีอะไรเหรอคะ”
“ไปเดินซื้อของอยู่ใช่ไหม จ่ายเงินไปบ้างหรือยัง”
“ยังเลยค่ะ กำลังเลือกอยู่” หลิวเหมยเหลือบมอง หม่าชิงกำลังชี้บอกพนักงานเอาตัวนั้นตัวนี้ พนักงานดีใจมาก เสื้อผ้าที่หม่าชิงเลือกถูกพาดอยู่ที่แขน เดินตามหลังหม่าชิงไปเรื่อยๆ
“ไม่ต้องเลือกแล้ว รีบมานี่เร็ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
“หา พี่สะใภ้ เกิดอะไรขึ้นคะ”
หลิวเหมยพอได้ยินว่าเสี่ยวเชี่ยนเกิดเรื่องก็ไม่มีกะจิตกะใจคิดเรื่องอื่น
“ไม่ต้องถาม ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น รีบออกมาขึ้นแท็กซี่ แล้วเดี๋ยวพี่โทรหาอีกที จำไว้ว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
เสี่ยวเชี่ยนพูดจบก็วางสาย อวี๋หมิงหลางตกได้ปลาตัวใหญ่ สมกับเป็นทหารป่าเถื่อน ทักษะการเอาชีวิตรอดสูง
หลิวเหมยพอได้ยินเสี่ยวเชี่ยนพูดแบบนั้นก็ไม่มีเวลาคิดอะไรทั้งนั้น พอวางสายเธอก็เดินออก
“จะไปไหน” แม่หม่าลุ่ยถาม
หม่าลุ่ยกินข้าวเสร็จก็กลับไปที่ค่ายทหาร ตอนนี้เหลือแค่หลิวเหมยอยู่กับครอบครัวเขา
“ที่บ้านหนูเกิดเรื่องต้องขอกลับก่อนค่ะ” หลิวเหมยพูดจบก็ไม่สนว่าแม่หม่าลุ่ยจะมีท่าทีอย่างไร เธอวิ่งออกจากร้านทันที
แม่หม่าวิ่งไล่ตามหลิวเหมยไม่ทัน ทำได้แค่ยืนมองหลิวเหมยวิ่งลับไป
“ตัวนี้สวยไหมแม่” หม่าชิงเดินออกมาจากห้องลองเสื้อ เธอลองชุดใหม่อีกชุด
แม่หม่าสีหน้าดูแย่มาก “น่าเกลียดจะตาย ไม่ซื้อแล้ว”
พนักงานยิ้มไม่ออก
เดินเลือกตั้งนาน ทำไมอยู่ๆมาบอกจะไม่ซื้อ
คนจ่ายเงินหนีไปแล้วจะให้ซื้อยังไง
“เขาไปไหนแล้วอะ” หม่าชิงไม่เห็นหลิวเหมยจึงคิดว่าคงไปห้องน้ำ
“หนีไปแล้ว…” แม่หม่ากัดฟันพูด
หา หม่าชิงรู้สึกเหมือนถูกกรีดหัวใจ แล้วเสื้อผ้าของเธอล่ะ