บทที่ 289
บทที่ 289

เหลียงฉีไม่ฟังคำตักเตือนของหยวนยู่แม้แต่น้อย เขาสั่งให้กองทัพเคลื่อนทัพเข้าไปในหุบเขาทันที แต่ทันใดนั้น ขุนนางจากดูกีก็ได้เข้ามาพร้อมกับยารักษามากมาย

มีไม่กี่คนเท่านั้นที่จะกล้าเข้าภูเขาแบบนี้ เพราะมันทั้งอันตรายและเดินทางลำบาก ด้วยมีแต่หน้าผาสูงชันมากมาย แถมยังมีควันพิษมากมายในหุบเขาที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายอีก ดังนั้นขุนนางจากรัฐดูกีผู้นี้จึงได้เอายาต้านพิษมาด้วยเสียมากมาย

การเคลื่อนทัพในหุบเขาลำบากกว่าในทะเลทรายหลายเท่าตัว โชคยังดีที่มีเสบียงอาหารและยารักษาจากทางดูกีมาสนับสนุน ไม่งั้นแล้วพวกเขาก็คงจะตายกันในภูเขาไปแล้ว

แต่ถึงกระนั้น พวกทหารก็ยังคงถูกงูและสัตว์มีพิษมากมายกัดในเวลาที่อยู่ในเขานั่นอยู่ดี

กองทัพชานชุยเดินทางฝ่าฟันทะเลทรายมานับ 10 วัน และเดินทางผ่านภูเขาอีก 15 วันเต็ม ก่อนจะเดินทางไปถึงประตูตง โดยในระหว่างนั้น พวกเขาไม่ได้พักเลยแม้แต่น้อย ด้วยพวกเขารีบร้อนเดินทัพเพื่อที่จะไปให้ทันเข้าร่วมศึกใหญ่ที่ประตูตง จนทำให้กองทัพของพวกเขาหายไปหลายหมื่น !

เมื่อเดือนก่อน กองทัพชานชุยมีกำลังพลที่เต็มเปี่ยม แต่มาครั้งนี้กองทัพของพวกเขาผอมแห้งและไร้เรี่ยวแรงยิ่งกว่าใคร ๆ เช่นเดียวกับใบหน้าซีดที่เต็มไปด้วยดินโคลนจนแทบไม่มีแรงถือธงแล้ว

การเดินทางจากเทียนหยวนต้องผ่านทั้งเบสซ่าและดูกีซึ่งมีความอันตรายเหนือกว่าใครจะคาดเดาได้ จนแม้แต่เหลียงฉีที่เชี่ยวชาญเส้นทางก็ยังหวาดหวั่น

แผนของซงหยวนคือการอ้อมไปโจมตีประตูตง

การเดินทางลำบากมาก แต่มันก็น่าจะทำให้พวกหนิงที่เฝ้าประตูอยู่ถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นกองทัพเฟิงปรากฏตัวใต้กำแพงพวกเขา

ด้วยการที่ประตูตงจะถูกรุกรานได้นั้นยากมาก ! เพราะมันตั้งอยู่ระหว่างภูเขาสองลูก และการที่จะโจมตีมันก็ต้องมาจากด้านหน้าและด้านหลังเท่านั้น

แต่เดิมเพราะประตูตงเป็นของเฟิงมาก่อน ดังนั้นมันจึงการป้องกันที่หนาแน่นมาก และทางตะวันตกก็มีกำแพงสูงใหญ่ที่แทบจะใส่คนไปได้ทั้งกองทัพ ในขณะที่ด้านตะวันออกมีแต่กำแพงเตี้ยกว่า !! …ทว่าหลังจากที่พวกหนิงได้ยึดครอง มันก็ทำให้ทางฝั่งตะวันออกกลายเป็นพื้นที่ของพวกหนิงไปโดยปริยาย

และเมื่อกองทัพชานชุยมาถึงประตูตง เหลียงฉีก็พลันสั่งให้ทหารของเขาพักอยู่ในภูเขาเพื่อเติมแรงที่ขาดหายไป ก่อนที่ตัวเขาจะทำการส่งสายลับออกไปเพื่อประเมินสถานการณ์รอบประตูตง

เพียงแค่พริบตา สายลับของเหลียงฉีก็พลันติดต่อกับสหายที่หลบซ่อนอยู่แถวนั้นได้ จนทำให้พวกเขาได้ทราบข่าวสำคัญเข้าให้ !

ตอนนี้ทหารของพวกหนิงมีเพียง 3 – 4 หมื่นนายเท่านั้น และมีแม่ทัพใหญ่อย่างจางเสี้ยวติง ส่วนที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือก็มีค่ายของพวกหนิงที่เรียกกันว่าจูเฟิงตั้งอยู่ โดยที่แห่งนั้นมีทหารมากกว่าหมื่นนายประจำการอยู่

เหลียงฉีพยักหน้าให้กับข้อมูลนี้ ด้วยดูเหมือนว่าพวกหนิงจะมีการป้องกันที่แข็งแกร่งมาก และถ้ากองทัพของพวกเขาเข้าจู่โจมที่ด้านหน้า พวกหนิงก็จะเข้าโจมตีด้านข้างได้ทันที ซึ่งหากเป็นแบบนั้นจริง งั้นแล้วกองทัพของพวกเขาจะต้องพังพินาศเป็นแน่ !

ในเวลานี้หยวนยู่ก็ยิ้มออกมา “ไอ้จูเฟิงอะไรนั่นอยู่ที่ตะวันออกเฉียงเหนือและใกล้กับกองทัพของเรามาก เหลียงฉี ข้าว่าพวกเราจะต้องจัดการเจ้าพวกจูเฟิงนั่นก่อนนะ”

เหลียงฉีกลอกตา “ทหารของข้าเดินทางผ่านเส้นทางที่ยากลำบากมาตั้งขนาดนี้ แล้วถ้าให้ไปสู้กับพวกจูเฟิงก่อน แล้วจะเอากำลังที่ไหนไปเข้ายึดประตูตงกัน ?”

หยวนยู่ยังไม่ยอมแพ้ “อย่าบอกนะว่าเราจะโจมตีประตูตงซึ่ง ๆ หน้า แล้วปล่อยให้พวกหนิงมันกระหนาบข้างพวกเรา ?”

เหลียงฉีนิ่งเงียบ ด้วยคำถามนี้มันจี้จุดเขามาก การปล่อยจูเฟิงเอาไว้เป็นเรื่องอันตรายมาก แต่ลำพังกองทหารของพวกเขาก็ไม่อาจกำจัดมันได้ทันทีเหมือนกันนี่ซิ !

จากนั้นไม่นานนัก เขาก็หันไปถามสายลับ “แม่ทัพคนไหนดูแลจูเฟิงอยู่ ? เขาเป็นใคร และมีความสัมพันธ์กับเสี้ยวติงยังไง ?”

แม่ทัพของจูเฟิงชื่อว่าจางเฟิงเป็นหลานของจางเสี้ยวติง แต่บอกได้เลยว่าจางเฟิงนั้นโหดร้ายกว่าเสี้ยวติงเสียอีก แถมยังบ้ากามอีก ตั้งแต่ที่เขามาประจำการที่นี่ ก็ได้ทำการปล้นชาวบ้านและข่มขืนผู้หญิงมานับไม่ถ้วนแล้ว

ซ่งเทียนมอบพื้นที่ตลอด 2 พันลี้ให้กับพวกหนิง และให้ชาวเมืองเข้าไปในนั้น แต่ก็ยังมีคนที่ไม่อยากจะย้ายไปอยู่ดี ทำให้พวกเขาตกเป็นเป้าหมายในการกวาดล้างของจางเฟิงไปโดยปริยาย

เหลียงฉีเหมือนจะคิดอะไรออกได้ “เยี่ยมเลย !”

พวกแม่ทัพต่างก็ตกตะลึงกับท่าทีนั้น และแม้แต่หยวนยู้ก็เลิกคิ้วขึ้นแล้วมองอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง

เหลียงฉียิ้มออกมา “ข้ามีแผนแล้ว !”

“โฮ่ ? งั้นบอกมาเลย”

ฉับพลันนั้น เหลียงฉีก็ได้หันมองหยวนยู่แล้วถามด้วยความเหยียดหยาม “ทุกคนต่างก็คิดว่าแม่ทัพหยวนสามารถตะลุยเดี่ยวกองทัพนับหมื่นได้ ข้าว่ามันเกินจริงไปหน่อย ใช่ไหมเล่า ?”

“ไร้สาระ !” ชายเลือดร้อนหงุดหงิดกับท่าทางของอีกฝ่ายแล้วทุบโต๊ะอย่างดังพร้อมกับยืนขึ้น “เหลียงฉี ถ้าหากนี่ไม่ใช่เพราะคำสั่งของนายท่านล่ะก็ ป่านนี้ข้าคงตัดหัวเจ้าด้วยดาบเล่มใหญ่ของข้าไปแล้ว !”

“ใจเย็นก่อน ท่านแม่ทัพ” เหลียงฉีไม่สนใจในความโกรธของพ่อหนุ่มคนนี้และยิ้มออกมา “ข้าจะให้ภารกิจกับแม่ทัพหยวนและถ้าหากท่านทำสำเร็จ ก็รับรองเลยว่าประตูตงจะตกเป็นของพวกเราอย่างแน่นอน !”

“ถ้าเจ้ามีอะไรก็พูดมาเร็ว ๆ จะยึกยักทำไมกัน ?”

“ตกลง งั้นข้าต้องฝากท่านแล้วนะ รบกวนท่านแม่ทัพไปเด็ดหัวจางเฟิงให้หน่อย !”

“แค่นั้นเองหรือ ?” หยวนยู่กะพริบตาปริบๆ

“แค่นั้นแหละ !”

“ง่ายเกินไปไหม ? แล้วเจ้าจะให้กำลังทหารกับข้าเท่าไหร่ ?”

เหลียงฉีครุ่นคิดแล้วชูนิ้วออกมา 5 นิ้ว

“ห้าพัน ?” หยวนยู่ถาม

เหลียงฉีส่ายหัว

“ห้าร้อย ?”

เหลียงฉีก็ยังคงส่ายหัว

“ถ้างั้นเท่าไหร่ ?”

“ข้าให้มากทที่สุดคือ ห้าสิบ”

หยวนยู่ส่ายหัวด้วยความโกรธ “นี่เจ้าพูดบ้าอะไรออกมารู้ตัวบ้างไหม ? เจ้าอยากให้ข้ากับทหาร 50 นายเข้าโจมตีปราการที่มีทหาร 1 หมื่นนายหรือ ?”

เหลียงฉีกะพริบตา “แม่ทัพหยวนเก่งกาจสามารถ กับอีกแค่ทัพนับหมื่นจะเป็นไร ? ข้าเชื่อว่าท่านทำได้แน่ ถ้าฝีมือของท่านไม่ใช่ลมปาก”

หยวนยู่พูดไม่ออก ดวงตาของเขาเบิกกว้างแล้วโบกมือ “งั้นข้าไปคนเดียวก็พอ”

“ไม่ได้ ! ท่านแม่ทัพจะไปคนเดียวไม่ได้ !”

“อะไรอีก ?”

ในวันนั้นกองทัพชานชุยได้ลดหายไปบางส่วน ด้วยมีกำลังทหารออกจากค่ายตรงไปยังประตูตง

วันต่อมากองทัพชานชุยก็ยังไม่ทำการโจมตีเช่นเคย และปล่อยให้ทหารซุ่มกำลังรออยู่ที่เดิม

หยวนยู่ไม่รู้ว่าพวกทหารนั่นเป็นของเหลียงฉี เขาถามอีกครั้งแต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ จนวันที่สามเหลียงฉีก็นำเสื้อผ้ามาให้พวกเขาเปลี่ยนไปก่อนจะเข้าไปโจมตีจูเฟิง

หยวนยู่หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาดู “นี่มันชุดชาวบ้านนี่ ?”

“ถูกต้อง ข้าจะให้ท่านปลอมเป็นชาวบ้านไปฆ่าจางเฟิง” เหลียงฉียืดอกออกมา “แล้วข้าก็ได้หาคนไปกับท่านมาให้แล้ว”

หยวนยู่มองตามออกไปนอกกระโจม ก่อนเห็นพวกทหารอีกหยิบมือที่แต่งกายเหมือนกับพวกชาวบ้านเปี๊ยบ

ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็คงต้องเล่นตามน้ำไปก่อน หยวนยู่ไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว “ข้าจะต้องจัดการพวกมันเมื่อไหร่ ?”

“ตอนนี้เลย”

“หา ? ตอนเช้าเนี่ยนะ !”

“อะไรเล่า ท่านแม่ทัพกลัวแดดหรือไง ?”

หยวนยู่กัดฟันกรอดแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที