บทที่ 290
บทที่ 290

ได้เมื่อฟังแผนของเหลียงฉี หยวนยู่ก็พลันเปลี่ยนชุดอย่างไม่ปริปากอะไร

ก่อนจะออกเดินทาง เหลียงฉีก็ได้เตือนเขาว่าอย่าเผยตัวตนที่แท้จริงออกไป โดบให้บอกไปว่าเป็นพวกชาวเมืองที่ทนจางเฟิงไม่ไหวก็เลยจะมาจัดการจางเฟิงด้วยตัวเอง หยวนยู่ขมวดคิ้วถาม “ทำไมล่ะ ? เจ้าจะให้ข้าทำบ้าอะไรกันแน่ ?”

เหลียงฉีหัวเราะออกมา “ทำตามแผนข้าเถอะน่า ถ้าหากทุกอย่างดำเนินการไปได้ด้วยดี พวกเราจะไปฉลองกันในเขตหน้าด่านประตูตง”

“โอ้ย ช่างมันก็แล้วกัน ทำก็ทำ !” หยวนยู่กลอกตาแล้วไม่ถามอะไรให้มากความอีก ก่อนจะพากองทัพขนาดเล็กของเขาเดินทางไปยังจูเฟิง

จูเฟิงเป็นแค่ป้อมปราการ ดังนั้นมันจึงไม่มีขนาดที่ใหญ่หรือเล็กเกินไป และเพราะพวกหยวนยู่แต่งตัวด้วยชุดธรรมดา พวกเขาจึงไม่เป็นที่สะดุดตาในระหว่างที่กำลังเดินทาง

ทำให้หยวนยู่สามารถเดินนำทุกคนเข้าไปยังปราการจูเฟิงได้อย่างไม่มีปัญหาใด

ทว่าเมื่อเข้าใกล้ พวกทหารยามก็พากันเข้ามาขวาง พวกเขายกหอกขึ้นกั้น ก่อนจะสำรวจพวกหยวนยู่ตั้งแต่หัวจรดเท้า และเพราะหยวนยู่มีผิวที่คล้ำ พวกเขาจึงคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นพวกชาวนา

“เจ้ามาทำอะไร ที่นี่ห้ามคนธรรมดาเข้านะรู้ไหม ?” นายกองถาม

หยวนยู่ตะโกนบอก “ข้ามาหาจางเฟิง”

ได้ยินแบบนี้นายกองหนิงก็ก้มหัวถาม “เจ้าเป็นใคร ?”

“ข้าคือฉาง… ชาวบ้านธรรมด๊า ธรรมดาน่ะ” หยวนยู่เกือบจะลั่นชื่อจริงออกไปแล้ว “ข้ามาคุยกับจางเฟิงให้แน่ใจว่าจะไม่มีการเก็บเสบียงจากพวกเราไปมากกว่านี้อีก เพราะแค่นี้พวกข้าก็ไม่มีอาหารจะกินอยู่แล้ว”

“ไร้สาระ ! ไม่มีทางที่คนธรรมสกปรกเช่นเจ้าจะได้เจอท่านแม่ทัพหรอก ถ้ายังคิดจะเข้ามาล่ะก็ ข้าจะฆ่าเจ้าซะ !” นายกองพูดแล้วชักดาบออกมา

“พูดเป็นเล่นน่า ข้านี่แหละจะฆ่าเจ้าก่อน” พูดจบเขาก็ต่อยเข้าไปที่ใบหน้าของนายกองหนิงผู้นั้น

ผัวะ !

หมัดนั้นหนักมากจนจมูกของนายกองยุบเข้าไป ทำให้เขาต้องกรีดร้องออกมาพร้อมกับเลือดที่ไหลริน

“บ้าเอ้ย ! กล้าดียังไงวะ !” พวกทหารที่อยู่รอบข้างก็รีบเข้ามาล้อมเอาไว้พร้อมอาวุธในมือ

หยวนยู่หลบหอกที่พุ่งเข้ามาแล้วใช้แขนกับขาเตะหัวทหารพวกนั้นจนสลบไป

ชายเลือดร้อนพุ่งเข้าไปคว้าหอกของพวกหนิง แล้วใช้มันในการสังหารพวกทหารหนิงที่เหลือจนหมดก่อนจะร้องตะโกน “พวกหนิงมันรังแกเรามากเกินไป ! เราจะไม่ทนแล้ว ! พวกเราขอตั้งตัวเป็นกบฏ !”

นายกองหนิงที่เห็นแบบนี้ก็รีบคลานเข้าไปในปราการด้วยความสั่นกลัวพร้อมตะโกน “ช่วยด้วย ! พวกเฟิงก่อกบฏแล้ว ! ใครก็ได้ออกมาที !”

หลังจากสิ้นเสียงตะโกน ก็ตามมาด้วยความวุ่นวายในปราการ ด้วยมีพวกทหารมากมายวิ่งออกมาโดยไม่ได้ใส่เกราะ เพราะพวกเขากำลังสงสัยอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น

นายกองวิ่งไปจนถึงใจกลางค่าย แต่ก่อนที่จะทันได้เข้าไป แม่ทัพหนุ่มวัย 30 คนหนึ่งก็เดินออกมา “ใครทำอะไรกับเจ้า ?”

“แม่ทัพจาง พวกเฟิงมันกำลังก่อการกบฏอยู่ด้านนอกปราการของเราและมันกำลังไล่ฆ่าทหารของเราอยู่ขอรับ !”

“อะไรนะ ?” แม่ทัพคนนี้คือจางเฟิง และเมื่อเขาได้ยินแบบนี้ก็รีบคว้าคออีกฝ่ายเอาไว้ “พวกมันมากันกี่คน ?”

“น่ะ น้อยกว่าร้อยคน !” นายกองหนิงพูดเสียงสั่น

จางเฟิงโกรธจัดเมื่อรู้ว่าพวกเฟิงมากันน้อยกว่าร้อยนาย เขาสะบัดมือ “ไอ้คนไร้ประโยชน์เอ้ย !” จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในกระโจม

“ฝ่าบาทช่างโง่เขลาที่ไว้ชีวิตพวกชาวบ้านตาดำ ๆ เหล่านี้ให้มันลุกขึ้นต่อต้านเราได้ สงสัยวันนี้ข้าคงจะต้องออกไปจัดการพวกมันเสียหน่อยแล้ว !” เขาพูดอย่างหงุดหงิดแล้วหยิบดาบที่อยู่ข้างบนลงมาก่อนเดินออกไปข้างนอก

ในเวลานี้กุนซือผู้หนึ่งก็ได้เข้ามาหาเขา “ท่านแม่ทัพช้าก่อน ท่านจะจัดการคนพวกนี้ไม่ได้นะ พวกเราควรจะใช้ไม้อ่อนมากกว่านี้ ไม่งั้นมันจะยิ่งไปกันใหญ่ !”

“เจ้าจะกลัวบ้าอะไร ? ข้าจะฆ่าพวกคนที่ต่อต้านเท่านั้น อีกอย่างพวกมันก็ฆ่าทหารของเราไปแล้วด้วย ดังนั้นข้าจะไม่ปล่อยมันไว้แน่ !” จางเฟิงพูดอย่างฉุนเฉียว

กุนซือผู้นั้นที่ได้ฟังก็รีบร้องห้ามต่อ “ให้ข้าได้หารือกับแม่ทัพท่านอื่นก่อนเถอะ !”

“เจ้าจะรบกวนพวกเขาไปเพื่ออะไร ? จงหลีกไปเสีย ไม่งั้นข้าจะฆ่าเจ้าด้วย !” จางเฟิงโบกมือแล้วดันอีกฝ่ายให้ออกไป

เมื่อจางเฟิงไปถึงประตูค่าย หยวนยู่กับทุกคนก็เข้ามาข้างในแล้วและกำลังถูกทหารหนิงล้อมไว้อยู่

“หลีกไปสิวะ !” จางเฟิงตะโกนบอก

พวกทหารหนิงหันกลับมาแล้วรีบเบี่ยงทางหลบให้

จางเฟิงเดินมาหยุดตรงหน้าหยวนยู่และคนอื่น ก่อนพบว่าในมือของพวกชาวบ้านมีหอกที่เต็มไปด้วยเลือดอยู่ จึงทำให้แม่ทัพหนุ่มร้องตะโกนลั่นออกมาในทันที “พวกเจ้าจะต้องตายที่นี่ !”

หยวนยู่จำเกราะของแม่ทัพหนิงได้ ดังนั้นเขาจึงถามออกไปเพื่อเป็นการยืนยันตัวตน “เจ้าเป็นใคร ?”

“ข้าคือจางเฟิง !”

“โอ้ จางเฟิงนี่เอง” หยวนยู่แอบรู้สึกดีใจที่เป้าหมายปรากฏตัวออกมาแบบนี้ เพราะถ้าหากเขาเปิดเผยตัวก่อนหน้านี้ มันก็คงจะไม่ง่ายเช่นนี้ที่จะได้เข้าใกล้เป้าหมาย ! “จางเฟิง เจ้าคนชั่ว วันนี้แหละข้าจะจัดการเจ้า !”

จางเฟิงหัวเราะลั่น อีกฝ่ายก็เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาที่จะต้องการประลองกับเขาเท่านั้น “จัดการข้างั้นหรือ ? ช่างเป็นคนที่เย่อหยิ่งยิ่งนัก วันนี้แหละข้าจะตัดหัวเจ้ามาเสียบธงประจาน !” จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าไปแล้วเหวี่ยงดาบใส่หยวนยู่

การจัดการชาวบ้านธรรมดานั้นง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเสียอีก ซึ่งไอ้เจ้าความคิดที่ว่านี้เอง ที่ทำให้เขาประมาทไม่ทันระวัง

หยวนยู่ก้มหัวหลบดาบนั้น แล้วจากนั้นก็พุ่งเข้าใส่จางเฟิง

บัดซบ ! มันเร็วเกินไป ! จางเฟิงพยายามที่จะหลบการโจมตีของอีกฝ่ายด้วยการยกแขนขึ้นมาป้องกัน แต่ทว่าหยวนยู่กลับใช้หมัดต่อยสวนเข้ามา

ถึงหยวนยู่จะไม่ใช้เกราะปราณ แต่พละกำลังของเขาก็มากเกินกว่าที่ร่างกายมนุษย์จะทนได้ ดังนั้นไม่ต้องบอกก็คงพอจะเดาได้ ว่ามาตอนนี้กรามของจางเฟิงก็ได้แตกละเอียดไปแล้ว !

วินาทีนี้เขารู้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา แต่เป็นคนที่เก่งกาจมาก ทว่าในขณะที่จางเฟิงยังไม่ทันตั้งตัว ก็เป็นหยวนยู่ที่กระโดดเข้ามาแล้วกดร่างของเขาลงกับพื้น

ชายเลือดร้อนปลดปล่อยเกราะปราณออกมาหุ้มมือเอาไว้เป็นใบมีด ก่อนจะแทงมันเข้าไปที่ซี่โครงทั้งสองข้างของอีกฝ่าย

“อ๊าก ! เจ้ากล้าดียังไง !” เมื่อพวกหนิงเห็นแบบนี้ พวกเขาต่างก็มีสีหน้าตื่นตกใจ ก่อนจะพากันใช้หอกพุ่งเข้าไปหาหยวนยู่

จางเฟิงได้สิ้นใจลงไปโดยที่ดวงตายังเบิกกว้างอยู่ …จนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้เลยว่าชาวบ้านธรรมดาคนนี้เป็นใคร

หยวนยู่สามารถจัดการจางเฟิงได้ด้วยมือเปล่าภายในเวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น

เมื่อพวกทหารหนิงจะเข้ามาช่วยก็ไม่ทันการเสียแล้ว เพราะมาตอนนี้ หน้าท้องของจางเฟิงก็ได้เกิดรูพรุนจากการโดนแทงทั่วไปหมดแล้ว !!