บทที่ 296 : การตัดสินใจแบบเดียวกัน

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 296 : การตัดสินใจแบบเดียวกัน

ลิเลียนรู้ดีว่าเธอไม่ได้อยู่ในสภาวะจิตใจที่มั่นคง

นี่เป็นครั้งแรกที่จิตใจของเธอตกอยู่ในความโกลาหลปั่นป่วนทั้ง ๆ ที่ร่างกายยังไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เลย ข้อมูลทุกประเภทสับสนปนเปกันข้างในหัว อารมณ์ต่าง ๆ กระทบกระเทือนจิตใจของเธอราวกับใบมีดโกนอันคมกริบ…

โรเอลคิดว่าลิเลียนน่าจะกำลังอยู่ในสภาพจิตใจที่ยังไม่มั่นคงจากการที่ต้องเห็นภาพอันน่าสยดสยองของศพคนรู้จักในอดีต ดังนั้นมันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เธอจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหา เมื่อถูกส่งเข้ามาในมิติสถานะผู้เฝ้ามอง

แต่ความจริงแล้วเรื่องพวกนั้นไม่ได้สลักสำคัญอะไรสำหรับลิเลียนเลย

มีเพียงสิ่งเดียวที่ครอบงำจิตใจของลิเลียนในขณะนี้…นั่นก็คือความเป็นจริงที่เธอไม่สามารถยอมรับได้

ฉันเสียน้องชายไปแล้ว…

ลิเลียนจำได้อย่างชัดเจนว่าโรเอลบอกเธอว่าเขาอยู่ในสภาพที่ไม่ดีเท่าไหร่นักหลังจากที่โค่นมาซีอุสลงได้ และแน่นอนว่าเมืองที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดและภัยคุกคามทุกประเภทนี้ เป็นสภาพแวดล้อมที่อันตรายสำหรับคนที่อยู่ใน ‘สภาพที่ไม่ดี’ อย่างไม่ต้องสงสัย

เด็กสาวไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้างในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะมันอาจจะทำให้เธอเสียสติได้

“นี่เป็นความผิดของเรา ถ้าเราไม่แตะตัวเขาล่ะก็…”

ลิเลียนบ่นพึมพำ…

ความกังวลและความสำนึกผิดที่ผุดขึ้นในหัวใจ ทำให้เสียงของเธอฟังดูแหบแห้งเล็กน้อย…

ก่อนที่โรเอลจะมาถึงสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า ลิเลียนได้รับคำสั่งจากจักรพรรดิลูคัสไม่ให้ติดต่อกับใครจากตระกูลแอสคาร์ดโดยเด็ดขาด ดังนั้นตามหลักแล้ว เธอควรจะป้องกันไม่ให้สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น

ตอนที่โรเอลจับมือลิเลียนในห้องเก็บไวน์ เพื่อป้องกันไม่ให้เธอสัมผัสกับศพ ถุงมือที่เธอสวมอยู่นั้นได้ช่วยป้องกันการสัมผัสทางร่างกายระหว่างพวกเขาเอาไว้

ทว่าท้ายที่สุดแล้ว ความประมาทของลิเลียนก็ส่งผลให้เกิดวิกฤตที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน…

มันเป็นเพราะเธอได้ลดการป้องกันของตัวเองลง

ทันทีที่ลิเลียนได้ยินโรเอล พูดว่า ‘ผมต้องการคุณ’ บางสิ่งในตัวเธอก็ดูเหมือนจะสมบูรณ์ขึ้นมา ตอนนั้นเองที่เด็กสาวรู้สึกอยากเข้าใกล้เขามากขึ้นจนไม่อาจต้านทานได้…

ใครจะไปคิดว่าความปรารถนาอันแรงกล้านี้ ทำให้น้องชายที่เธอเพิ่งได้ค้นพบต้องตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้?

“*&%”

“#¥%&…”

จู่ ๆ ลิเลียนก็ได้ยินเสียงบทสวดที่น่ารำคาญถาโถมเข้ามาในหัว ทำให้เธอหลุดออกจาภวังค์ความคิด เธอรีบหันนัยน์ตาสีอเมทิสต์อันเย็นชาไปยังเหล่าสัตว์ประหลาดนับไม่ถ้วนที่ซ่อนอยู่ภายในอาคารใกล้เคียงทันที…

“เงียบไปซะ!”

ลิเลียนโบกมือของเธอ สร้างห่าฝนธนูโปรยลงมาใส่กองทัพของทหารชุดเกราะดำและร่างในชุดดำ ทำให้พวกมันล้มลงไปตาม ๆ กัน

จากนั้นเสียงแตรสงครามก็ดังขึ้น นักรบในชุดเกราะยกดาบขึ้นมาก่อนจะพุ่งเข้าไปในอาคาร กวาดล้างทางเดินอย่างรวดเร็วและกำจัดศัตรูไปทีละห้อง

เสียงกระทบกันของโลหะ ดาบชนเข้ากับชุดเกราะพร้อมกับกลิ่นของเลือดที่ค่อย ๆ กระจายออกไปทั่วอาคาร ลิเลียนมองดูเหล่าสัตว์ประหลาดที่กำลังจะตาย พลางนึกกังวลเกี่ยวกับโรเอลอีกครั้ง

จากประสบการณ์ของเธอเมื่อคืนนี้ เสียงสวดของสัตว์ประหลาดเหล่านี้สามารถทำให้เกิดอาการปวดหัวรุนแรงจนเสียสติได้ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ผลของมันไม่ค่อยมีผลกับลิเลียนเท่าไหร่ ทันทีที่เธอรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับเสียงสวด พลังสายเลือดของเธอก็จะตอบสนองและปกป้องเธอจากพวกมันทันที

ต้องขอบคุณพลังสายเลือด ที่เธอยังคงอยุ่ในสภาพที่ปลอดภัยดี แต่แล้วโรเอลล่ะ?

แม้ว่าโรเอลจะมีพลังทางสายเลือดแบบเดียวกันกับเธอ แต่เขานั้นยังอยู่เพียงแค่ในระดับแก่นแท้ 4 เท่านั้น อีกทั้งยังอยู่ในสภาพที่ไม่ดีด้วย เขาจะสามารถปกป้องตัวเองจากสัตว์ประหลาดเหล่านี้ได้จริง ๆ งั้นหรือ?

ลิเลียนกำมือที่สั่นเทาเอาไว้แน่น เธอรู้สึกราวกับว่าหัวใจกำลังจะระเบิดออกมาถ้าเธอยังคงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อ ดังนั้นเด็กสาวจึงสูดหายใจเข้าลึก ๆ สองสามครั้งอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันความสนใจไปที่การตามหาโรเอลอีกครั้ง

หนึ่งเดือนของการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน และเหตุการณ์ซองจดหมายสีเลือด ทำให้ลิเลียนสามารถเข้าใจนิสัยใจคอของโรเอลได้เป็นอย่างดี นั่นจึงทำให้เธอสามารถคาดเดาความคิดของเขาได้คร่าวๆ

คนที่พิถีพิถันอย่างโรเอลไม่มีทางพยายามเข้าไปในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าอย่างประมาทแน่ เขาคงรู้ดีว่าตนเป็นคนนอกที่ไม่มีตัวตนในโลกนี้ ดังนั้นเขาจะต้องถูกคุมขังแน่หากเข้าไปที่ไหนสุ่มสี่สุ่มห้า

การสูญเสียอิสรภาพในสภาพแวดล้อมที่อันตรายเช่นนี้ ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ดี เพราะมันเทียบได้กับการทิ้งชะตากรรมของตนเอาไว้ในมือของผู้อื่นโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ‘คนอื่น’ จะเชื่อใจได้หรือไม่

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือโรเอล น่าจะอยู่ที่จุดอื่น ๆ ของเมือง

จากการสอบสวนเหล่าผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายเมื่อวานนี้ ลิเลียนจึงได้เรียนรู้ว่าลัทธิชั่วร้ายสองฝ่ายกำลังต่อสู้กันเองอยุ่ภายในเมือง และสัตว์ประหลาดที่สัญจรไปมานี้ก็เป็นหนึ่งในวิธีการของพวกเขา

เป็นไปได้ไหมที่โรเอลจะลี้ภัยไปเข้ากับลัทธิชั่วร้ายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง?

ลิเลียนส่ายหัวทันที…

เป็นไปไม่ได้แน่ น้องชายที่ใจดีและชอบธรรมของเธอจะยอมเข้าร่วมกับพวกลัทธิชั่วร้ายได้อย่างไรกัน? เขาน่าจะไปตั้งแคมป์ในอาคารใดอาคารหนึ่ง โดยใช้พลังจากสายเลือดคอยปัดเป่าสัตว์ประหลาดเหล่านั้นออกไปห่างๆ

อย่างไรก็ตามการคาดเดานี้ยังมีปัญหาอยุ่เรื่องหนึ่ง ซึ่งลิเลียนก็ทราบดี นั่นก็คือเธอกำลังสันนิษฐานว่าโรเอลเองก็กำลังพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อที่จะได้กลับมาหาเธอ มิฉะนั้นเขาคงจะซ่อนตัวรอเวลาอยู่ในป่านอกเมืองที่ปลอดภัยกว่ามาก

ลิเลียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวเล็กน้อยเมื่อคิดถึงเรื่องนี้

แม้ว่าพวกเขาจะเป็นญาติกันทางพลังสายเลือด แต่การที่โรเอลจะนับถือเธอเป็นพี่สาวของเขาหรือไม่นั้นมันคนละเรื่องกัน โรเอลเป็นชนชั้นสูงของจักรวรรดิเซนต์เมซิท ที่สนิทสนมกับสมาคมพ่อค้าโรซ่าและตระกูลโซโรฟยาเป็นพิเศษ การยอมรับเธอในฐานะพี่สาวของเขาจะทำให้เขาต้องตกอยู่ในจุดยืนที่ยากลำบาก…

หากโรเอลไม่ยอมรับเราขึ้นมาล่ะก็…

แค่จินตนาการถึงความเป็นไปได้นั้น ก็ทำให้ลิเลียนรู้สึกกังวลแล้ว

เสียงแตรสงครามดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นนักรบอีกระลอกก็พุ่งเข้าใส่เหล่าทหารสัตว์ประหลาดชุดเกราะดำ

เสียงดังกล่าวได้สะกิดลิเลียนออกจากห้วงความคิด เธอส่ายหัวอย่างรวดเร็วก่อนจะนึกถึงสีหน้าของโรเอลในตอนที่พวกเขากำลังจะแยกจากกัน

“ไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่ โรเอลไม่มีวันทำอย่างนั้นเด็ดขาด…”

ลิเลียนตบหน้าอกตัวเอง สงบสติอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงของเธอลง ในที่สุดดวงตาสีอเมทิสต์ของเธอก็เริ่มกลับมามีหลักเหตุผลอันแน่วแน่ตามปกติ

เราไม่ควรค้นหาไปทั่วเมืองแบบสุ่มสี่สุ่มห้า มันคงจะมีประสิทธิภาพมากกว่า ถ้าเราแสดงตำแหน่งของเราให้เขารู้แทน เราต้องฆ่าสัตว์ประหลาดต่อไปให้เป็นจุดเด่นจนกว่าทุกคนจะรู้ถึงการมีอยู่ของเรา เมื่อถึงตอนนั้น โรเอลจะตามหาเราเจออย่างแน่นอน

สุดท้ายแล้ว ญาติทางสายเลือดทั้งสองก็เลือกวิธีการเดียวกัน เพื่อค้นหากันและกันในเมืองแห่งความโกลาหลแห่งนี้…

“ภราดรภาพแห่งการกอบกู้ถูกสวนกลับจนต้องถอยร่นไป? นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?!”

ณ ศูนย์บัญชาการกลางของสถาบันเซนต์เฟรยา เด็กหนุ่มผมสีส้มตกใจเมื่อได้ยินรายงานจากเหล่าทหาร เขาก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็วเพื่ออ่านรายงานในมืออย่างระมัดระวัง…

เขาคือ แอนโตนิโอ วัตต์ ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทหารในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า และรองผู้บัญชาการกองทหารรักษาการณ์เมืองเลนสเตอร์

ในตอนที่หัวหน้าของเขาเสียสติจากบทสวดของสัตว์ประหลาด แอนโตนิโอก็ได้จัดระเบียบกองทหารรักษาการณ์ที่เหลือใหม่อย่างรวดเร็ว อพยพทุกคนมายังสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า รักษาแนวป้องกันเอาไว้เพื่อรอกำลังเสริม

หากเป็นเมื่อหลายปีก่อน คงไม่มีใครคิดว่าสถาบันเซนต์เฟรย่าจะตกอยู่ในสถานะที่ต้องทำสงครามป้องกัน ด้วยที่มันเป็นสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดสำหรับผู้ที่มีพลังเหนือธรรมชาติ ใครก็ตามที่พยายามปิดล้อม สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า จะต้องถูกบดขยี้โดยกองกำลังผู้มีพลังพิเศษของมันในทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย …

…แต่ทว่าตอนนี้สิ่งต่าง ๆ มันได้เปลี่ยนไปแล้ว

เนื่องจากการทำสงครามกับพวกกลายพันธุ์ ทุกอาณาจักรจึงแทบจะไม่เหลือกองกำลังใด ๆ ด้วยที่ต้องส่งทหารไปยังแนวหน้า

และสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าเองก็เช่นกัน…

อาจารย์และผู้มีพลังเหนือธรรมชาติต่างถูกส่งไปยังสนามรบ และนักเรียนชั้นปีที่ 4 ส่วนใหญ่ก็ลาออกจากสถาบันการศึกษาเพื่อไปเข้าร่วมกับกองทัพเพื่อมนุษยชาติ

เป็นผลให้เหลือบุคลากรเพียงสามพันคนในสถาบันการศึกษา แม้ว่ามันอาจจะฟังดูเหมือนกองกำลังขนาดใหญ่ แต่ก็คนที่เหลืออยู่ส่วนมากก็เป็นเพียงแค่นักเรียนจากชั้นปีที่หนึ่ง ปีที่สอง และปีที่สามที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างเหมาะสมสำหรับการต่อสู้จริง…

นอกจากนี้สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่านั้นยังกว้างใหญ่เกินไปจนคนสามพันคนกระจัดกระจายตัวกันไปทั่วสถาบัน

ถ้าไม่มีเกราะพลังเวทย์แล้วล่ะก็ มันไม่มีทางเลยที่แอนโตนิโอและคนอื่น ๆ จะสามารถยืนหยัดต่อสู้กับภราดรภาพแห่งการกอบกู้ได้

กองทัพแห่งการกอบกู้เป็นกองทัพ ที่กลุ่มภราดรภาพแห่งการกอบกู้เรียกมาเพื่อการจลาจลครั้งนี้ สัตว์ประหลาดเหล่านั้นอาละวาดไปทั่วเมือง ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์นับไม่ถ้วนกลายเป็นคนเสียสติ แม้แต่ลัทธิชั่วร้ายที่จัดตั้งขึ้นมาก่อนอย่างภาคีแห่งนักบุญ ก็ยังเกือบจะสูญสิ้นด้วยกองกำลังที่ล้นหลามของพวกเขา

แต่ทว่าแอนโตนิโอกลับต้องประหลาดใจเมื่อ ภาคีแห่งนักบุญที่ใกล้จะสูญสิ้นเต็มทีกลับสามารถตีโต้กลับกองทัพแห่งการกอบกู้ไปได้ ซึ่งมีจำนวนเยอะกว่ามาก…

อีกทั้งพวกเขายังสามารถกู้คืนพื้นที่มากกว่าหนึ่งในสี่ของทั้งเมืองได้ภายในคืนเดียว!

ความสำเร็จอันน่าอัศจรรย์นี้ทำให้แอนโตนิโอรู้สึกงงงวยเป็นอย่างมาก เขาไม่เข้าใจว่าฝั่งภาคีแห่งนักบุญเอาชนะวงล้อมกองทัพแห่งการกอบกู้ได้อย่างไร?

“ทูตศักดิ์สิทธิ์ โรเอล…”

แอนโตนิโอพึมพำชื่อของชายที่ปรากฏตัวออกมาจากที่ไหนสักแห่งและทำให้ภาคีแห่งนักบุญสามารถโต้กลับศัตรูรื้อฟื้นจุดยืนของพวกเขากลับมาได้ ซึ่งเป็นชื่อที่เขาไม่คุ้นเคยเลย

อันที่จริงแอนโตนิโอนั้นมีมากกว่าหนึ่งตัวตน เขาได้เข้าร่วมสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำในตอนที่กำลังศึกษาอยู่ที่สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า โดยใช้นามแฝงว่า ‘ผู้พิทักษ์’ เขาได้รับข้อมูลลับมากมายเกี่ยวกับลัทธิชั่วร้ายในฐานะสมาชิกสมัชชา ทว่าเขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับบุคคลที่น่าเกรงขามเช่นนี้ในหมู่ทูตศักดิ์สิทธิ์ของภาคีแห่งนักบุญเลย…

ทูตศักดิ์สิทธิ์ เป็นเพียงแค่เครื่องมือในการใช้ไพ่ตายของภาคีแห่งนักบุญไม่ใช่เหรอ? พวกเขามีตำแหน่งสูงในองค์กรก็จริง แต่ความสามารถเฉพาะตัวของพวกเขาก็ไม่ได้น่าตื่นตาเท่าไหร่ นี่มันแปลกเกินไปแล้ว…!

“ข้าต้องรีบไปพบท่านแอสตริด…!”

แอนโตนิโอกล่าว เขารีบเดินไปตามทางเดินยาวที่มีทหารสองแถวคุ้มกันแน่น มุ่งหน้าไปยังห้องอันโอ่อ่า…

ตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว แต่ห้องก็ยังคงมืดอยู่ เพราะหน้าต่างทั้งหมดถูกปิด เขาค่อย ๆ เดินไปที่กลางห้องและเงยหน้าขึ้น

ข้างใต้กระจกสีรุ้งบนเพดานมีร่างอันสวยงามลอยอยู่ ‘นักวิชาการ’ แอสตริด

เธอเป็นบุคคลที่สำคัญอย่างยิ่งในสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ ซึ่งเข้าถึงตัวได้ยากมาตลอดหลายปี ทว่าการปรากฏตัวของคนทรยศในสมัชชา ทำให้สภาพของเธอแย่ลง จนเป็นแบบที่เห็นในปัจจุบันนี้…

แอนโตนิโอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เธอ เขาก้มลงเล็กน้อยด้วยความเคารพ เตรียมที่จะรายงานสิ่งที่ได้รู้มา แต่แล้วร่างที่ลอยอยู่ก็ลืมตาขึ้นในทันใด ดวงตาสีรุ้งอันลึกลับคู่หนึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน

“แอนโตนิโอ เกิดอะไรขึ้นข้างนอกงั้นเหรอ?”

แอสตริดถามขณะที่เธอมองไปข้างนอกสถาบันด้วยความคิดถึง

“ข้าสัมผัสได้ถึงพลังเวทย์ที่ข้าคุ้นเคย”