บทที่ 297: ชื่อที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ตอนนี้โรเอลอยู่ในสภาพที่แย่มาก…
ตอนนี้เวลาได้ผ่านไปหกชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่ที่โรเอลได้เข้ามาสู่สถานะผู้เฝ้ามอง เขาได้ปลอมตัวเป็นทูตศักดิ์สิทธิ์เพื่อเผชิญหน้ากับแบรดลีย์ และชี้นำกลุ่มภาคีแห่งนักบุญในการโต้กลับภารดรภาพแห่งการกอบกู้
แม้สิ่งต่าง ๆ จะผ่านไปได้ด้วยดี แต่โรเอลก็ยังคงอยู่ในจุดที่สุ่มเสี่ยงไม่ต่างจากเดิม แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่ากังวลก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง นั่นก็คือสภาพร่างกายของเขา
ที่โรเอลสามารถสร้างปาฏิหาริย์เช่นนี้ได้ เป็นเพราะเขาเคยต่อสู้รับมือกับสัตว์ประหลาดเหล่านี้มาแล้วในมิติคู่ขนานด้านมืดภายในแหวนกุหลาบดำ เพื่อปลดผนึก ‘สิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลระดับสอง’ ที่มาร์กาเร็ตเคยพูดถึง เขาได้ทดลองวิธีรับมือกับพวกมันหลาย ๆ แบบด้วยคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิด มงกุฏ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการปราบปรามบทสวดของเหล่าทหารเกราะดำเป็นวงกว้าง
ผลลัพธ์ที่ได้นั้นยอดเยี่ยมมากคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิด มงกุฏของโรเอลนั้นสามารถบรรเทาอาการปวดหัวที่เกิดจากเสียงสวดของสัตว์ประหลาด ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในสถานะผู้เฝ้ามองครั้งนี้…
ทั้งหมดที่โรเอลต้องทำก็คือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ ‘พันธมิตร’ ของเขาสามารถต่อสู้ได้ และคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฏก็สามารถตอบโจทย์นั้นได้เป็นอย่างดี
ทว่าการใช้งานพลังของคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฏเป็นเวลาหลายชั่วโมง พร้อม ๆ กับแผ่ขยายขอบเขตของมันให้ครอบคลุมเหล่าสาวกของลัทธิชั่วร้ายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย มันทำให้เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาก และต้องการการพักผ่อนอย่างเร่งด่วน
【การประเมินอย่างละเอียด : ระดับต่ำ (39%)】
โรเอลขมวดคิ้วเมื่อเห็นการประเมินของระบบ เขาไม่พอใจกับผลลัพธ์นี้สักเท่าไหร่
การเพิ่มคะแนนขึ้นมา 37% ในหนึ่งคืนอาจจะดูน่าประทับใจ แต่โรเอลรู้ดีว่าการเพิ่มคะแนนของเขาจะยากขึ้นเรื่อย ๆ บางที 37% อาจเทียบไม่ได้กับ 5% ในตอนที่เขาไปถึง 70% หรือ 80% เลยด้วยซ้ำ
โรเอลมีข้อสันนิษฐานสองประการเกี่ยวกับเรื่องนี้
หนึ่ง ศัตรูที่เขาเอาชนะได้เมื่อคืนนี้ส่วนใหญ่เป็นเพียงลิ่วล้อ เขายังไม่ได้โค่นเป้าหมายที่สำคัญอะไรลงไปเลย ดังนั้นคะแนนที่เขาได้รับจึงอยู่ในระดับต่ำ
สอง เขาอยู่ผิดฝ่าย มันไม่น่าเป็นไปได้เท่าไหร่ที่โรเอลจะถูกส่งมายังสถานะผู้เฝ้ามองนี้ เพื่อช่วยให้ภาคีแห่งนักบุญต่อต้านกลุ่มภารดรภาพแห่งการกอบกู้ ด้วยที่ปัจจัยกระตุ้นของสถานะผู้เฝ้ามองนี้คือแหวนกุหลาบดำ ซึ่งมาจาก ‘นักวิชาการ’ เขาควรจะตามหาเป้าหมายหลักให้เจอเสียก่อน…
นอกจากนี้ สิ่งที่เขาทำจริง ๆ มาจนถึงตอนนี้ก็มีเพียงการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับพวกสาวกของลัทธิชั่วร้าย ซึ่งนั่นเองก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ได้รับคะแนนการประเมินที่ต่ำลงเช่นกัน
อันที่จริงแล้วโรเอลไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เพราะเขากังวลเกี่ยวกับการตามหาลิเลียนและช่วยชีวิตเธอมากกว่า ต่อให้รวบรวมคะแนนและแข็งแกร่งขึ้น แต่ถ้าไม่สามารถปกป้องคนที่ห่วงใยได้ มันจะไปมีประโยชน์อะไร?
โชคดีที่ตอนนี้เขาพอจะมีแผนแล้ว…
เหล่าสาวกที่เพิ่งผ่านการสู้รบต่างมารวมตัวกันในห้องโถง หลายคนเต็มไปด้วยเลือดและสิ่งสกปรก และบางคนเองก็ได้รับบาดเจ็บ อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงฮึกเหิม เนื่องจากโรเอลได้ให้ความสนใจกับพวกเขา แม้แต่อธิการแบรดลีย์ก็ยังมายืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยความเคารพ ทำให้เขากลายเป็นจุดสนใจหลัก
“พี่น้องทั้งหลาย เมื่อคืนนี้พวกเราได้รักษาเกียรติของมารดาแห่งเทพธิดาเอาไว้ได้สำเร็จ พวกเราได้พิสูจน์ศรัทธาอันแน่วแน่ผ่านการกระทำของเรา ขับไล่เหล่าสัตว์ประหลาดน่ารังเกียจเหล่านั้นกลับไปยังความว่างเปล่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ถือเป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของภารดรภาพแห่งการกอบกู้…”
“ข้าเชื่อว่าเหล่าลูกแกะผู้ตกอยู่ในความหวาดกลัวของเมืองนี้ คงจะได้ยินเกี่ยวกับวีรกรรมอันกล้าหาญของพวกเราแล้ว พวกมันจะต้องหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของพวกเรา…ดังนั้นพวกเราจะต้องส่งเสียงป่าวประกาศออกไป ให้ชื่อของข้ากระจายไปทั่วทุกซอกทุกมุมของเลนสเตอร์ ให้ศัตรูของพวกเรารู้ว่ามารดาแห่งเทพธิดาได้ส่งทูตศักดิ์สิทธิ์ของท่านมาเพื่อลงโทษเหล่าผู้ที่กล้าดูหมิ่นเกียรติของท่านแล้ว!”
โรเอลออกคำสั่ง…
เหล่าฝูงชนผู้ฮึกเหิมต่างส่งเสียงเชียร์เป็นการตอบสนอง ขานชื่อของโรเอลครั้งแล้วครั้งเล่า…ด้วยความกระตือรือร้นที่พวกเขาแสดงออกมา ไม่เกินสามวันทุกคนในเลนสเตอร์ก็น่าจะได้ยินชื่อของเขา
โรเอลพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ชมทิวทัศน์ยามรุ่งอรุณ สวดอ้อนวอนขอให้ลิเลียนปลอดภัย
…
ปราสาทวอลเชสเตอร์ในเขตเมืองทางตะวันออกนั้นเคยเป็นของตระกูลวอลเชสเตอร์มาก่อน แต่หลังจากที่พวกเขาสูญสิ้นไปในการจลาจล ภาคีแห่งนักบุญก็ได้เข้ายึดครองปราสาทแห่งนี้ แล้วใช้มันเป็นฐานทัพชั่วคราวของพวกเขา
และตอนนี้เจ้าของคนใหม่ก็ได้เข้ามาแล้ว…
โรเอลเดินไปบนพรมแดงแห่งชัยชนะเข้าไปในปราสาท ระหว่างที่เหล่าสาวกจัดการสภาพโดยรอบอย่างรวดเร็ว เพื่อให้การป้องกันของปราสาทแน่นหนายิ่งขึ้น มีทหารรักษาการณ์ประจำแต่ล่ะจุด ทุก ๆ ห้าก้าวที่เดินเข้าไปในปราสาท ทำให้ไม่มีนักฆ่าคนใดแอบเข้ามาที่นี่ได้
อธิการแบรดลีย์ขออนุญาตจากโรเอล เพื่อนำอุปกรณ์เวทย์ศักดิ์สิทธิ์มา ซึ่งเด็กหนุ่มก็พยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่มีปัญหาอะไร
มันถือเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาในฐานะทูตศักดิ์สิทธิ์ของภาคีแห่งนักบุญที่จะได้ครอบครองอุปกรณ์เวทย์ศักดิ์สิทธิ์…อีกทั้งเขาเองก็ต้องการเวลาแยกจากแบรดลีย์บ้าง เพื่อที่จะได้ทำความเข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น
แม้แต่ตอนนี้จิตใจของโรเอลก็ยังคงสั่นคลอนอยู่…
ในสถานะผู้เฝ้ามองก่อนหน้านี้ มีฝั่งฝ่ายชัดเจนสองฝั่งให้เขาเลือก โดยหนึ่งในนั้นคือฝั่งของบรรพบุรุษของเขา มันเป็นทางเลือกที่คิดได้ไม่ยากเลยว่าควรจะอยู่ฝั่งไหน
แต่คราวนี้มันต่างออกไป มีสามฝ่ายหลัก ๆ ในสถานะผู้เฝ้ามองครั้งนี้ ซึ่งโรเอลไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาควรจะทำอะไรกันแน่ ภายนอกดูเหมือนว่ากลุ่มภารดรภาพแห่งการกอบกู้กำลังโจมตีเมือง สมัชชานักปราชญ์พลบค่ำกำลังปกป้องมัน ส่วนภาคีแห่งนักบุญนั้นกำลังจะพ่ายแพ้ อย่างไรก็ตามมีบางอย่างแปลก ๆ เกี่ยวกับกองกำลังทั้งสามฝ่ายนี้ที่ทำให้โรเอลรู้สึกไม่สบายใจ
ประการแรกและสำคัญที่สุด เหตุใดกลุ่มภารดรภาพแห่งการกอบกู้ถึงได้เลือกที่จะก่อจลาจลในช่วงเวลาอันสำคัญนี้ ในระหว่างการทำสงครามกับพวกกลายพันธุ์ พวกเขาเสียสติไปแล้วงั้นเหรอ? อะไรคือเป้าหมายของการจลาจลครั้งนี้? พวกเขาคงไม่คิดที่จะเป็นศัตรูกับมนุษยชาติทั้งหมด เพื่อที่จะพิชิตเลนสเตอร์ เฉย ๆ ใช่ไหม ?
นอกจากนี้ยังมีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับกองทหารของเมืองและนักเรียนของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าอีกด้วย
เมื่อคืนก่อนโรเอลได้นำสาวกของภาคีแห่งนักบุญเข้ารบกับกลุ่มภราดรภาพแห่งการกอบกู้และประสบความสำเร็จ พวกเขาอยู่ฝ่ายที่ได้เปรียบตลอดการต่อสู้นี้ ถ้าสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าเปิดประตูออกมาเสริมกำลังแก่พวกเขาล่ะก็…พวกเขาก็จะสามารถโจมตีสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อกลุ่มภารดรภาพแห่งการกอบกู้ได้ในรวดเดียว!
นี่จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับพวกเขาทั้งคู่ ทว่าผู้นำของสถาบันเซนต์เฟรย่ากลับไม่คิดที่จะเคลื่อนไหว…ตำแหน่งของพวกเขาแย่มากจนไม่สามารถโจมตีได้เลย? หรือว่า ‘นักวิชาการ’ และ ‘ผู้พิทักษ์’ มีเหตุผลอื่นอยู่เบื้องหลังกันแน่?
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายที่สุด ภาคีแห่งนักบุญสูญเสียกองกำลังไปมากในช่วงเริ่มแรกของสงคราม มันคงจะดีกว่าสำหรับพวกเขาที่จะลดความสูญเสียลง ล่าถอยออกไปก่อนแล้วค่อยกลับมาที่เมืองในภายหลัง มีเหตุผลอะไรกันแน่ที่ทำให้พวกเขาต้องยึดมั่นตั้งฐานอยู่ในเมืองเลนสเตอร์ช่วงเวลานี้งั้นเหรอ?
ฝั่งภารดรภาพแห่งการกอบกู้นั้นถือว่าจบสิ้นแล้วในทางทฎษฏี ทหารชุดเกราะดำและร่างชุดดำนั้นเป็นกองกำลังที่น่าเกรงขามก็จริง แต่ไม่ว่าจะคิดยังไงมันก็ยังไม่เพียงพอที่จะป้องกันกองกำลังหลักของมนุษยชาติได้ ทันทีที่กำลังเสริมกลับมาจากแนวหน้า นั่นจะกลายเป็นจุดจบของกลุ่มภราดรภาพแห่งการกอบกู้อย่างแน่นอน…
มันจำเป็นจริง ๆ แล้วงั้นเหรอ ที่ภาคีแห่งนักบุญจะต้องอดทนยึดมั่นตั้งฐานสู้รบกับกลุ่มคนที่กำลังจะตายในไม่ช้าพวกนี้? การถอยกลับไปก่อนแล้วค่อยกลับมาเก็บงานจะแย่สักเท่าไหร่กันเชียว?
สาวกทั่ว ๆ ไปอาจจะทำเพื่อความศรัทธา แต่แน่นอนว่าผู้บริหารของภาคีแห่งนักบุญไม่ใช่คนงี่เง่าแบบนั้นแน่…
โรเอลครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัว
เขาเคยพบดอยล์ในสถานะผู้เฝ้ามองครั้งก่อน อีกฝ่ายไม่หวั่นใจเลยสักนิดที่จะหนีทันทีที่เผชิญอันตรายถึงชีวิต อย่างน้อย ๆ จากประสบการณ์ของโรเอลที่มีต่อดอยล์ ดูเหมือนว่าผู้บริหารของภาคีแห่งนักบุญ จะเป็นกลุ่มคนที่เห็นคุณค่าของผลประโยชน์ที่จับต้องได้มากกว่าความภาคภูมิใจและเกียรติยศ…
มีเพียงข้อสรุปเดียวเท่านั้น…
ภาคีแห่งนักบุญสาขาเลนสเตอร์ เป็นเพียงแค่หมากใช้แล้วทิ้งตัวหนึ่งสำหรับพวกผู้บริหารตั้งแต่แรกแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นการสั่งให้แบรดลีย์รักษาฐานที่มั่น หรือส่งทูตศักดิ์สิทธิ์มาช่วย ความเป็นจริงก็คือผู้บริหารไม่ได้สนใจเกี่ยวกับภาคีแห่งนักบุญสาขาเลนสเตอร์เลยแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่พวกเขาสนใจก็คือการยื้อตัวกลุ่มภราดรภาพแห่งการกอบกู้เอาไว้
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ภาคีแห่งนักบุญสาขาเลนสเตอร์ตกที่นั่งลำบากมาจนถึงตอนนี้
โรเอลคิดว่าในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ เขาจะต้องเข้าใจเหตุผลที่ว่าทำไมการจลาจลนี้ถึงได้ปะทุขึ้นเสียก่อน ถ้ากลุ่มภารดรภาพแห่งการกอบกู้ไม่ได้โง่ และเริ่มต้นสงครามครั้งนี้เพียงเพื่อจะยึดครองเมืองเลนสเตอร์…
ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเริ่มตรวจสอบดูรายงานข่าวกรองต่าง ๆ ของภาคีแห่งนักบุญ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จากนั้นเขาก็เจอชื่อที่น่าสนใจมากชื่อหนึ่ง
‘ราชาจอมเวทย์’ พริสเลย์ แม็กเวล
โรเอลงุนงงเมื่อเห็นชื่อนี้ ไม่ใช่เพราะเขารู้จักมัน แต่เป็นเพราะเขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลยต่างหาก คนที่ได้รับสมญานามว่า ‘ราชาจอมเวทย์’ จะต้องเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่น่าเกรงขามจนทิ้งร่องรอยของเขาไว้ในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน…ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องแปลกที่ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์อย่างเขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
ดังนั้นโรเอลจึงพยายามสอบถามเหล่าสาวกที่เฝ้าทางเข้าห้องเกี่ยวกับ พริสเลย์ แม็กเวลและผลที่ได้ก็ต้องทำให้เขาตกใจ
ปรากฎว่าราชาจอมเวทย์ พริสเลย์ แม็กเวล คืออาจารย์ใหญ่คนปัจจุบันของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า!
???
หา? นี่มันบ้าอะไรกัน ไม่มีทางที่เราจะไม่เคยได้ยินชื่อของคนระดับนั้นแน่ ๆ!
ดวงตาของโรเอลเฉียบคมขึ้น เมื่อเขารู้สึกได้ถึงความผิดปกตินี้
ตามคำบอกเล่าของเหล่าสาวก พริสเลย์มีชื่อเสียงมาเป็นเวลานานแล้ว เขาเคยเป็นอาจารย์ที่อยู่ในอาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนลที่เกษียณอายุมานาน ไม่มีใครรู้ว่าเขาอายุเท่าไหร่ แต่เขาถูกทุกคนเรียกว่า ‘ราชาไร้มงกุฎ’ แห่งโบรลเนล เพราะเขาเป็นหนึ่งในบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้มีพลังเหนือธรรมชาติในยุคปัจจุบัน
เขาเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 1
ภายใต้สถานการณ์ปกติ คนที่ระดับพริสเลย์ควรได้รับการพักผ่อนอย่างสงบในช่วงบั้นปลายของชีวิต แต่สถานการณ์ในสงครามแนวหน้ากับพวกกลายพันธุ์นั้นเลวร้ายลงมากจนพริสเลย์ไม่สามารถนั่งรออยู่ที่เบาะหลังได้อีกต่อไป
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะยืนหยัดอีกครั้ง แบกรับความรับผิดชอบมากมาย รวมถึงการขึ้นมาเป็นอาจารย์ใหญ่ของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า
เป็นไปได้ว่าพริสเลย์น่าจะเป็นผู้นำกองกำลังเสริมกลับมาทวงคืนความแข็งแกร่งให้กับสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า
โรเอลฟังคำอธิบายของสาวกอย่างไม่ใส่ใจ ราวกับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา ก่อนจะถามคำถามอีกสองสามข้อ แล้วไล่สาวกให้กลับออกไปพร้อมปิดประตูห้อง
ทันทีที่อยู่คนเดียว ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเคร่งขรึม
…
ขณะเดียวกันที่ไหนสักแห่งที่อยู่ห่างไกล ชายชราชุดดำรับจดหมายมาก่อนจะเปิดอ่านมัน เมื่อเขาเห็นว่ามีคนกำลังใช้คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดแบบเดียวกันกับเขา เพื่อแก้เสียงบทสวดของกองทัพแห่งการกอบกู้ ดวงตาของชายชราก็หรี่ลง…
“ตระกูลแอสคาร์ด…”
พริสเลย์พึมพำพลางมองไปในทิศทางของเมืองเลนสเตอร์