บทที่ 298: ราชินีแม่มด
นานแล้วที่โรเอล แอสคาร์ดไม่ได้ประสบกับความรู้สึกแบบนี้
จิตใจของเขามัวหมองราวกับว่าจมอยู่ในห้วงความฝัน ราวกับว่ากำลังถูกนำทางไปที่ไหนสักแห่งโดยพลังลึกลับที่ชวนให้นึกถึงการเดินทางไปพบกับทวยเทพ
จิตสำนึกและการควบคุมร่างกายของเด็กหนุ่มมัวหมองจนถึงจุดที่เขารู้สึกเหมือนเป็นผู้ชมที่กำลังชมภาพยนตร์ในมุมมองบุคคลที่หนึ่ง แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเท่าไหร่นัก เพราะมันเหมือนกับการขจัดความเหนื่อยล้าที่เขาได้รับจากการเดินทางอันยาวนาน
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้โรเอลรู้สึกประหลาดใจก็คือสภาพแวดล้อมรอบตัวเขา
เขากำลังเดินไปตามท้องถนน
มันไม่ใช่ที่ราบสีเลือดหรือหุบเขา แต่เป็นถนนสีขาวบริสุทธิ์อันกว้างขวาง แม้จะไม่มีผู้คนแต่ก็ไม่ได้ดูร้าง ราวกับว่ากำลังรอการกลับมาของกษัตริย์
แสงแดดจากเบื้องบนทำให้ถนนสีขาวเปล่งแสงจาง ๆ ปกคลุมไปด้วยความงามอันไร้ตัวตน เผยให้เห็นปราสาทอันงดงามตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง
จิตสำนึกของโรเอลที่กำลังคลุมเครือ เริ่มกลับมาเป็นปกติทีละน้อย พยายามประมวลผลความแตกต่างในสภาพแวดล้อม
ปราสาทนี้มีหอคอยสูงหลายหลังและธงโบกสะบัดอยู่บนหลังคา มีพรมสีแดงเข้มปักด้วยดอกไม้สีทองให้บรรยากาศแบบชนชั้นสูงหรือราชวัง ประตูหลายบานตามสองข้างทางนั้นดูใหญ่โตและน่าเกรงขาม สถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่แสดงให้เห็นว่าดินแดนแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองเพียงใด
โรเอลไม่เคยคิดมาก่อนว่าเทพเจ้าโบราณในสถานะผู้เฝ้ามองครั้งนี้จะอาศัยอยู่ในเมืองโอ่อ่าหรูหราเช่นนี้…ประสบการณ์ก่อนหน้าของเขาในการเจอกันกับกรันด้า และเปตราไม่ได้แสดงให้เห็นถึงอารยธรรมโบราณใด ๆ เลย
หลังจากเดินผ่านทางเดินยาวหลายจุดจนมาถึงประตูอันสูงตระหง่าน ในที่สุดฝีเท้าของเขาก็หยุดลง ส่งสัญญาณให้รู้ว่าเขาได้มาถึงที่หมายแล้ว
แม้ว่าจะเป็นเรื่องแปลก แต่โรเอลกลับเข้าใจดีว่าตนเองอยู่ที่ไหน ทางเข้าห้องโถงสำหรับรับรองแขก
เขากำลังยืนอยู่ที่ใจกลางของพระราชวัง ที่ซึ่งเทพเจ้าโบราณอาศัยอยู่
ไม่มีใครรายงานการมาถึงของเด็กหนุ่ม ประตูบานใหญ่อันหรูหราของห้องโถงถูกเปิดออกโดยอัตโนมัติ ราวกับว่ากำลังเชื้อเชิญให้เขาเข้าไป
รอยที่ประตูฉายแสงเล็ก ๆ ลงบนหน้าผากของโรเอล ห่อหุ้มตัวเขาและบริเวณโดยรอบอย่างรวดเร็ว ทำนองที่เรียบง่าย สง่างามเริ่มเล่นเป็นฉากหลัง ฝุ่นสีทองร่วงหล่นลงสู่ห้องโถง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นดอกไม้เมื่อสัมผัสกับพื้น
ที่ศูนย์กลางของห้องโถงมีแท่นยกสูงและบัลลังก์สูงตั้งอยู่ ข้างบนนั้นมีหญิงผมขาวที่มีริมฝีปากสีแดงเหมือนเชอร์รี่ เธอมีรูปร่างน่าจะอายุราว ๆ สิบเจ็ดหรือสิบแปดปี มีผิวที่เรียบเนียนดูบอบบาง สวมเสื้อคลุมรัดแน่นเผยให้เห็นทรวดทรงโครงร่าง มีขนตายาวฉายเงาเล็กน้อยลงบนดวงตาที่ปิดสนิท
บางทีอาจเป็นเพราะเสียงในฉากหลัง…หรือว่าเธอสัมผัสได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในห้องโถง เปลือกตาของหญิงสาวจึงเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ทันทีที่ดวงตาสีแดงของเธอเปิดออก โรเอลก็รู้สึกสั่นสะท้านจนหลุดออกจากภวังค์โดยสมบูรณ์
“!”
ร่างกายของโรเอลสั่นสะท้านไปทั้งตัว เขาเงยหน้าขึ้นอย่างระมัดระวังเพื่อแหงนมองไปยังหญิงสาวบนบัลลังก์ เธอดูงุนงง ทว่าทันทีที่ดวงตาสีแดงสบกันกับดวงตาสีทองของโรเอล ริมฝีปากของเธอก็ขดขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นเป็นกันเอง
“ในที่สุดเราก็ได้พบกันแล้วสินะ…”
“เธอคือ…?”
“ข้ามีนามว่าอาร์เทเชีย แต่เจ้าคงจะคุ้นเคยกับนาม ‘ราชินีแม่มด’ เสียมากกว่า”
“!”
โรเอลเบิกตากว้าง!
คำว่า ‘แม่มด’ ไม่ได้ถูกใช้มากนักในทวีปเซีย ต่างจากในอดีตชาติของโรเอล มันไม่ใช่แค่คำกล่าวหาไร้สาระที่ใช้ใส่ร้ายผู้หญิงไร้เดียงสาเพื่อเผาพวกเธอ…แต่เป็นตัวตนที่มีอยู่จริงๆ
มีแม่มดจำนวนไม่มากบนโลก และพวกเธอก็ไม่ชอบที่จะอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม ดังนั้นมันจึงยากที่จะเรียกพวกเธอว่าเผ่าพันธุ์หรือเผ่า อย่างไรก็ตามพวกเธอก็ยังคงเป็นที่ยำเกรงในสมัยโบราณ
ถึงแม้ว่ามนุษย์จะยำเกรงพวกเธอน้อยกว่ามาก จะเพราะตัวตนหรือเผ่าพันธุ์ทรงอำนาจที่มีอำนาจอื่น ๆ ก็ตาม แต่ในตำนานส่วนใหญ่ที่ยังคงหลงเหลือสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน แม่มดก็ถูกพรรณนาว่าเป็นหญิงชราหรือสัตว์ประหลาดที่ไร้มนุษยธรรม ส่วนใหญ่มักถูกจดจำในบริบทของอวตารแห่งภัยพิบัติ
สิ่งที่ทำให้โรเอลสับสนในตอนนี้ก็คือ คำว่า ‘ราชินีแม่มด’ ด้วยที่ว่าแม่มดนั้นไม่ได้อาศัยอยู่ร่วมกันเป็นชุมชน นอกจากนี้เขายังคิดว่ามันแปลกเกินไปที่อีกฝ่ายแนะนำตัวออกมาในทันที เทพเจ้าที่ไหนจะคุยกันได้…
“เทพเจ้าที่ไหนจะคุยกันได้ง่าย ๆ แบบนี้ นั่นคือสิ่งที่เจ้ากำลังคิดอยู่ใช่ไหม ?”
“อา?”
โรเอลสะดุ้งด้วยความประหลาดใจ เมื่อความคิดของเขาถูกอ่านออกมาดัง ๆ อาร์เทเชียหัวเราะตอบกลับอย่างร่าเริง แต่ในไม่ช้ารอยยิ้มของเธอก็จางหายไปก่อนจะเริ่มม้วนผมด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ใจร้ายจริง ๆ ข้าก็แค่แนะนำเท่านั้นเอง มันไม่ใช่เรื่องแปลกเสียหน่อย มันไม่ดีเลยนะที่เจ้าจะมองมาที่ข้าด้วยสายตาที่มีอคติแบบนั้น…”
“ฉ…ฉันขอโทษ ฉันก็แค่…”
“ข้ายอมรับคำขอโทษของเจ้า ข้าไม่ได้เป็นคนใจแคบอะไรขนาดนั้น ข้าสามารถยกโทษให้วีรบุรุษของข้าได้ทุกอย่างอยู่แล้ว”
ก่อนที่โรเอลจะพูดจบ อาร์เทเชียก็ขัดจังหวะด้วยการดีดนิ้วพร้อมยิ้มเพื่อให้ความมั่นใจกับเขา ดวงตาสีแดงของเธอจ้องมองมาที่โรเอลอย่างตั้งใจ จากนั้นริมฝีปากของเธอก็ม้วนงอลงอย่างน่ารัก
ตรงกันข้ามนี่กลับทำให้โรเอลสับสนยิ่งขึ้น
“วีรบุรุษ?”
“ใช่แล้ว เจ้าคือวีรบุรุษที่จะปลดปล่อยข้าออกจากความตายอันเป็นนิรันดร์”
อาร์เทเชียมองโรเอลด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความชื่นชม
“บอกชื่อของเจ้ามาบ้างสิ ข้าอยากรู้ชื่อของวีรบุรุษที่เข้ามาช่วยข้า”
“ฉันชื่อว่า…”
อย่าบอกเธอนะ!
“!”
ระหว่างที่โรเอลกำลังจะเปิดเผยชื่อของตน เสียงของเปตราก็ดังก้องขึ้นในหูของเขาทันที แม้ว่ามันจะจางหายหลังจากนั้น แต่คำเตือนของเทพธิดาแห่งผืนปฐพีก็ทำให้เด็กหนุ่มสั่น และสูญเสียเสียงไปชั่วครู่หนึ่ง
อาร์เทเชียกระพริบตา ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก่อนที่เธอจะได้ถาม โรเอลก็กลับคืนสู่สภาพปกติเสียก่อน
“…ร. ฉันชื่อว่าโร”
“โร? ช่างเป็นชื่อที่วิเศษจริง ๆ!”
อาร์เทเชียกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์
เธอลุกขึ้นจากบัลลังก์และพูดคำที่ทำให้โรเอลตกตะลึงอย่างถึงที่สุด
“ในเมื่อพวกเราเสร็จสิ้นการแนะนำตัวแล้ว เรามาทำความรู้จักกันมากขึ้นผ่านการออกเดตดีไหม?”
“เดต?”
“แน่นอน! ข้าต้องตอบแทนวีรบุรุษที่มาไกลขนาดนี้เพื่อปลดปล่อยข้าสิ นั่นเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ? อัศวินผู้เอาชนะมังกรชั่วร้ายและช่วยเจ้าหญิงจากการถูกจองจำ จากนั้นพระราชาก็จะมอบทรัพย์สมบัติมากมาย และหมั้นหมายมอบเจ้าหญิงให้แก่เขา…เป็นตอนจบตามปกติอันสมบูรณ์”
“แต่ฉันยังไม่ได้เอาชนะมังกรร้ายใด ๆ เลยนะ แล้วก็ไม่ได้เลือกที่จะช่วยเธอด้วยความตั้งใจของฉันเองด้วย”
โรเอลตอบอย่างเชื่องช้า
อาร์เทเชีย ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ริมฝีปากของเธอก็ย่นเป็นมุ่ยแสดงความอับอายออกมาเป็นสีแดงที่แก้มของเธอ
“!”
“ม..มันไม่สำคัญหรอก! ไม่ว่าเหตุจูงใจคืออะไรหรือต้องทนทุกข์หรือไม่ มันไม่มีความหมายเลยหากล้มเหลวในการช่วยเจ้าหญิงในตอนท้าย!…นอกจากนี้ เจ้าไม่คิดว่ามันจำเป็นสำหรับเราที่จะต้องทำความรู้จักกันให้มากขึ้นงั้นเหรอ?”
“จริง…ฉันเห็นด้วย ขออภัยด้วยขอรับ ฝ่าบาท”
“ไม่จริงน่า! ช่วยอย่าเรียกข้าด้วยสรรพนามที่เป็นทางการแบบนั้นจะได้ไหม? แค่อาร์เทเชียก็พอ”
อาร์เทเชีย หันศีรษะของเธอออกไปพร้อมกับมุ่ยหน้า จากนั้นครู่ต่อมาความคิดหนึ่งก็แล่บเข้ามาในหัวของเธอ หญิงสาวยกกระโปรงขึ้นเล็กน้อยเดินลงมาจากบันไดอย่างสง่างาม เพิ่มสีขาวให้กับทุ่งดอกไม้
“ดูสิ ตอนนี้พวกเรากำลังยืนอยู่บนพื้นดินเดียวกัน เท่านี้ก็ข้ามพิธีการลำบากพวกนั้นไปได้แล้วใช่ไหมล่ะ”
อาร์เทเชียเอียงศีรษะพร้อมถามด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าอันสวยงามของเธอแสดงออกถึงความอ่อนโยนและความอบอุ่นที่พร้อมจะละลายหัวใจของชายชาตรี โรเอลตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าในที่สุด…
“ได้เลย อาร์เทเชีย”
“เยี่ยม! มาเริ่มกันเลยดีกว่า”
ดวงตาสีแดงของอาร์เทเชียเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น เธอดีดนิ้วจากนั้นทั้งสองคนก็เปลี่ยนไปนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารริมหน้าต่าง
บนโต๊ะรับประทานอาหารที่ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจง มีแก้วไวน์คู่หนึ่งขัดมันอย่างประณีตและเครื่องเงินที่สั่งทำพิเศษ หน้าต่างข้างโต๊ะทำให้เห็นภาพรวมของปราสาทขนาดใหญ่และเมืองเบื้องล่าง
“ข้าอยากจะดูการแสดงละคร แต่เจ้าดูเหนื่อยมากแล้วจากการเดินทางไกล เพราะฉะนั้นให้ข้าได้ช่วยเติมพลังให้เจ้าเถอะ”
อาร์เทเชียกล่าวด้วยรอยยิ้มอันสง่างาม
ทันใดนั้นอาหารอันโอชะก็ปรากฏขึ้นบนจานของพวกเขา พร้อมกับแก้วไวน์ที่เริ่มเติมของเหลวสีแดงอย่างรวดเร็ว
ภาพอันน่าเหลือเชื่อนี้ทำให้โรเอลต้องอ้าปากค้าง เขาอดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปที่อาร์เทเชียผู้ร่าเริง แต่แล้วอีกฝ่ายเองก็จ้องมองมาทางเขาโดยไม่คาดคิดเช่นกัน…
“ข้ารู้ดีว่าตัวเองน่าทึ่ง แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าเจ้าช่วยจ้องมาที่ข้าให้น้อยลงอีกนิด… นี่เป็นเดตแรกของข้า”
“เดตแรกของเธอ?”
“อืม… ไม่เคยมีใครมารับประทานอาหารร่วมกับข้าที่โต๊ะอาหารมาก่อน”
ดูเหมือนว่าอาร์เทเชียจะลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย เธอเริ่มม้วนผมอีกครั้ง ดวงตาสีแดงมืดลงอย่างมืดมนพลางนึกถึงความทรงจำในอดีต จากนั้นเธอก็เบือนหน้าหนีอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่าจะถูกมองออก
โรเอลรู้สึกว่าหัวใจของเขาเริ่มโอนอ่อนลง
“เข้าใจแล้ว ฉันรู้สึกเป็นเกียรติจริง ๆ ที่ได้รับสิทธิพิเศษ พาเธอไปเดตเป็นคนแรก”
“ฮึ…แน่อยู่แล้ว เติมเท่าไหร่ก็ได้ตามใจชอบเลย นี่คือความเอื้ออาทรของราชินีแม่มด!”
รอยยิ้มกลับมาที่ใบหน้าของอาร์เทเชีย หลังจากได้ยินคำพูดของโรเอล
โรเอลหยิบเครื่องเงินของเขาและเริ่มรับประทานอาหาร ขณะที่เขาตักอาหารเข้าปาก รูม่านตาของเขาก็พองโตด้วยความประหลาดใจ
“อร่อย!”
“ใช่ไหมล่ะ? นี่เป็นของโปรดของข้าเอง ดูเหมือนว่าเราจะเข้ากันได้ดีจริง ๆ”
อาร์เทเชียปรบมืออย่างสนุกสนาน
ทั้งสองคุยกันเรื่องอาหารก่อนที่จะไปชมการแสดงดนตรี หลังจากนั้นพวกเขาก็ขี่ม้าไปยังทะเลสาบอันสวยงามและเดินเล่นรอบ ๆ บริเวณอย่างสบาย ๆ โรเอลได้สอนกฎหมากรุกให้กับอาร์เทเซียและเล่นด้วยกันกับเธอ แต่โชคไม่ดีที่เขาลงเอยด้วยการแพ้ต่อ ๆ กัน หลังจากผ่านไปสองสามตา ทำให้หญิงสาวยิ้มอย่างมีชัย
ภายใต้บรรยากาศอันอบอุ่นและคลุมเครือ พวกเขาทั้งสองก็กลับมายังห้องโถง
อาร์เทเชียดำดิ่งลงไปในทุ่งดอกไม้โบกมือไปมาอย่างสนุกสนาน จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยจ้องไปที่โรเอล ผู้ซึ่งยังคงยืนอยู่ที่ประตู เด็กหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเดินไปนอนข้าง ๆ อีกฝ่าย
“ขอบอกไว้ก่อนนะว่าข้าไม่ได้ขอให้เจ้าทำ…”
“คิดซะว่ามันเป็นความปรารถนาเดียวของฉันก็ได้ มันไม่ใช่งานอดิเรกของฉันที่จะยืนอดทนจ้องมองหญิงสาวนอนอยู่ทุ่งดอกไม้หรอกนะ…”
“ฮ่า ๆๆๆ! หญิงสาว? นานมากแล้วนะเนี่ย ที่ไม่มีใครเรียกข้าแบบนั้น”
อาร์เทเชียหลับตาลง ทั้งสองพักผ่อนเงียบ ๆ บนทุ่งดอกไม้เป็นเวลานาน แต่แล้วสภาพแวดล้อมอันสงบสุขนี้ก็ได้ถูกทำลายลงในที่สุด ด้วยการถอนหายใจอย่างไม่เต็มใจของราชินีแม่มดผมขาว
“ดูเหมือนว่าจะหมดเวลาแล้วสินะ”
—