บทที่ 299: สิ่งล่อลวงใจของแม่มด
“ดูเหมือนว่าจะหมดเวลาแล้วสินะ”
อาร์เทเชียที่นอนอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้พูดด้วยน้ำเสียงอันเศร้าโศกอย่างไม่เต็มใจ ซึ่งโรเอลก็ไม่ได้ตอบสนองต่อคำพูดของเธอ แต่เลือกที่จะรออย่างอดทนเพื่อให้เธอพูดต่อแทน
“เป็นการพบกันครั้งแรกที่ค่อนข้างนาน…และพวกเราก็ได้ออกเดตด้วยกัน ข้าสนุกกับมันมาก”
“ทำไมเธอถึงได้ชวนฉันไปเดตล่ะ”
“หืม…?”
“ฉันไม่คิดว่าเธอขอให้ฉันมาเดตด้วยเพียงเพราะ ฉันมีความสามารถในการพาเธอออกจากที่นี่หรอกนะ เพราะแม่มดไม่ใช่ตัวตนที่จะตอบแทนบุญคุณใคร…”
ดวงตาสีทองของโรเอลเปล่งประกายด้วยความสงบและหลักเหตุผล ไม่สะทกสะท้านต่ออารมณ์ของสถานการณ์
กลิ่นหอมของดอกไม้อบอวลไปทั่วทั้งทุ่งดอกไม้ภายใต้แสงแดดอันอบอุ่น ผิวของอาร์เทเชียดูเหมือนจะเปล่งประกายออกมาเล็กน้อย เธอมองลึกเข้าไปในดวงตาของโรเอลเป็นเวลานานก่อนที่ดวงตาสีแดงจะหรี่ลง
“แน่นอนสิ คิดว่ามีคนแบบนั้นในหมู่แม่มดงั้นเหรอ?”
รูปลักษณ์อันน่ารักและซุกซนที่อาร์เทเชียแสดงออกมาทั้งหมดได้จางหาย ก่อนจะเผยรอยยิ้มกว้างอันลึกลับซึ่งเหมาะสมกับคนที่ถูกขนานนามว่า ‘ราชินีแม่มด’
“เหตุผลของข้าที่ชวนเจ้าออกมาเดตนั้นง่ายมาก เจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่มีคุณสมบัติจะยืนเคียงข้างข้า”
“…”
คำตอบที่ไม่คาดคิดทำให้โรเอลขมวดคิ้วอย่างสงสัย ซึ่งอาร์เทเชียก็หัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทีของเขา
“อ่า…มีอีกอย่างเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากทำมาสักพักแล้ว”
“หืม?”
“หึหึ อยากรู้ไหมว่า ว่ามันคืออะไร?”
อาร์เทเชียถามอย่างซุกซน
เธอดีดนิ้วโดยไม่รอคำตอบใด ๆ ก่อนที่โรเอลจะทันเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เขาก็มานั่งบนบัลลังก์ที่ใจกลางทุ่งดอกไม้เสียแล้ว
“!”
“คิดอย่างไรบ้างล่ะ? เป็นมุมมองที่ดีทีเดียวเลยใช่ไหม?”
โรเอลเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ เขาไม่สามารถเข้าใจถึงความสำคัญของการเคลื่อนไหวนี้ได้ ทว่าทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงจากด้านข้าง และเมื่อหันศีรษะไป อาร์เทเชียก็เดินมายืนอยู่ข้างบัลลังก์แล้ว
“ปกติแล้วข้าคือคนที่นั่งอยู่บนนั้นเสมอ มองดูคนอื่นจากตำแหน่งที่สูงส่ง แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ข้าก็สงสัยว่าคนอื่นจะรู้สึกอย่างไร เมื่อได้มองโลกจากความสูงแบบเดียวกันกับข้า นี่ไม่ใช่ภาพที่ข้าจะสามารถแบ่งปันให้กับผู้อื่นได้ง่าย ๆ แต่สำหรับเจ้านั้นแตกต่างออกไป เป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าชอบมันไหมล่ะ?”
“…”
เมื่อต้องเผชิญกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของแม่มดผมขาวผู้ยิ้มแย้ม จู่ ๆ โรเอลก็พบว่าตัวเองพูดอะไรไม่ออก ทว่าก่อนที่เขาจะได้ตอบกลับไป จู่ ๆ อาร์เทเชียก็ยกนิ้วของเธอขึ้น พร้อมอุทานออกมาด้วยความตระหนัก
“…”
“โอ้…ข้าลืมไปได้อย่างไรกัน? ไม่ควรมีใครยืนอยู่ข้าง ๆ บัลลังก์นี่นา…”
อาร์เทเชียปิดหน้าของเธอด้วยความเขินอายก่อนที่จะหายตัวไปในทันที เมื่อเธอปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เธอก็ยืนอยู่ที่ฐานของแท่นแทนแล้ว
“ตำแหน่งของข้าควรจะอยู่ที่ไหนสักแห่งแถว ๆ นี้ … อ๋อ!”
เธอมองไปรอบ ๆ อย่างตื่นเต้นเพื่อหาตำแหน่งที่เหมาะสม จากนั้นเธอก็หันไปมองที่โรเอลและโค้งคำนับอย่างสง่างาม
ทันทีที่ราชินีแม่มดก้มศีรษะลง ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ก็เริ่มผุดขึ้นมาในหัวใจของโรเอล การอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจและความเหนือกว่าทำให้เขารู้สึกอิ่มเอมใจ เสียงในหัวของเขากำลังบอกว่าตัวเองรู้สึกดีต่อสิ่งนี้และต้องการอำนาจมากขึ้นไปอีก
หากเป็นตัวตนที่มีเหตุผลตามปกติของโรเอล เขาคงจะคิดว่าการครอบครองโลกเป็นเป้าหมายที่ไร้ประโยชน์ แต่ในตอนนี้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่เขาไม่สามารถบรรลุได้
เขารู้สึกว่าตนเองมีอำนาจเหนือทุกอย่าง…
“รู้สึกดีเวลาที่มีคนยืนอยู่ด้านล่างเจ้าใช่ไหมล่ะ? เจ้าคิดยังไงบ้าง? ผู้คนดูตัวเล็กกว่าเดิมเมื่อมองจากเบื้องบนใช่ไหม?”
“… แน่นอน”
ดวงตาสีทองของ โรเอล เปล่งประกายจาง ๆ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย รอยยิ้มของอาร์เทเชียสดใสยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบนี้
“…วีรบุรุษของข้า เจ้าต้องการที่จะเป็นราชาหรือไม่?”
“อะไรนะ?”
“ข้าเคยสนุกกับตำแหน่งนั้นมาก่อนแล้ว แต่วีรบุรุษของข้าเอ๋ย นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าจะได้นั่งในตำแหน่งนั้น”
“ไม่ ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะ…”
โรเอลสะบัดตัวเองออกจากภวังค์ในทันทีและรีบปฏิเสธข้อเสนอ ทว่าเสียงของอาร์เทเชียกลับดังขึ้นในหูของเขาในครู่ต่อมา
“แต่เจ้าดูมีความสุขมากเลยนะ”
“!”
หัวใจของโรเอลเต้นระรัวผิดจังหวะ เขาสะบัดศีรษะไปด้านข้างก่อนจะเห็นว่าจู่ ๆ อาร์เทเชียก็มายืนอยู่ข้าง ๆ เขาอีกครั้ง ด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนและเข้าใจ
“วีรบุรุษของข้า…ไม่เป็นไรหรอก หากเจ้าอยากจะไล่ตามความสุขของตนเอง เจ้าก็สมควรได้รับมัน ตราบใดที่เจ้าต้องการ ทุกสิ่งก็สามารถกลายเป็นความจริงได้…”
“เธอหมายถึงอะไร?”
“ข้าสามารถเติมเต็มความปรารถนาทั้งหมดของเจ้าในโลกแห่งความจริงได้ แม้กระทั่งความปรารถนาที่ลึกที่สุดของเจ้า แต่ก็นั่นแหละ…ข้าเองก็ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าด้วยเช่นกัน”
“เธอต้องการความช่วยเหลืออะไรจากฉันกัน?”
โรเอลถามตรงๆ
อาร์เทเชียพยักหน้าด้วยรอยยิ้มอันสดใส
“เด็กสาวที่มาที่นี่กับเจ้า ข้าต้องการให้นางมาเป็นร่างของข้าสักพัก”
“!”
“โอ้ ไม่จำเป็นต้องจ้องมองมาที่ข้าด้วยสายตาที่น่ากลัวแบบนั้นก็ได้”
นี่เป็นครั้งแรกในความฝันนี้ที่โรเอลจ้องมาที่อาร์เทเซียด้วยความโกรธสุดขีด ทำให้เธอต้องประท้วงอย่างขุ่นเคือง
“อย่างน้อย ๆ ข้าก็ต้องการร่างกายเพื่อช่วยเจ้าในโลกแห่งความเป็นจริงนะ ข้าขอสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายจิตใจเธอ”
“นั่นไม่ใช่ประเด็น!”
“…”
อาร์เทเชียเงียบไปทันที เมื่อโรเอลปฏิเสธอย่างหนักแน่น สีหน้าของเธอมุ่ยลงเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจลึกๆ
“ฮ่าฮ่า ข้ากังวลเกินไปสินะ? มันไม่สำคัญหรอก สำหรับตอนนี้แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
หลังจากที่อาร์เทเซียพูดคำนั้น จู่ ๆ โรเอลก็รู้สึกว่าศีรษะของตนหนักขึ้น สติของเขาเริ่มเลือนลาง สิ่งสุดท้ายที่เห็นเหลือเพียงรอยยิ้มขี้เล่นของแม่มดผมขาวผู้ลึกลับ
“ในไม่ช้านี้เจ้าจะต้องเปลี่ยนใจแน่”
…
“!”
เมื่อโรเอลลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็กลับมาอยู่ในห้องของปราสาทวอลเชสเตอร์แล้ว เด็กหนุ่มนอนงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะนึกถึงแม่มดผมขาวที่ตนได้พบในความฝันและลุกขึ้นมา
“!”
“อาร์เทเชีย…”
โรเอลพึมพำชื่อของราชินีแม่มดพร้อมกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่าการพบปะกับเธอครั้งนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดี
อาร์เทเชียแสดงให้เห็นว่าเธอแตกต่างจากทั้งกรันด้าและเปตรา เธอจะให้ความช่วยเหลือหากได้รับค่าตอบแทน และความต้องการของเธอไม่ใช่สิ่งที่เขาพร้อมจะปฏิบัติตาม
โรเอลจะยอมให้เธอครอบครองร่างของลิเลียนได้อย่างไร?
ตอนนี้เขาเข้าใจเป้าหมายของอาร์เทเชียเป็นอย่างดีแล้ว เธอต้องการที่จะชุบชีวิตตัวเองกลับมาในโลกแห่งความเป็นจริง
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้โรเอลสับสนก็คือทำไมเขาถึงได้พบกับราชินีแม่มด
ตามที่ได้ยินมาจากกรันด้า ผู้ที่เข้าสู่สถานะผู้เฝ้ามองโดยไม่มีวัตถุโบราณที่เกี่ยวกับเทพเจ้าโบราณจะถูกจับคู่โดยอัตโนมัติกับเทพเจ้าโบราณที่มีลักษณะคล้ายกัน
โดยพื้นฐานแล้วมันทำงานในลักษณะเดียวกับสงครามจอกศักดิ์สิทธิ์ในเกมกาชาที่โรเอลเจอในอดีตชาติ
อย่างไรก็ตามการมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันไม่ได้รับประกันความแข็งแกร่ง มันเป็นไปได้สำหรับโรเอลที่จะได้รับตัวละครระดับ SSR แบบกรันด้าและ เปตรา แต่ก็เป็นไปได้ที่เขาจะได้แค่ตัวละครทั่ว ๆ ไประดับ N เช่นกัน
โรเอลมั่นใจว่าราชินีแม่มดอาร์เทเชีย เป็นการ์ด SSR แต่เขาก็ไม่ได้ครอบครองวัตถุโบราณใด ๆ ของเธอ… นอกเสียจากแหวนกุหลาบดำ แต่จากข้อมูลที่เขารู้ ประวัติของแหวนกุหลาบดำเองก็ไม่ได้ย้อนไปไกลถึงขนาดนั้น
ด้วยความที่ไม่สามารถทำความเข้าใจอะไรได้ โรเอลจึงนวดขมับและพยายามสงบสติอารมณ์ลง
คิดในแง่บวก ตอนนี้เขาเป็นฝ่ายที่มีอำนาจต่อรองมากกว่า ดังนั้นมันจึงเป็นไปได้ที่เขาจะเจรจาข้อตกลงกับเธอใหม่ในภายหลัง
หลังจากจัดระเบียบความคิดของตนแล้วโรเอลก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นมาจากด้านนอกห้อง พร้อมเสียงเคาะเบา ๆ ที่ประตู
ก๊อก…ก๊อก…!
“ใครกัน?”
“ท่านทูตศักดิ์สิทธิ์…กระผมแบรดลีย์เองขอรับ”
หลังจากได้รับอนุญาตจากโรเอล แบรดลีย์ก็เดินเข้ามาในห้องด้วยความเคารพพร้อมกับซองจดหมายในมือ
“ท่านทูตศักดิ์สิทธิ์ กระผมไม่ได้วางแผนที่จะขัดจังหวะการพักผ่อนของท่าน แต่กลุ่มภารดรภาพแห่งการกอบกู้ได้ส่งจดหมายมาเพื่อขอเจรจาขอรับ”
“เจรจา?”
โรเอลขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาหยิบซองจดหมายขึ้นอ่านเนื้อหาภายในอย่างละเอียด มันถูกส่งมาจากซาร์โทนี่ อธิการของภราดรภาพแห่งการกอบกู้ โดยเสนอให้มีการประชุมเจรจากันที่เขตเมืองทางตอนเหนือเพื่อหารือเกี่ยวกับการสงบศึก
แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะต้องการการประนีประนอมแต่ถ้อยคำในจดหมายก็สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนถึงความลังเลใจของซาร์โทนี่ที่แทบจะซึมเข้าไปในจดหมาย สิ่งนี้บอกเป็นนัยว่านี่เป็นคำสั่งที่มาจากผู้บริหารระดับสูง และซาร์โทนี่ถูกบังคับให้เชื่อฟังคำสั่งนั้น…
โรเอลหลับตาและนวดหน้าผากหลังจากที่ได้อ่านจดหมาย
การเปลี่ยนแปลงทางทัศนคติของกลุ่มภราดรภาพแห่งการกอบกู้น่าจะเป็นผลมาจากการแทรกแซงของทูตศักดิ์สิทธิ์โรเอล
การมาถึงของเขาหมายความว่าภาคีแห่งนักบุญสาขาเลนสเตอร์สามารถใช้อุปกรณ์เวทย์ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาได้ ซึ่งเปิดทางเลือกในการทำลายล้างกลุ่มภารดรภาพแห่งการกอบกู้ให้กับทางภาคีแห่งนักบุญ ด้วยเหตุนี้กลุ่มภารดรภาพแห่งการกอบกู้จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องพิจารณาทางเลือกของพวกเขาใหม่
ด้วยเหตุผลดังกล่าวพวกเขาจึงตัดสินใจยอมแพ้ชั่วคราวและเสนอให้มีการสงบศึก
นี่ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายสำหรับโรเอล เพราะเขาต้องการเวลาในการตามหาลิเลียน การพบปะกับอาร์เทเชียได้ยืนยันความสงสัยของเขาแล้วว่าลิเลียนอยู่ในสถานะผู้เฝ้ามองเช่นเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงต้องรักษาตำแหน่งของตัวเองให้ดีจนกว่า พวกเขาจะกลับมารวมตัวกันได้อีกครั้ง
เพื่อให้แน่ใจว่าการเจรจาสงบศึกหยุดยิงเป็นไปได้ด้วยดี เขาจะต้องทำตัวเหมือนคนบ้าที่พร้อมจะระเบิดใส่ศัตรูในทันทีที่สิ่งต่าง ๆ ไปในทิศทางที่เขาไม่ต้องการ
“แบรดลีย์ แล้วมันอยู่ที่ไหน?…”
“อยู่ที่นี่กับกระผมแล้วขอรับ โปรดมั่นใจได้ว่ากระผมจะดูแลมันอย่างดี”
แบรดลีย์ล้วงเข้าไปในเสื้อคลุมของตนแล้วค่อย ๆ ดึงกล่องเล็ก ๆ ขนาดประมาณฝ่ามือออกมา โรเอลประหลาดใจที่ได้รู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าอุปกรณ์เวทย์ศักดิ์สิทธิ์นั้นมีขนาดเล็กมากถึงขนาดนี้
สิ่งของเล็ก ๆ ชิ้นนี้เพียงพอที่จะข่มขู่ศัตรูของเราจริง ๆ งั้นเหรอ?
โรเอลรับกล่องมาจากมือของแบรดลีย์ด้วยความสงสัย แต่ก่อนที่เขาจะเปิดมัน เสียงอันคุ้นเคยก็ดังก้องขึ้นภายในหัวของเขา พร้อมกับชุดการแจ้งเตือนของระบบที่ปรากฏขึ้น
【กริ๊ง!】
【ตรวจพบศิลาแห่งมงกุฎ】
【กำลังเริ่มขั้นตอน ‘การสร้างพลังสายเลือดขึ้นใหม่’…】