บทที่ 300: ผู้เรียกพายุ
ระหว่างที่โรเอลกำลังถือกล่องที่บรรจุอุปกรณ์เวทย์ศักดิ์สิทธิ์ของภาคีแห่งนักบุญเอาไว้ ชุดการแจ้งเตือนของระบบก็ปรากฏขึ้น
【กริ๊ง !】
【ตรวจพบศิลาแห่งมงกุฎ】
【กำลังเริ่มขั้นตอน ‘การสร้างพลังสายเลือดขึ้นใหม่’…】
โรเอลไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าอุปกรณ์เวทย์ศักดิ์สิทธิ์ของภาคีแห่งนักบุญจะเป็นศิลาแห่งมงกุฎ! สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นสุดๆ
ตอนนี้โรเอลไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีเท่าไหร่ สภาพร่างกายของเขาไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม, การสื่อสารกับกรันด้าและเปตราเป็นไปไม่ได้ในสถานะผู้เฝ้ามอง, และตำแหน่งของลิเลียนก็ยังคงเป็นปริศนา และอาร์เทเชียเองก็ไม่ใช่พันธมิตรที่น่าเชื่อถือ…
ขณะนี้เด็กหนุ่มต้องการพลังเป็นอย่างมาก และศิลาแห่งมงกุฎก็สามารถให้ในสิ่งที่เขาต้องการได้!
จนถึงตอนนี้นอกจากความช่วยเหลือจากเทพเจ้าโบราณแล้ว พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่โรเอลครอบครองก็คือคาถาเวทย์ ‘สัมผัสแห่งธารน้ำแข็ง’ ซึ่งได้มาจากศิลาแห่งมงกุฎไข่ของผู้สร้างธารน้ำแข็ง ต้องขอบคุณมันที่ทำให้เขาสามารถเอาชนะอุปสรรคมากมายมาได้แบบนี้…
ดังนั้นโรเอลจึงเปิดภาชนะอย่างระมัดระวังแล้วมองเข้าไปข้างใน
ข้างในกล่องมีอัญมณีโปร่งใสถูกปิดผนึกด้วยแม่กุญแจที่มีจารึกลึกลับสลักอยู่ ตรงศูนย์กลางของอัญมณีโปร่งใสมีกลุ่มพลังเวทย์สีเหลืองซีด ก่อตัวเป็นเงาคล้ายมนุษย์ที่พร่ามัว
ทันทีที่โรเอลเห็นออร่าสีเหลืองซีด ชื่อที่เขาเคยได้ยินจากอิซาเบลลาก็ปรากฏขึ้นในหัวของเขาโดยสัญชาตญาณ
ผู้เรียกพายุ หนึ่งในหกภัยพิบัติ…
นี่คือชื่อที่พวกเทรนท์เรียกตัวตนอันน่าสะพรึงกลัว ซึ่งเป็นสาเหตุของการสูญพันธุ์ของเผ่าพันธุ์โบราณมากมาย
เคเดย์เคยพูดถึงผู้เรียกพายุในบทสนทนาสบาย ๆ ครั้งหนึ่งของพวกเขา โดยอธิบายว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่ไม่สามารถเข้าใจหรือสื่อสารด้วยได้ มันมักจะซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบ ๆ ในโลก ก่อนจะกลายเป็นภาพเงาในช่วงเวลาสุดท้ายของคน ๆ หนึ่ง
นี่คืออุปกรณ์เวทย์ศักดิ์สิทธิ์งั้นเหรอ?
เมื่อมองไปที่ไข่ของ ผู้เรียกพายุ ในภาชนะ ในที่สุดโรเอลก็เข้าใจแล้วว่าทำไมกลุ่มภราดรภาพแห่งการกอบกู้ จึงเสนอที่จะเจรจาสงบศึกในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ขณะเดียวกันเขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงผู้บริหารของภาคีแห่งนักบุญว่าเป็นกลุ่มคนที่บ้ามากแค่ไหน?
โชคดีที่ซาร์โทนี่ได้สังหารทูตศักดิ์สิทธิ์คนก่อนหน้านี้ไป มิฉะนั้นคนทั้งเมืองเลนสเตอร์จะถูกกวาดล้างออกจากแผนที่โดยหกภัยพิบัติไปแล้ว…
ลัทธิชั่วร้ายนั้นสมกับเป็นลัทธิชั่วร้ายโดยแท้จริง…พวกเขาอาจเป็นพันธมิตรที่ดีในการเผชิญหน้ากับศัตรูทั่ว ๆ ไป แต่ท้ายที่สุดอุดมคติสุดโต่งของพวกเขาก็มักจะส่งผลให้เกิดโศกนาฏกรรมสำหรับคนรอบข้างอยู่ดี
โรเอลครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาตัดสินใจที่จะไม่ดูดพลังของซับไข่ในทันที เขายังคงต้องการมันเพื่อข่มขู่กลุ่มภารดรภาพแห่งการกอบกู้อยู่ และการดูดซับมันอาจจะทำให้อำนาจที่เหนือกว่าพวกเขาตกต่ำลง ยิ่งไปกว่านั้นเด็กหนุ่มยังจำได้ดีว่าเขาเกือบตายในครั้งก่อนที่ดูดซับพลังในไข่ของผู้สร้างธารน้ำแข็ง ดังนั้นเขาจึงต้องระมัดระวังให้มากหากคิดที่จะทำมันอีกครั้ง…
อย่างไรก็ตามครั้งนี้โรเอลสังเกตเห็นบางสิ่งที่แปลกประหลาดออกไป
ไข่ของผู้เรียกพายุ เป็นอัญมณีโปร่งใสคล้ายกับคลังกระสุนอัญมณีของตระกูลโซโรฟยา ย้อนกลับไปในตอนนั้น ไข่ของผู้สร้างธารน้ำแข็งเองก็ถูกปิดผนึกโดยจิตวิญญาณทองคำของอาณาจักรโซเฟีย ดังนั้นวิธีที่ใช้ในการควบคุมหกภัยพิบัติทั้งสองก็น่าจะมาจากเผ่าไฮเอลฟ์…
…นี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญงั้นเหรอ?
ความสงสัยนี้ค้างอยู่ในใจของโรเอลชั่วครู่ก่อนที่เขาจะยักไหล่ มันไม่ใช่คำถามที่เขาจะตอบได้ในตอนนี้ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงบอกให้แบรดลีย์ยอมรับข้อเสนอการเจรจาของภราดรภาพแห่งการกอบกู้ และกำหนดเป็นตอนเที่ยงของวันถัดไป
สาวกของภาคีแห่งนักบุญนั้นเหนื่อยล้าจากการต่อสู้อย่างไม่หยุดยั้งในคืนก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการเวลาในการพักผ่อนเพื่อเติมพลัง ทหารชุดเกราะดำและร่างชุดดำมีการเคลื่อนไหวน้อยที่สุดในตอนเที่ยง ดังนั้นมันจะปลอดภัยกว่ามากสำหรับพวกเขาที่จะนัดเจรจากันในเวลานั้น
พวกเขาดำเนินการหารือเกี่ยวกับความต้องการพื้นฐานสำหรับการเจรจา หลังจากนั้นโรเอลก็เริ่มถามเกี่ยวกับการขอความร่วมมือกับสถาบันเซนต์เฟรย่าว่าเป็นอย่างไรบ้าง?
โรเอลไม่ได้ ‘แทรกซึม’ ภาคีแห่งนักบุญ เพื่อดำเนินภารกิจสายลับของสายลับ เขารู้ว่าตนเองอยู่ในสถานะที่ไม่ปลอดภัยโดยสมบูรณ์ที่นี่ และมีความเสี่ยงอย่างสูงที่จะถูกเปิดโปง ดังนั้นหากมีโอกาสเขาจะออกจากรังของพวกลัทธิชั่วร้ายหัวรุนแรงเหล่านี้และเข้าร่วมสถาบันการศึกษาแทนได้ เขาก็พร้อมที่จะกระโดดไปในทันที…
โชคดีที่ดูเหมือนว่าสิ่งต่าง ๆ จะไปได้ดีในแง่นั้น
ตามที่แบรดลีย์กล่าว สมาชิกที่ได้รับบาดเจ็บบางส่วนในกองทหารรักษาการณ์ถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลังในช่วงที่ถอยทัพกลับไปยังโรงเรียนเซนต์เฟรยา เพื่อหลีกเลี่ยงการไล่ตามของสัตว์ประหลาด พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแสวงหาที่หลบภัยชั่วคราวกับภาคีแห่งนักบุญ ย้อนกลับไปตอนนั้นภาคีแห่งนักบุญอยู่ในสภาพย่ำแย่และต้องการความช่วยเหลือใด ๆ ก็ได้โดยไม่สนใจฝ่าย ดังนั้นจึงอนุญาตให้พวกเขาเหล่านั้นมาเข้าร่วม
ซึ่งมันก็ได้ผลอย่างเป็นอย่างดี เพราะตอนนี้พวกเขาสามารถใช้ให้ทหารเหล่านั้นทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสารได้…
ดวงตาของโรเอลเปล่งประกายเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาตัดสินใจไปเยี่ยมเหล่าทหารในห้องที่ถูกจัดสรรให้กับพวกเขาในปราสาทวอลเชสเตอร์
ทันทีที่โรเอลก้าวเข้ามาในห้อง สมาชิกกองทหารรักษาการณ์ที่ได้รับบาดเจ็บก็ลุกขึ้นยืนอย่างระมัดระวัง กังวลว่าเด็กหนุ่มจะพยายามทำอะไรพวกเขารึเปล่า แต่โรเอลก็ไม่ได้ทำอะไร และเลือกที่จะปล่อยพวกเขาไปแทน
“แม้แต่สิ่งมีชีวิตจากเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ก็ยังจับมือกันเพื่อเผชิญภัยคุกคามร่วมกัน นับประสาอะไรกับมนุษย์อย่างพวกเรา นี่ถือเป็นการแสดงความจริงใจจากข้า ที่จะยอมปล่อยพวกเจ้าทุกคนไป จงมอบสิ่งนี้ให้กับผู้บัญชาการแอนโตนิโอซะ แล้วบอกเขาว่าข้าต้องการปรึกษาเรื่องนี้กับเขา”
โรเอลมอบอำพันอดามันไทน์ สัญลักษณ์ของสมัชชาให้กับหัวหน้าของสมาชิกกองทหารรักษาการณ์ที่ได้รับบาดเจ็บก่อนที่จะปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระ…
ทีแรกเด็กหนุ่มคิดที่จะบอกพวกเขาเกี่ยวกับความสงสัยที่ตนเองมีเกี่ยวกับพริสเลย์ อาจารย์ใหญ่คนปัจจุบันของสถาบันเซนต์เฟรยา แต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจไม่ทำมัน เพราะตัวตนของเขาในตอนนี้ยังไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ในมุมมองของกองทหารรักษาการณ์ ซึ่งหากเขาพยายามที่จะตั้งข้อสงสัยกับบุคคลที่เป็นที่น่าเคารพนับถืออย่างสูงในโบรเนลแล้วล่ะก็มันจะยิ่งตกต่ำลงไปอีก
หากโรเอลอยู่ในตำแหน่งของอีกฝ่าย เขาก็คงคิดว่าศัตรูกำลังพยายามก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในหมู่พวกเขา ตอนนี้เด็กหนุ่มจึงไม่ต้องการให้สมาชิกในกองทหารรักษาการณ์คิดว่าเขามีแรงจูงใจซ่อนเร้นใด ๆ เพื่อให้พวกเขายอมถ่ายทอดข้อความไปถึงแอนโตนิโอ
หลังจากปล่อยตัวสมาชิกในกองทหารรักษาการณ์แล้ว โรเอลก็กลับไปที่ห้องเพื่อพักผ่อนและเตรียมตัวสำหรับการเจรจาในวันรุ่งขึ้น
…
ภาคีแห่งนักบุญได้มีคืนอันสงบสุขเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่การจลาจล แม้ว่าจะมีสัตว์ประหลาดสองสามตัวสะดุดเข้ามาที่แนวหน้าของพวกเขา แต่เหล่าสาวกก็สามารถกำจัดพวกมันได้อย่างง่ายดายด้วยคาถาเวทย์
นี่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจสำหรับโรเอล…
แม้ว่ากองทัพทั้งสองฝั่งควรจะหยุดการต่อสู้ชั่วคราวก่อนที่จะมีการเจรจา แต่ทั้งภาคีแห่งนักบุญและกลุ่มภารดรภาพแห่งการกอบกู้ต่างก็ไม่มีกองกำลังทหารที่มีวินัยสูง ตรงกันข้ามพวกเขาเป็นพวกคลั่งไคล้กระหายเลือด
ซาร์โทนี่ไม่เห็นด้วยกับการหยุดยิงอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงมีโอกาสที่เขาจะโจมตีเต็มกำลังโดยหวังว่าจะชดใช้การสูญเสียของตน ซึ่งจะเสริมจุดยืนให้กับตำแหน่งของพวกเขาในการเจรจา
โรเอลรู้สึกว่ากลุ่มภารดรภาพแห่งการกอบกู้กำลังเผชิญปัญหาบางอย่าง ดังนั้นเขาจึงใช้เครือข่ายข่าวกรองของภาคีแห่งนักบุญตรวจสอบดู ทำให้ได้รู้ว่ากลุ่มภราดรภาพแห่งการกอบกู้จะถูกโจมตีเมื่อคืนนี้ ทำให้พวกเขาต้องส่งกองกำลังจำนวนมากไปยังเขตเมืองทางตอนใต้
สถานการณ์รุนแรงถึงขนาดต้องสั่งปราบปรามข้อมูล ทำให้ไม่มีใครรู้สถานการณ์ในปัจจุบันจริงๆ
นี่จึงเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด…แต่ก็ไม่ได้ดูแปลกเกินไป
คล้ายกับที่สมาชิกกองทหารรักษาการณ์ในอาณาเขตของภาคีแห่งนักบุญ มีทหาร นักเรียน และอาจารย์กระจัดกระจายอยู่ทั่วเมือง เป็นไปได้ว่าพวกเขาได้เรียนรู้ว่ากลุ่มภารดรภาพแห่งการกอบกู้เพิ่งประสบความสูญเสียครั้งใหญ่และพยายามใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์
เมื่อพบเหตุผลที่สมเหตุสมผล…หัวใจของโรเอลก็สบายใจขึ้น
เขาเก็บ ‘อุปกรณ์เวทย์ศักดิ์สิทธิ์’ ไว้ในกระเป๋า ก่อนจะเดินทางไปยังคฤหาสน์มินสเตอร์พร้อมกับคนอื่นๆ
จริง ๆ แล้วโรเอลต้องการพาแบรดลีย์ให้มาด้วยกัน แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายเป็นนักเชิดหุ่น แม้ว่าจะเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ระดับแก่นแท้ 2 แต่ถ้าหากเกิดการต่อสู้ระหว่างการเจรจา มันก็เป็นไปได้ที่เขาจะถูกลอบสังหารในชั่วพริบตา
เมื่อถึงตอนเที่ยงวัน ในที่สุดโรเอลก็มาถึงที่ที่ตกลงกันไว้บนรถม้าภายใต้การดูแลของเหล่าสาวก
คฤหาสน์มินสเตอร์เคยเป็นสำนักงานใหญ่ของภาคีแห่งภูมิปัญญา แม้จะเทียบไม่ได้กับคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ด หรือ คฤหาสน์เขาวงกต แต่ก็ยังถือว่ามีขนาดที่เหมาะสมดี เมื่อพิจารณาถึงราคาที่ดินอันแพงลิบลิ่วในเลนสเตอร์ที่มีประชากรมากมาย
ขณะที่โรเอลกำลังจะลงจากรถม้า…เขาก็ได้ยินเสียงดนตรีบรรเลงดังมาจากคฤหาสน์
สำหรับแวดวงของชนชั้นสูงแล้ว มันถือเป็นการกระทำอันหยาบคายอย่างยิ่งที่จะเริ่มงานเลี้ยงก่อนที่แขกทุกคนจะมาถึง เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์ว่าแขกคนนั้นไม่สำคัญ มันเป็นเรื่องน่าหัวเราะสำหรับกลุ่มภารดรภาพแห่งการกอบกู้ที่จะทำเช่นนี้ เมื่อพวกเขามารวมตัวกันที่นี่เพื่อหารือเกี่ยวกับการเจรจาสงบศึก
โรเอลยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจแล้วเดินเข้าไปในคฤหาสน์พร้อมกับคนของเขา
สิ่งแรกที่เขาเห็นคือเหล่าสาวกของภราดรภาพแห่งการกอบกู้กำลังขนย้ายสิ่งของต่าง ๆ ไปรอบ ๆ เพื่อเตรียมสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นพรมแดง ภาพวาด หรือของเก่าแก่ มีโต๊ะอาหารยาว ๆ ที่ถูกจัดเตรียมไว้ข้าง ๆ นักดนตรีที่เล่นดนตรีอย่างมีระดับ ผู้ชายและผู้หญิงที่สวมชุดสูททางการและชุดคลุมเต้นรำอย่างช้า ๆ ณ ใจกลางห้อง
ราวกับว่าพวกเขากำลังจัดงานเลี้ยงจริงๆ
กลุ่มของโรเอล เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะสมกับงาน เนื่องจากชุดเกราะและทัศนคติที่ระมัดระวัง เกือบจะเหมือนกลุ่มอันธพาลที่บุกเข้ามาในคฤหาสน์ของขุนนาง ซึ่งสาวกของภราดรภาพแห่งการกอบกู้ก็ไม่พลาดโอกาสที่จะเยาะเย้ยพวกเขาด้วยรอยยิ้มดูถูก
แน่นอนว่าสาวกของภาคีแห่งนักบุญก็รู้สึกขุ่นเคืองเป็นอย่างยิ่ง เมื่อต้องเผชิญกับการดูถูกเช่นนี้ แต่โรเอลกลับหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะยาวเพื่อนั่งลง รอยยิ้มอันสง่างามบนใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ใส่ใจกับความไร้มารยาทของอีกฝ่าย
เมื่อทั้งสองฝ่ายอยู่ในคฤหาสน์ ประตูก็ปิดลงและม่านก็ถูกดึงออก ทำให้บริเวณโดยรอบตกอยู่ในความมืด คนรับใช้จุดเทียนอย่างรวดเร็วรอบด้าน รู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนถึงเที่ยงคืน แม้ว่าตามจริงแล้วจะยังเป็นตอนเที่ยงก็ตาม
ดนตรีที่มีระดับหยุดลง ชายและหญิงหยุดเต้นรำ พวกเขาจ้องมองไปยังบันไดที่นำขึ้นไปสู่ชั้นสองอย่างเคร่งขรึม พร้อมกับประตูที่เปิดออกมาในเวลาเดียวกัน
ชายวัยกลางคนที่แต่งตัวอย่างเป็นทางการเดินออกมา จ้องมองมายังเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ที่ปลายโต๊ะยาว…
“เจ้าคงต้องเป็นทูตศักดิ์สิทธิ์ โรเอลสินะ ข้าคือ ซาร์โทนี่ อธิการของกลุ่มภราดรภาพแห่งการกอบกู้ ขอแสดงความยินดีกับเจ้าในนามของกลุ่มภราดรภาพของเรา”
ซาร์โทนี่ มอง โรเอล ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าของเขา
…
ขณะเดียวกันที่ไหนสักแห่งในเขตเมืองทางตอนเหนือ เด็กสาวผมดำพึมพำถ้อยคำที่เธอเพิ่งได้ยินจากปากของผู้นับถือลัทธิชั่วร้าย
“คฤหาสน์มินสเตอร์…”