ตอนที่ 721 คู่รักหัวกะทิผนึกกำลัง

แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย

ฟู่กุ้ยไม่ได้ปรากฏตัว แต่กลับเป็นที่กล่าวถึง

 

 

“ก็ประมาณว่าถ้าเป็นคนก็ยิ้ม ถ้าเป็นแมวก็ร้อง ถ้าเป็นลาก็ส่งเสียง ถ้าเป็นหมาก็วิ่ง แต่ถ้าน้องชายลุกไม่ขึ้นก็กินน่องไก่ไป” อวี๋หมิงหลางแต่งกลอนต่าโหยว[1]แบบบ้านๆโดยเหน็บอาเหม็ดที่นั่งกินอย่างเงียบๆมาตลอด

 

 

อาเหม็ดเกือบสำลักน่องไก่ เขารีบกระดกน้ำตามเพื่อให้อาหารไหลลงคออย่างราบรื่น

 

 

ถึงเขาจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องกลอนต่าโหยว แต่ดูจากสีหน้าของอวี๋หมิงหลางแล้วคงไม่ใช่เรื่องดี

 

 

“กลอนต่าโหยวบทนี้บรรยายถึงสัตว์เวลาติดสัด อย่างเช่นแมวจะใช้วิธีส่งเสียงร้องเรียกหาคู่ หมาจะวิ่งไปข้างนอกสุดแรงเกิด หมาเวลาติดสัดจะหลงหายไปได้ง่ายๆ แล้วก็ออกไปกัดไข่ได้ง่ายๆเหมือนกัน”

 

 

เสี่ยวเชี่ยนมาในโหมดจิตแพทย์ ให้ความรู้กับทุกคน

 

 

อวี๋หมิงหลางเอามือลูบหัวเธอด้วยความเอ็นดู “เมียจ๋านี่เก่งสุดๆไปเลย พูดถูกหมด กลอนบทนี้หมายความแบบนี้แหละ”

 

 

หมายความแบบนั้นกับผีสิ ช่วงแรกๆยังไม่เท่าไร แต่ประโยคหลังอาเหม็ดฟังแล้วนี่มันหมายถึงตัวเขาชัดๆ

 

 

เสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางสนุกกันพอแล้วก็กลับมาเริ่มป้อนอาหารกันต่อ อาเหม็ดเห็นแล้วก็หงุดหงิด เสี่ยวเฉียงย่างปลาได้แล้วเก่งนักเหรอ แต่เขากินเป็นนะ

 

 

“น้องชายไปกลับปลาหน่อย ตัวเล็กน่าจะสุกแล้ว”

 

 

เสี่ยวเชี่ยนสั่งให้อาเหม็ดไปดูที่เตา บนนั้นมีปลาตัวเล็กที่เธอเอาไปวางด้วย

 

 

อาเหม็ดลุกเดินไปดูที่เตาอย่างไม่เต็มใจเท่าไร พวกเสี่ยวเชี่ยนนั่งกินกันอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้พลางพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ส่วนเขายืนย่างปลาท่ามกลางแดดเปรี้ยง ไม่ยุติธรรมเลย

 

 

บนเตาเหลือปลาห่อฟอยล์อยู่สองตัว หนึ่งในนั้นก็คือตัวเล็กที่เสี่ยวเชี่ยนเอาไปวางตอนสุดท้าย เธอเป็นคนห่อมันกับมือ อาเหม็ดไม่ค่อยอยากทำเท่าไร เพราะเขารู้ว่าต่อให้เขาหยิบปลาไปให้ เสี่ยวเชี่ยนกับเสี่ยวเฉียงก็คงหัวเราะเยาะเขาอยู่ดี มันน่าเจ็บใจนัก

 

 

เขาจับตะแกรงเพื่อจะย้ายปลาไปวางในจาน แต่เนื่องจากในใจกำลังหงุดหงิดเลยไม่ได้ระวังเท่าไร ดังนั้นตอนที่เลื่อนปลา ตำแหน่งที่อวี๋หมิงหลางคลายฟอยล์ออกเกิดระเบิดเล็กน้อยมีน้ำกระเด็นออกมาโดนมืออีกข้างของอาเหม็ดที่ถือจาน เขาเจ็บจึงปล่อยจานทิ้ง ปลาร้อนๆหล่นลงบนเท้าเขา…

 

 

“โอ๊ย” อาเหม็ดร้องตะโกนออกมา เขย่งเท้าไปยังถังใส่ปลาที่อยู่ข้างๆแล้วเอาเท้าหย่อนลงไป ปลาตัวใหญ่กระเด็นออกมานอนพะงาบๆที่พื้นหญ้า คล้ายกับกำลังถามปลาย่างที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นไม่ไกลกัน

 

 

เป็นไงเพื่อน ถูกย่างแล้วเหรอ

 

 

เสี่ยวเชี่ยนหันไปมองอวี๋หมิงหลางทันที พี่หลางผายมือออก ไม่ใช่ความผิดของเขานะ ไปโทษฟอยล์ที่บอบบางสิ

 

 

“เสียวเหม่ยที่รัก ผมเพิ่งค้นพบว่าคุณอาจมีทักษะแฝงที่ซ่อนไว้ไม่ให้ใครรู้”

 

 

“หืม”

 

 

“ชักดาบออกเป็นต้องได้เห็นเลือด เสียวเหม่ยของผมเป็นพวกทำอาหารทีมีเซอร์ไพร้ส์ตลอด ทำอะไรทีต้องมีคนเจ็บไปข้าง เด็ดนี้เหนือใคร ”

 

 

เล่นใหญ่แบบนี้ตลอด

 

 

เด็ดนี้เหนือใครหมายความว่า นอกจากฉันแล้วจะมีใครอีก กล้าทำกล้ารับ

 

 

เสี่ยวเชี่ยนหรี่ตามองเสี่ยวเฉียงที่จิกกัดเธอ จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูเขาสี่พยางค์

 

 

พยางค์แรกคำว่าเด็ดเหมือนเดิม คำที่สองปี้ คำที่สามขี่ คำที่สี่นาย

 

 

เสี่ยวเชี่ยนเห็นเขาหน้าแดงก็สะใจสุดๆ หึหึ จะเล่นเหรอ ยังอ่อนหัดนัก

 

 

ใครจะไปคิดว่าประธานเชี่ยนที่ปกติทำงานเก่ง ความรู้เยอะ เขียนหนังสือจิตวิทยาออกมาหลายเล่ม แต่กลับพูดคำติดเรทออกมาได้หน้าตาเฉย และคำที่เธอพูดนั้นคนไอคิวต่ำอาจไม่เข้าใจ คนฉลาดฟังแล้วยังสงสัยในความฉลาดของตัวเอง—จิตแพทย์ที่เก่งๆแบบนี้จะกล้าพูดคำแบบนี้เลยเหรอ

 

 

จากหลักการความเป็นจริงไม่น่าเป็นไปได้ งั้นถ้าประธานเชี่ยน ‘ไม่ได้พูด’ ล่ะก็ แสดงว่าตัวเองหูฝาด

 

 

อวี๋หมิงหลางคิดว่าตัวเองหูฝาดจริงๆ เพราะเมียเขาพูดเสร็จก็ทำตัวนิ่งๆ นั่งกินพลางหัวเราะสภาพอาเหม็ด เขาจึงลองถามดู

 

 

“เมียจ๋า เมื่อกี้คุณ—”

 

 

“ถามคำเดียว เด็ดนี้เหนือใคร”

 

 

“ผมเอง ผมคนเดียว” รีบไปขี่ กลับบ้านไปขี่

 

 

อาเหม็ดที่ยังคงอยู่กับความเจ็บปวดหลังโดนลวกแอบบ่นในใจ นี่จะไม่มีใครสนใจเขาหน่อยเหรอ…

 

 

อาหารมื้อนี้อาเหม็ดกินอย่างโคตรไม่อร่อย ไม่ใช่แค่โดนหมิ่นศักดิ์ศรีที่เสี่ยวเชี่ยนสงสัยในสติปัญญาของเขา ตอนท้ายยังโดนอวี๋หมิงหลางเล่นพิเรนทร์ทำให้เขาบาดเจ็บด้วย พอโดนลวกเขาก็ไม่แสร้งทำตัวเป็นบอดี้การ์ดคนดีอีกต่อไป นั่งจ้องพวกเสี่ยวเชี่ยนอยู่ใต้ต้นไม้อย่างเงียบๆ คล้ายกับกำลังคิดว่าขั้นต่อไปเอาไงดี

 

 

กินข้าวเสร็จเดิมทีหลิวเหมยจะกลับไปดูครอบครัวนั้น แต่ถูกอวี๋หมิงหลางจับนั่งลง ถ้ากล้าไปจะหักขาทิ้ง

 

 

แสงแดดในบ่อตกปลากำลังดี อีกทั้งยังเย็นสบาย เสี่ยวเชี่ยนใช้ให้อวี๋หมิงหลางไปซื้อไพ่มา แล้วบอกให้ทุกคนอยู่ต่อเพื่อหนีอากาศร้อน

 

 

เสี่ยวเชี่ยนกำลังเล่นไพ่ล้มเจ้ากับสุ่ยเซียน หลิวเหมย ส่วนอวี๋หมิงหลางยืนพิงต้นไม้ปากคาบใบไม้พลางมองเสี่ยวเชี่ยนเล่นไพ่

 

 

กระเป๋าของหลิวเหมยวางอยู่กับกระเป๋าของเสี่ยวเชี่ยนและสุ่ยเซียนที่ใต้ต้นไม้ โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าหลิวเหมยดังขึ้น

 

 

หลิวเหมยในเวลานี้จดจ่ออยู่กับการเล่นไพ่ ไม่ได้รู้สึกเลยว่าโทรศัพท์ดัง

 

 

อวี๋หมิงหลางหยิบโทรศัพท์ของหลิวเหมยออกมา ชื่อของหม่าลุ่ยปรากฏบนหน้าจอ

 

 

อวี๋หมิงหลางกดรับ เสียงของหมาลุ่ยที่ดูโมโหมากดังลอดออกมา

 

 

“อวี๋หลิวเหมยคุณหมายความว่าไง”

 

 

อวี๋หมิงหลางเงียบ

 

 

“พ่อแม่ผมอายุตั้งเท่าไรแล้ว ทำไมคุณถึงได้ทิ้งพวกเขาไว้ที่ห้าง คุณคิดอะไรอยู่กันแน่”

 

 

ยิงคำถามมารัวๆแบบนี้ อวี๋หมิงหลางหรี่ตา

 

 

เขารู้เรื่องที่เสี่ยวเชี่ยนโทรเรียกหลิวเหมยให้มาที่นี่

 

 

ผู้ชายที่ใส่ใจหน่อยควรจะโทรมาแล้วถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก่อนเป็นอันดับแรก ไม่ใช่เปิดฉากตำหนิเลยแบบนี้

 

 

“ผมบอกคุณตั้งกี่ครั้งแล้วว่าพ่อแม่ผมลำบากมาทั้งชีวิต อุตส่าห์ได้เข้ามาในเมืองทั้งทีแล้วคุณทำแบบนี้กับพวกเขาเหรอ อวี๋หลิวเหมยพูดมาสิ”

 

 

หม่าลุ่ยจี้ถาม ไม่พอใจที่อีกฝ่ายเอาแต่เงียบ

 

 

“ตอนนี้หลิวเหมยไม่ว่าง ผมเป็นพี่ชายของเขา ตอนนี้ย่าของหลิวเหมยป่วยนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลต้องใช้เงินสองแสน คุณมีให้ยืมหน่อยไหมครับ”

 

 

ย่าของหลิวเหมยเสียไปตั้งแต่ครึ่งปีก่อนแล้ว

 

 

พออวี๋หมิงหลางพูดจบปลายสายก็เงียบ

 

 

“ผมขอกลับไปปรึกษาก่อน เดี๋ยวผมโทรหาหลิวเหมย”

 

 

หม่าลุ่ยพูดแค่นี้แล้วก็วางสาย กลัวว่าถ้าพูดต่ออวี๋หมิงหลางจะขอเงินอีก

 

 

อวี๋หมิงหลางยิ้มมุมปาก คนนิสัยแบบนี้เหรอจะมาขอลูกสาวตระกูลอวี๋แต่งงาน ฝันไปเถอะ

 

 

เขาลบประวัติการโทร ไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับหลิวเหมย

 

 

เสี่ยวเชี่ยนชนะตลอด เธอคนเดียวเท่านั้นที่หันหน้าไปทางอวี๋หมิงหลาง อีกสองคนหันหลังให้ ซึ่งก็หมายความว่าเสี่ยวเชี่ยนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เห็นพฤติกรรมของอวี๋หมิงหลาง

 

 

ถึงเธอจะไม่ได้ยินว่าอวี๋หมิงหลางคุยอะไร แต่คิดๆดูก็พอจะรู้ว่าใครโทรมา

 

 

ทำดีมาก เสี่ยวเชี่ยนพูดกับอวี๋หมิงหลางแบบไม่มีเสียง

 

 

แน่นอน อวี๋หมิงหลางตอบกลับ

 

 

ถ้าไม่ได้รับความเห็นชอบจากพวกเขา ใครก็อย่าหวังจะมาได้แอ้มผักกาดขาวต้นอวบของตระกูลอวี๋

 

 

 

 

[1]กลอนต่าโหยว เป็นกลอนที่ไม่เน้นเรื่องสัมผัส ใช้เหน็บแนมคนอื่น