ฟู่กุ้ยไม่ได้ปรากฏตัว แต่กลับเป็นที่กล่าวถึง
“ก็ประมาณว่าถ้าเป็นคนก็ยิ้ม ถ้าเป็นแมวก็ร้อง ถ้าเป็นลาก็ส่งเสียง ถ้าเป็นหมาก็วิ่ง แต่ถ้าน้องชายลุกไม่ขึ้นก็กินน่องไก่ไป” อวี๋หมิงหลางแต่งกลอนต่าโหยว[1]แบบบ้านๆโดยเหน็บอาเหม็ดที่นั่งกินอย่างเงียบๆมาตลอด
อาเหม็ดเกือบสำลักน่องไก่ เขารีบกระดกน้ำตามเพื่อให้อาหารไหลลงคออย่างราบรื่น
ถึงเขาจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องกลอนต่าโหยว แต่ดูจากสีหน้าของอวี๋หมิงหลางแล้วคงไม่ใช่เรื่องดี
“กลอนต่าโหยวบทนี้บรรยายถึงสัตว์เวลาติดสัด อย่างเช่นแมวจะใช้วิธีส่งเสียงร้องเรียกหาคู่ หมาจะวิ่งไปข้างนอกสุดแรงเกิด หมาเวลาติดสัดจะหลงหายไปได้ง่ายๆ แล้วก็ออกไปกัดไข่ได้ง่ายๆเหมือนกัน”
เสี่ยวเชี่ยนมาในโหมดจิตแพทย์ ให้ความรู้กับทุกคน
อวี๋หมิงหลางเอามือลูบหัวเธอด้วยความเอ็นดู “เมียจ๋านี่เก่งสุดๆไปเลย พูดถูกหมด กลอนบทนี้หมายความแบบนี้แหละ”
หมายความแบบนั้นกับผีสิ ช่วงแรกๆยังไม่เท่าไร แต่ประโยคหลังอาเหม็ดฟังแล้วนี่มันหมายถึงตัวเขาชัดๆ
เสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางสนุกกันพอแล้วก็กลับมาเริ่มป้อนอาหารกันต่อ อาเหม็ดเห็นแล้วก็หงุดหงิด เสี่ยวเฉียงย่างปลาได้แล้วเก่งนักเหรอ แต่เขากินเป็นนะ
“น้องชายไปกลับปลาหน่อย ตัวเล็กน่าจะสุกแล้ว”
เสี่ยวเชี่ยนสั่งให้อาเหม็ดไปดูที่เตา บนนั้นมีปลาตัวเล็กที่เธอเอาไปวางด้วย
อาเหม็ดลุกเดินไปดูที่เตาอย่างไม่เต็มใจเท่าไร พวกเสี่ยวเชี่ยนนั่งกินกันอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้พลางพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ส่วนเขายืนย่างปลาท่ามกลางแดดเปรี้ยง ไม่ยุติธรรมเลย
บนเตาเหลือปลาห่อฟอยล์อยู่สองตัว หนึ่งในนั้นก็คือตัวเล็กที่เสี่ยวเชี่ยนเอาไปวางตอนสุดท้าย เธอเป็นคนห่อมันกับมือ อาเหม็ดไม่ค่อยอยากทำเท่าไร เพราะเขารู้ว่าต่อให้เขาหยิบปลาไปให้ เสี่ยวเชี่ยนกับเสี่ยวเฉียงก็คงหัวเราะเยาะเขาอยู่ดี มันน่าเจ็บใจนัก
เขาจับตะแกรงเพื่อจะย้ายปลาไปวางในจาน แต่เนื่องจากในใจกำลังหงุดหงิดเลยไม่ได้ระวังเท่าไร ดังนั้นตอนที่เลื่อนปลา ตำแหน่งที่อวี๋หมิงหลางคลายฟอยล์ออกเกิดระเบิดเล็กน้อยมีน้ำกระเด็นออกมาโดนมืออีกข้างของอาเหม็ดที่ถือจาน เขาเจ็บจึงปล่อยจานทิ้ง ปลาร้อนๆหล่นลงบนเท้าเขา…
“โอ๊ย” อาเหม็ดร้องตะโกนออกมา เขย่งเท้าไปยังถังใส่ปลาที่อยู่ข้างๆแล้วเอาเท้าหย่อนลงไป ปลาตัวใหญ่กระเด็นออกมานอนพะงาบๆที่พื้นหญ้า คล้ายกับกำลังถามปลาย่างที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นไม่ไกลกัน
เป็นไงเพื่อน ถูกย่างแล้วเหรอ
เสี่ยวเชี่ยนหันไปมองอวี๋หมิงหลางทันที พี่หลางผายมือออก ไม่ใช่ความผิดของเขานะ ไปโทษฟอยล์ที่บอบบางสิ
“เสียวเหม่ยที่รัก ผมเพิ่งค้นพบว่าคุณอาจมีทักษะแฝงที่ซ่อนไว้ไม่ให้ใครรู้”
“หืม”
“ชักดาบออกเป็นต้องได้เห็นเลือด เสียวเหม่ยของผมเป็นพวกทำอาหารทีมีเซอร์ไพร้ส์ตลอด ทำอะไรทีต้องมีคนเจ็บไปข้าง เด็ดนี้เหนือใคร ”
เล่นใหญ่แบบนี้ตลอด
เด็ดนี้เหนือใครหมายความว่า นอกจากฉันแล้วจะมีใครอีก กล้าทำกล้ารับ
เสี่ยวเชี่ยนหรี่ตามองเสี่ยวเฉียงที่จิกกัดเธอ จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูเขาสี่พยางค์
พยางค์แรกคำว่าเด็ดเหมือนเดิม คำที่สองปี้ คำที่สามขี่ คำที่สี่นาย
เสี่ยวเชี่ยนเห็นเขาหน้าแดงก็สะใจสุดๆ หึหึ จะเล่นเหรอ ยังอ่อนหัดนัก
ใครจะไปคิดว่าประธานเชี่ยนที่ปกติทำงานเก่ง ความรู้เยอะ เขียนหนังสือจิตวิทยาออกมาหลายเล่ม แต่กลับพูดคำติดเรทออกมาได้หน้าตาเฉย และคำที่เธอพูดนั้นคนไอคิวต่ำอาจไม่เข้าใจ คนฉลาดฟังแล้วยังสงสัยในความฉลาดของตัวเอง—จิตแพทย์ที่เก่งๆแบบนี้จะกล้าพูดคำแบบนี้เลยเหรอ
จากหลักการความเป็นจริงไม่น่าเป็นไปได้ งั้นถ้าประธานเชี่ยน ‘ไม่ได้พูด’ ล่ะก็ แสดงว่าตัวเองหูฝาด
อวี๋หมิงหลางคิดว่าตัวเองหูฝาดจริงๆ เพราะเมียเขาพูดเสร็จก็ทำตัวนิ่งๆ นั่งกินพลางหัวเราะสภาพอาเหม็ด เขาจึงลองถามดู
“เมียจ๋า เมื่อกี้คุณ—”
“ถามคำเดียว เด็ดนี้เหนือใคร”
“ผมเอง ผมคนเดียว” รีบไปขี่ กลับบ้านไปขี่
อาเหม็ดที่ยังคงอยู่กับความเจ็บปวดหลังโดนลวกแอบบ่นในใจ นี่จะไม่มีใครสนใจเขาหน่อยเหรอ…
อาหารมื้อนี้อาเหม็ดกินอย่างโคตรไม่อร่อย ไม่ใช่แค่โดนหมิ่นศักดิ์ศรีที่เสี่ยวเชี่ยนสงสัยในสติปัญญาของเขา ตอนท้ายยังโดนอวี๋หมิงหลางเล่นพิเรนทร์ทำให้เขาบาดเจ็บด้วย พอโดนลวกเขาก็ไม่แสร้งทำตัวเป็นบอดี้การ์ดคนดีอีกต่อไป นั่งจ้องพวกเสี่ยวเชี่ยนอยู่ใต้ต้นไม้อย่างเงียบๆ คล้ายกับกำลังคิดว่าขั้นต่อไปเอาไงดี
กินข้าวเสร็จเดิมทีหลิวเหมยจะกลับไปดูครอบครัวนั้น แต่ถูกอวี๋หมิงหลางจับนั่งลง ถ้ากล้าไปจะหักขาทิ้ง
แสงแดดในบ่อตกปลากำลังดี อีกทั้งยังเย็นสบาย เสี่ยวเชี่ยนใช้ให้อวี๋หมิงหลางไปซื้อไพ่มา แล้วบอกให้ทุกคนอยู่ต่อเพื่อหนีอากาศร้อน
เสี่ยวเชี่ยนกำลังเล่นไพ่ล้มเจ้ากับสุ่ยเซียน หลิวเหมย ส่วนอวี๋หมิงหลางยืนพิงต้นไม้ปากคาบใบไม้พลางมองเสี่ยวเชี่ยนเล่นไพ่
กระเป๋าของหลิวเหมยวางอยู่กับกระเป๋าของเสี่ยวเชี่ยนและสุ่ยเซียนที่ใต้ต้นไม้ โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าหลิวเหมยดังขึ้น
หลิวเหมยในเวลานี้จดจ่ออยู่กับการเล่นไพ่ ไม่ได้รู้สึกเลยว่าโทรศัพท์ดัง
อวี๋หมิงหลางหยิบโทรศัพท์ของหลิวเหมยออกมา ชื่อของหม่าลุ่ยปรากฏบนหน้าจอ
อวี๋หมิงหลางกดรับ เสียงของหมาลุ่ยที่ดูโมโหมากดังลอดออกมา
“อวี๋หลิวเหมยคุณหมายความว่าไง”
อวี๋หมิงหลางเงียบ
“พ่อแม่ผมอายุตั้งเท่าไรแล้ว ทำไมคุณถึงได้ทิ้งพวกเขาไว้ที่ห้าง คุณคิดอะไรอยู่กันแน่”
ยิงคำถามมารัวๆแบบนี้ อวี๋หมิงหลางหรี่ตา
เขารู้เรื่องที่เสี่ยวเชี่ยนโทรเรียกหลิวเหมยให้มาที่นี่
ผู้ชายที่ใส่ใจหน่อยควรจะโทรมาแล้วถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก่อนเป็นอันดับแรก ไม่ใช่เปิดฉากตำหนิเลยแบบนี้
“ผมบอกคุณตั้งกี่ครั้งแล้วว่าพ่อแม่ผมลำบากมาทั้งชีวิต อุตส่าห์ได้เข้ามาในเมืองทั้งทีแล้วคุณทำแบบนี้กับพวกเขาเหรอ อวี๋หลิวเหมยพูดมาสิ”
หม่าลุ่ยจี้ถาม ไม่พอใจที่อีกฝ่ายเอาแต่เงียบ
“ตอนนี้หลิวเหมยไม่ว่าง ผมเป็นพี่ชายของเขา ตอนนี้ย่าของหลิวเหมยป่วยนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลต้องใช้เงินสองแสน คุณมีให้ยืมหน่อยไหมครับ”
ย่าของหลิวเหมยเสียไปตั้งแต่ครึ่งปีก่อนแล้ว
พออวี๋หมิงหลางพูดจบปลายสายก็เงียบ
“ผมขอกลับไปปรึกษาก่อน เดี๋ยวผมโทรหาหลิวเหมย”
หม่าลุ่ยพูดแค่นี้แล้วก็วางสาย กลัวว่าถ้าพูดต่ออวี๋หมิงหลางจะขอเงินอีก
อวี๋หมิงหลางยิ้มมุมปาก คนนิสัยแบบนี้เหรอจะมาขอลูกสาวตระกูลอวี๋แต่งงาน ฝันไปเถอะ
เขาลบประวัติการโทร ไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับหลิวเหมย
เสี่ยวเชี่ยนชนะตลอด เธอคนเดียวเท่านั้นที่หันหน้าไปทางอวี๋หมิงหลาง อีกสองคนหันหลังให้ ซึ่งก็หมายความว่าเสี่ยวเชี่ยนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เห็นพฤติกรรมของอวี๋หมิงหลาง
ถึงเธอจะไม่ได้ยินว่าอวี๋หมิงหลางคุยอะไร แต่คิดๆดูก็พอจะรู้ว่าใครโทรมา
ทำดีมาก เสี่ยวเชี่ยนพูดกับอวี๋หมิงหลางแบบไม่มีเสียง
แน่นอน อวี๋หมิงหลางตอบกลับ
ถ้าไม่ได้รับความเห็นชอบจากพวกเขา ใครก็อย่าหวังจะมาได้แอ้มผักกาดขาวต้นอวบของตระกูลอวี๋
[1]กลอนต่าโหยว เป็นกลอนที่ไม่เน้นเรื่องสัมผัส ใช้เหน็บแนมคนอื่น