“ใจเย็นๆ พาริน่า” ชีอ้าวชวางพยายามผลักพาริน่าออก แต่ก็จนใจเพราะพาริน่าตระหนกมากจนกอดไว้แน่น ทำอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย ชีอ้าวชวางไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเกลี้ยกล่อมเบาๆ “ไม่ต้องร้องไห้นะ ข้าจะไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นหรอก ข้าสาบาน มันจะไม่เกิดขึ้น แถมตอนนี้ความแข็งแกร่งของข้าก็ยังไปไม่ถึงที่เจ้าพูดถึงด้วย”
“ไม่นะ อย่าเข้าไปในมิติสูญสลาย…” พาริน่าสะอื้น
ชีอ้าวชวางถอนหายใจเบาๆ และไม่พูดอะไรอีก
ทั้งห้องเงียบลง มีเพียงเสียงพาริน่าที่คร่ำครวญเท่านั้น ผ่านไปสักพัก ในที่สุดพาริน่าก็หยุดร้องไห้ ชีอ้าวชวางก็ปลอบใจอีกครั้ง จากนั้นพาริน่าค่อยๆ อ่อนลงแล้วก็ปล่อยมือออกด้วยความเขินอาย
“อย่ากังวลเลย ข้าจะรีบค้นหาให้เจอเร็วๆ เจ้าอย่าลืมกลับไปบอกพี่ชายของเจ้านะว่าให้เขาชะลอความเร็วในการฝึกฝนของเขาก่อนและอย่าเพิ่งรีบเข้าสู่มิติสูญสลาย” ชีอ้าวชวางกำชับ
“ได้ ข้าจะฟังเจ้า” พาริน่าพยักหน้าติดๆ กัน สุดท้ายก็บอกชีอ้าวชวางเกี่ยวกับรูปลักษณ์และชื่อของพี่ชายของนางและมอบสร้อยคออัญมณีให้กับชีอ้าวชวาง เพื่อใช้พิสูจน์ตัวตนของนางเอง
ระหว่างทาง ชีอ้าวชวางยืนมองส่งพาริน่าไป แต่หัวใจของนางกลับกำลังยุ่งเหยิง
จะจัดการกับมันอย่างไรดี? พรุ่งนี้แอบตามพี่ชายของพาริน่ากลับไปที่สถาบันเงียบๆ ดีหรือไม่? ถ้าเช่นนั้นทางนี้จะจัดการอย่างไรดี?
“อย่าไปนะ เจ้าอย่าไปเสี่ยง มันอันตรายมาก ให้เวลาข้าหน่อยแล้วให้ข้าแก้ปัญหาเอง”
ในตอนที่ชีอ้าวชวางกำลังว้าวุ่นอยู่นั้น เสียงที่ดูเหมือนจะเคยได้ยินมาก่อนก็ดังชัดในหูของชีอ้าวชวาง รูม่านตาของนางขยายออกทันที นางเคยได้ยินเสียงนี้
มันคือเสียงที่เคยได้ยินตอนที่อยู่ชั้นแปด ซึ่งก็คือเสียงของคนที่ขัดขวางไม่ให้นางขึ้นไปชั้นเก้านั่นเอง
ชีอ้าวชวางเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ แต่ท่ามกลางฝูงชนที่พลุกพล่านนั้นไม่มีใครที่ดูพิเศษขึ้นมาเลย ไม่เห็นคนที่พูดประโยคนี้ด้วย
“เจ้าเป็นใคร?” ชีอ้าวชวางยืนอยู่ตรงนั้นและขมวดคิ้วถามไปที่ความว่างเปล่าตรงหน้า
“บอกพี่ชายของเพื่อนเจ้าว่าอย่าเพิ่งรีบเข้าสู่มิติสูญสลาย ดึงเวลาไว้ก่อน จะมีวันที่เรื่องราวเปิดเผยออกมาเอง” เสียงที่ชัดเจนนั้นไม่ตอบคำถามของชีอ้าวชวาง แต่หลังจากถ่ายทอดความหมายที่บอกมานี้จบก็ไม่มีเสียงอะไรอีกเลย ไม่ว่าชีอ้าวชวางจะกระซิบอย่างไรก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ กลับมา
คนนี้คือใครกันแน่? ความแข็งแกร่งของเขาไปถึงระดับใดกัน? ได้ยินแค่เพียงเสียงแต่ไม่เห็นตัว ฟังจากน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าสถาบันดวงดาวจะมีความลับบางอย่างที่ไม่มีใครรู้ และเขาก็กำลังสืบสวนความลับนี้อยู่
สรุปคือต่อไปนี้ก็เพียงรอดูการเปลี่ยนแปลงแล้วค่อยจัดการกับมัน
ชีอ้าวชวางรู้สึกว้าวุ่นใจ เรื่องต่างๆ ดูเหมือนจะซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
อารมณ์ของชีอ้าวชวางตอนนี้ไม่สงบเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว นางเดินเหม่อลอยอยู่กลางถนนในขณะที่ความคิดต่างๆ ก็รุมเร้า
ในตอนที่ชีอ้าวชวางกำลังตกอยู่ในภวังค์ ทันใดนั้นอากาศที่ว่างเปล่าตรงหน้าก็มีความแปลกประหลาดเกิดขึ้น และพลังอันละเอียดอ่อนก็โจมตีมาที่นาง ชีอ้าวชวางเรียกสติกลับมาทันทีและสะบัดนิ้วผลักแรงนั้นออกไป จากนั้นก็ขมวดคิ้วมองไปข้างหน้า แล้วก็เห็นชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าเยือกเย็นและยโสยืนกอดอกและมองนาง
เห็นได้ชัดว่าการโจมตีที่อธิบายไม่ได้เมื่อกี้มาจากชายคนนั้น ชายคนนั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ดูทะมัดทะแมง มีริบบิ้นสีดำผูกบนศีรษะ ลมหายใจที่มีแรงกดดันแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเขา กล้ามเนื้อที่แขนเต็มนั้นไปด้วยพละกำลัง
“ทูตของสถาบันดวงดาว…” ชายวัยกลางคนยิ้มเยาะและพูดด้วยท่าทีแปลกๆ “สถาบันดวงดาวคนน้อยลงเรื่อยๆ แล้วใช่หรือไม่ คนเช่นนี้ก็เป็นทูตได้ด้วยงั้นหรือ?”
ชีอ้าวชวางมองคนตรงหน้าด้วยท่าทีเฉยเมยและรู้ได้ทันทีว่าชายที่อยู่ข้างหน้าคงจะเป็นคนที่ไม่พอใจสถาบันดวงดาว แล้วก็ไม่เต็มใจที่จะอยู่ภายใต้สถาบันดวงดาวด้วย
“โอ้ เจ้า มีอะไรหรือ?” ชีอ้าวชวางพูดเบาๆ คนเช่นนี้ชีอ้าวชวางไม่อยากเข้าไปพัวพันกับเขามากนัก เพราะนางยังมีสิ่งที่ต้องทำอีก ไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับคนเช่นนี้เลย
“หึ ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดว่าเสื้อผ้าที่เจ้าสวมอยู่มันไม่เหมาะกับเจ้าเอาเสียเลย ทำไมเจ้าไม่ถอดมันแล้วเอามาให้ข้าสวมแทนล่ะ บางทีข้าอาจจะเหมาะกับการเป็นทูตมากกว่านะ” ชายคนนั้นแสยะปากมองไปที่ชีอ้าวชวางอย่างดูถูกแล้วจงใจพูดคำเหล่านั้นออกมาดังๆ เพื่อดึงความสนใจของผู้คนที่อยู่รอบตัว
จากนั้นก็เป็นไปตามที่ชายวัยกลางคนต้องการ ทุกคนรอบตัวต่างพากันหยุดและมองมาทางด้านนี้ มีเสียงซุบซิบมากมายแต่ไม่มีใครก้าวออกมาพูดข้างหน้าเลย
“เช่นนั้นเจ้าก็มาลองด้วยตัวเองสิ” ชีอ้าวชวางยิ้มจางๆ แล้วพูดประโยคนั้นออกมาเบาๆ
“ไอ้หนู เจ้าพูดเองนะ!” ใบหน้าของชายวัยกลางคนมีแววร้ายกาจขึ้นมา ยังไม่ทันพูดจบเขาก็โจมตีทันที เห็นได้ชัดเลยว่าพยายามจะโจมตีในขณะที่ชีอ้าวชวางยังไม่ทันตั้งตัว การกระทำเช่นนี้ของเขาทำให้คนรอบข้างไม่พอใจมาก แต่ก็ยังคงไม่มีใครกล้าเข้ามาขวาง คนที่กล้าท้าทายทูตของสถาบันดวงดาวได้จะต้องมีความแข็งแกร่งมาก อีกอย่างก็คือคนที่อยู่ในสถาบันดวงดาวไม่ใช่คนที่พวกเขาที่จะเข้าไปมีเรื่องได้เลย
สีหน้าของชีอ้าวชวางนิ่งลง เดิมทีคิดว่าอีกฝ่ายคงจะเป็นคนมีความสามารถ แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะน่ารังเกียจและไร้ยางอายแบบนี้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องปล่อยไว้แล้ว!
ชีอ้าวชวางกำลังจะเข้าไปหาเขา แต่ทันใดนั้นก็มีภาพปรากฏขึ้นตรงหน้า
ตูม…
เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น
แก้วหูของผู้คนรอบๆ สั่นสะเทือนไปหมดจนทำให้ผู้คนต่างพากันตื่นตระหนก
ชายวัยกลางคนที่โจมตีชีอ้าวชวางหน้าซีดไป และดวงตาของเขาก็ดูตื่นตะลึง
หมัดของเขามีใครบางคนจับเอาไว้ ไม่ใช่เด็กผู้ชายผมแดงที่ดูอ่อนแอนั่น แต่เป็นชายหนุ่มรูปงามที่มีดวงตาที่สงบแต่มีความมุ่งมั่นที่อยู่ตรงหน้า
วินาทีต่อมาก็มีเสียงแปลกๆ ดังขึ้น
เสียงนั้นดังต่อเนื่องไม่สิ้นสุดเลย
“อ๊าก…มือข้าๆ มือของข้า…” จู่ๆ ก็มีเสียงร้องโพล่งออกมา จากนั้นเลือดก็สาดกระจายไปทั่วท้องฟ้า มือของชายวัยกลางคนก็ค่อยๆ แหลกและแยกออกจากกัน เขาร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดและรีบดึงมือออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กุมมือนั้นและกรีดร้องออกมา ในสายตาของเขานอกจากมีความกลัวแล้วยังมีความเหลือเชื่ออีกด้วย ร่างกายที่แข็งแกร่งเช่นนี้ของเขาตอนนี้กลับได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขนาดนี้เลย! มือนี้แทบจะแหลกไปหมด เดิมทีคิดไว้ว่าจะมาลงมือกับผู้ชายที่ดูอ่อนแอที่สุดในบรรดาทูตทั้งสามของสถาบันดวงดาวก่อน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจู่ๆ จะมีคนโผล่มาแล้วเรื่องต่างๆ จะกลายเป็นแบบนี้!
แต่ความสนใจของชีอ้าวชวางไม่ได้อยู่ที่เรื่องนี้เลย สายตาของนางจับจ้องอยู่ที่แผ่นหลังของผู้ชายที่อยู่ข้างหน้านางจนไม่สามารถละสายตาได้เลย ร่างนี้คุ้นเคยมากจนทำให้ใจสั่น
มันจะเป็นไปได้อย่างไร? เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
นี่ไม่ใช่ความฝันหรอกหรือ?
เขาควรจะยังคงอยู่ในโลกนั้นสิ!
นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เจอคนคนนี้ แต่เวลานี้จู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวและมาสะกัดกั้นการโจมตีครั้งนี้
ในที่สุดชายที่ยืนอยู่ข้างหน้าชีอ้าวชวางก็ค่อยๆ ชักมือของเขากลับแล้วหันกลับมาอย่างช้าๆ และมองไปที่ชีอ้าวชวางอย่างมั่นคง
“ตอนนี้ข้าควรเรียกว่านายน้อยหรือคุณหนูครับ?” ใบหน้าหล่อเหลาของชายที่ยืนอยู่ข้างหน้าชีอ้าวชวางมีรอยยิ้มจางๆ และพูดประโยคนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคนเท่านั้น
ริมฝีปากของชีอ้าวชวางสั่นเล็กน้อยและมองคนตรงหน้าอย่างลึกซึ้งพูดไม่ออกอยู่นานทีเดียว
ชายตรงหน้าไม่พูดอะไร แต่มองชีอ้าวชวางพร้อมรอยยิ้ม ดวงตาของเขาดูซับซ้อน มันมีทั้งความยินดี ตื่นเต้น กังวล และผูกพันอย่างลึกซึ้งอยู่ในนั้น
“จะ จินเหยียน…” ชีอ้าวชวางพูดออกมาด้วยริมฝีปากที่สั่นอยู่ “เจ้า เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้า?”
จินเหยียนไม่ตอบคำถามของชีอ้าวชวาง แต่หันไปมองชายวัยกลางคนที่กำลังสิ้นหวังกับชีวิตและพูดอย่างเฉยเมย “ไปให้พ้น แม้แต่ข้าเองเจ้ายังสู้ไม่ได้ แต่ยังคิดจะมาท้าทายนายน้อยของข้าอีกงั้นหรือ? ไม่เจียมตัว!”
คำพูดที่เย็นชาของจินเหยียนเป็นเหมือนก้อนหินที่โยนลงไปในทะเลสาบอันเงียบสงบแล้วทำให้เกิดระลอกคลื่นขึ้น ตอนนี้ผู้คนรอบๆ เริ่มเกิดความโกลาหลและมองชีอ้าวชวางกับจินเหยียนด้วยความกลัว เด็กหนุ่มผมแดงคนนี้มีผู้ติดตามที่น่ากลัวขนาดนี้เลยหรือ? อีกทั้งน้ำเสียงของผู้ติดตามผู้นั้นก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มผู้นั้นก้าวไกลไปมากกว่าผู้ติดตามคนนี้อีกด้วย? ถ้าเช่นนั้นความแข็งแกร่งของเขาจะเป็นอย่างไรนะ?
ใบหน้าของชายวัยกลางคนเต็มไปด้วยความกลัวและเมื่อมองไปที่ใบหน้าเย็นชาของจินเหยียน เขาก็พูดอะไรไม่ออกเลย
“ไสหัวไป!” จินเหยียนตะคอกออกมาอย่างเย็นชา จากนั้นชายวัยกลางคนก็รีบวิ่งจากไปอย่างโล่งอกราวกับว่าเขาได้รับการปล่อยตัวจากการลงโทษแล้ว
สายตาเย็นชาของจินเหยียนกวาดมองไปที่ผู้คนรอบๆ เมื่อทุกคนเห็นสายตาเย็นชาของเขาก็ต่างพากันเดินแยกจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ทุกคนไปแล้ว จินเหยียนก็หันไปมองชีอ้าวชวาง
“จิน…จินเหยียน…” เสียงของชีอ้าวชวางสั่นเทาและฟังดูขมขื่น นางคิดว่าจะไม่ได้เจอจินเหยียนอีกแล้วในชีวิตนี้ แต่ตอนนี้จินเหยียนตัวเป็นๆ กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเลย
“ข้าบอกไว้แล้วว่าข้าจะติดตามคุณหนูไปตลอด” จินเหยียนยิ้มและพูดประโยคนี้ออกมาเบาๆ แต่หนักแน่น “คุณหนู ตั้งแต่วันที่ข้าสาบาน ทุกสิ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องแน่นอนแล้ว ครั้งนี้ ข้าจะติดตามคุณหนูอย่างใกล้ชิดและจะไม่ห่างไปไหนอีกแล้ว”
ชีอ้าวชวางตะลึงแล้วจ้องมองคนตรงหน้าอย่างละเอียด คนที่อยู่ข้างหน้าดูเหมือนจะแตกต่างไปจากเมื่อก่อนเล็กน้อย มีความผันผวนมากขึ้น มีสายตาที่แน่วแน่ยิ่งขึ้น ความแข็งแกร่งระดับที่จะเข้ามาในโลกแห่งความวุ่นวายได้นั้นไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้เลย ความแข็งแกร่งของจินเหยียนนั้นเข้ามาในโลกแห่งความวุ่นวายได้ มายืนอยู่ตรงหน้าของนางได้ แถมยังจัดการกับคนเมื่อครู่นี้ได้ด้วย ความแข็งแกร่งต้องมากขนาดไหนนะ? ชีอ้าวชวางรู้สึกปวดใจขึ้นมาและไม่กล้าคิดต่อไปเลย
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้ข้าหน้าตาเป็นอย่างไร?” ชีอ้าวชวางถามอย่างยากลำบาก ความทุกข์ใจเองก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย “จูดี้ล่ะ อยู่ที่ไหน?” ชีอ้าวชวางยังไม่ลืมมังกรน้อยขี้หึงอย่างจูดี้
“ที่นี่ไม่เหมาะที่จะคุย เราไปกันเถอะ” จินเหยียนมองชีอ้าวชวางอย่างลึกซึ้งและพูดประโยคนั้นออกมาเบาๆ สายตานี้ราวกับว่าเห็นจิตวิญญาณของชีอ้าวชวางเลย
หลังจากจินเหยียนพูดจบ เขาก็เดินนำไปข้างหน้า ชีอ้าวชวางหันเหลือบมองไปยังโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลซึ่งเป็นที่ที่สำนักเทียนต้าวอาศัยอยู่ จากนั้นชีอ้าวชวางก็หันหลังเดินตามจินเหยียนไปโดยไม่ลังเล