จินเหยียนเดินนำชีอ้าวชวางไปทิศทางที่ตรงกันข้ามกับโรงแรมนั้น จนกระทั่งหยุดลงที่บ้านหลังหนึ่งและผลักประตูเข้าไป ลักษณะของบ้านที่เป็นระเบียบทำให้รู้สึกสงบ พอเข้าไปในบ้านแล้ว จินเหยียนก็รินน้ำชาให้ชีอ้าวชวาง
“ข้าไม่รู้วิธีทำชากุหลาบที่คุณหนูชอบ ดื่มอันนี้ก่อนนะครับ” จินเหยียนส่งถ้วยชาในมือให้ชีอ้าวชวาง
ประโยคนี้ทำเอาชีอ้าวชวางเกือบจะน้ำตาไหลออกมาเลย
ทำไมจู่ๆ ก็รู้สึกอึดอัดใจแบบนี้ ทำไมรู้สึกหมดอาลัยตายอยากล่ะ
มีอะไรหรือความรู้สึกที่ห่างออกไปอย่างนั้นหรือ?
ชีอ้าวชวางค่อยๆ รับถ้วยชามา แต่น้ำตาก็กลับไหลลงมา
เมื่อเห็นท่าทางของชีอ้าวชวาง จินเหยียนก็ขยับริมฝีปากของเขาเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ข้า…ข้าคิดถึงพวกเจ้า ข้าคิดถึงเจ้า คิดถึงหลิงยวิ๋น อี้เซวียน ไป๋ตี้ เฮยหยู่ วัลโด คลิฟ ซัมเมอร์ เบน ฉู่ซิน ตงเฟิงโฮ่ว แล้วก็ลูกพี่ลูกน้องด้วย…ข้าคิดถึงพวกเจ้ามากๆ…” น้ำตาของชีอ้าวชวางไหลไม่หยุด นานมากแล้วที่ไม่ได้ร้องไห้แบบนี้ นานจนจำไม่ได้เลย…ดูเหมือนเป็นเวลานานมากๆ…เวลานี้ทุกเรื่องในอดีตแล่นเข้ามาในความคิดและเติมเต็มหัวใจของชีอ้าวชวางเต็มไปหมด นางต้องอยู่เงียบๆ คนเดียวกับเรื่องทั้งหมดนี้มานานมากแล้ว ทั้งเพื่อนและญาติๆ ของนางก็ไม่ได้มาอยู่เคียงข้าง นางจึงทำได้เพียงฝังทุกอย่างไว้ในใจ ทั้งความเหงา ความโดดเดี่ยว ความวิตกกังวล…นางไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่เห็นภายนอก วิธีเดียวที่จะยืดหยัดต่อไปได้ก็คือการซ่อนทุกอย่างไว้ให้ลึก แต่เมื่อได้เจอจินเหยียน ความรู้สึกที่ฝังลึกเป็นเวลานานนี้ก็ถูกระบายออกมา
จินเหยียนไม่ได้พูดอะไรเลย เขาทำเพียงแค่ยืนอยู่ข้างๆ และรออย่างเงียบๆ เฝ้ามองน้ำตาของชีอ้าวชวางอยู่อย่างนั้น แต่ก็มีความโศกเศร้าลึกๆ ปรากฏขึ้นในแววตาของเขา คนตรงหน้าไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่ใครๆ คิด นางเพียงแค่เก็บทุกอย่างไว้คนเดียวเท่านั้นเอง
หลังจากนั้นไม่นาน ชีอ้าวชวางก็สงบลงและมองไปที่จินเหยียน
จินเหยียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาจัดการความคิดของตัวเองแล้วเริ่มอธิบายอย่างช้าๆ ว่าเขามาที่โลกนี้ได้อย่างไรและพบชีอ้าวชวางได้อย่างไร
การลอกจิตวิญญาณ ชีอ้าวชวางเพิ่งได้ยินคำนี้เป็นครั้งแรกและก็เป็นครั้งแรกที่ได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของจินเหยียน ครอบครัวลึกลับและเก่าแก่ที่หายตัวไปเหลืออยู่แค่เพียงจินเหยียนเท่านั้น
จินเหยียนก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ในช่วงเวลาสั้นๆ จนตามทันชีอ้าวชวาง ทุกอย่างเป็นเพราะการลอกจิตวิญญาณของเขา มันเป็นราวกับลอกผิวหนังของคนออก การลอกจิตวิญญาณจะทำให้ระดับเพิ่มได้มากขึ้น แต่ความเจ็บปวดนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าการลอกผิวหนังของคนไปมาก จินเหยียนเล่าให้ฟังเพียงคร่าวๆ เท่านั้น แต่ชีอ้าวชวางก็เข้าใจได้เลยว่าความเจ็บปวดนี้คงจะเกินกว่าที่คนธรรมดาจะจินตนาการได้และเกินกว่าที่คนธรรมดาจะทนได้แน่นอน
“นี่เป็นเคล็ดลับที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นในครอบครัวของเรา ลอกจิตวิญญาณและประทับจิตวิญญาณ ข้าประทับจิตวิญญาณของข้าไว้ที่บนตัวคุณหนูในวินาทีสุดท้ายที่คุณหนูจะจากไป ดังนั้นไม่ว่าคุณหนูจะไปที่ไหน ข้าก็จะหาคุณหนูเจอได้ เพียงแต่ครั้งนี้…ข้าทำให้คุณหนูต้องรอนานมากเลย” รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่หล่อเหลาของจินเหยียน เขามองไปที่ชีอ้าวชวางซึ่งยังตกใจอยู่ สิ่งที่จินเหยียนไม่ได้บอกชีอ้าวชวางก็คือการใช้เคล็ดลับนี้ทำให้กระดูกทั้งหมดในร่างกายเขาหัก จากนั้นก็จัดโครงสร้างใหม่แล้วก็หักอีก เกิดขึ้นซ้ำๆ แบบนี้เก้าครั้ง ความเจ็บปวดนั้นมากจนชัดเจน และหากเคล็ดลับนี้ล้มเหลวก็จะไม่ง่ายเหมือนกับการตายไป แต่จิตวิญญาณทั้งหมดจะถูกทำลายจนหมดสิ้นไร้ร่องรอยไปเลย เรื่องเหล่านี้จินเหยียนเลือกที่จะปกปิดมันไว้ เขาไม่อยากให้ชีอ้าวชวางต้องมีภาระทางจิตใจเลยแม้แต่เล็กน้อย
“เจ้า…เจ้า…” ชีอ้าวชวางมองรอยยิ้มของจินเหยียนที่อยู่ตรงหน้าด้วยความงุนงง แต่กลับพูดอะไรไม่ออกเลย ในใจรู้สึกตื้นตันและเศร้าใจมาก จินเหยียน จินเหยียนคนที่ติดตามอยู่ข้างกายนางมาตลอดใช้วิธีนี้ในการติดตามงั้นหรือ? นางคู่ควรกับการที่เขาต้องทำเช่นนี้หรือ? นางไม่ใช่แคลร์ตัวจริงด้วยซ้ำ นางไม่ใช่คนที่เป็นผู้ที่ผูกอยู่กับเขาตัวจริงเลย “แต่ว่า จินเหยียน ข้า ข้าไม่ได้…”
“คุณหนู!” จู่ๆ จินเหยียนก็ขึ้นเสียงขัดจังหวะและมองชีอ้าวชวาง จากนั้นก็พูดอย่างชัดเจน “คุณหนูไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ข้ารู้แค่ว่าคุณหนูเป็นคนที่ข้าอยากติดตามไปตลอดชีวิต ข้าเคยบอกไปแล้วว่าข้าจะปกป้องคุณหนูและจะอยู่เคียงข้างคุณหนูตลอดไป คุณหนูไม่ต้องคิดเรื่องอะไรอีกแล้ว”
ชีอ้าวชวางมองจินเหยียนด้วยความงุนงงและริมฝีปากสั่นเล็กน้อย รู้สึกซับซ้อนมาก “ทำไม ทำไมเจ้าถึง…”
“คุณหนู ได้โปรดอย่ากดดันอะไรเลย ข้าไม่ได้ต้องการให้คุณหนูตอบรับความรู้สึกของข้า ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย ข้าเพียงแค่อยากจะปกป้องอยู่ข้างกายคุณหนูอย่างเงียบๆ ได้เฝ้ามองและอยู่กับคุณหนูตลอดก็พอใจแล้ว” จินเหยียนยิ้ม แต่น้ำเสียงของเขาหนักแน่นมาก
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบไร้ซึ่งสรรพเสียง
หลังจากผ่านไปสักพัก ทั้งสองคนก็สงบลงและพูดคุยกันเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้ของกันและกัน จากนั้นชีอ้าวชวางก็ยังบอกจินเหยียนเรื่องความสงสัยเกี่ยวกับสถาบันดวงดาวด้วย
“หากเป็นเช่นนี้ มันก็น่าสงสัยมากจริงๆ” จินเหยียนขมวดคิ้วคิด “สถาบันดวงดาวมีเจตนาอะไรที่จะทำให้คนกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง? ที่คุณหนูพูดมาดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรเลย แต่ว่าถ้าสถาบันดวงดาวมีจุดประสงค์บางอย่างที่ไม่มีใครรู้กับผู้แข็งแกร่งเหล่านี้…”
ชีอ้าวชวางตกตะลึง จุดประสงค์ที่ไม่มีใครรู้?!
“มันแปลกมาก แต่ว่าตอนนี้คุณหนูอย่าเพิ่งรีบร้อนทำอะไรนะครับ อย่างที่คุณหนูพูดว่าอย่าเพิ่งให้พี่ชายของพาริน่าก้าวหน้าไปกว่านี้และหยุดฟังที่ชายลึกลับพูด ไม่ต้องรีบร้อน” จินเหยียนวิเคราะห์ “ความสนใจของสถาบันดวงดาวก็อยู่ในการประชุมสี่เมืองนี้ครั้งเช่นกัน คาดว่าคิดจะค้นหาอีกว่ามีคนที่แข็งแกร่งหรือคนที่มีศักยภาพ…” คำพูดของจินเหยียนหยุดลงอย่างกะทันหัน ทั้งสองคนมองหน้ากันและสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
ทำไมถึงคิดไม่ถึงนะ ตลอดเวลาที่ผ่านมา สถาบันดวงดาวเป็นเจ้าภาพการประชุมสี่เมืองมาโดยตลอด! นี่เป็นการสนองจุดประสงค์บางอย่างที่ไม่มีใครรู้ของสถาบันดวงดาวหรือไม่? อีกทั้งจุดประสงค์นี้ดูเหมือนจะชัดเจนมาก นั่นก็คือเพื่อค้นหาผู้แข็งแกร่งและผู้ที่มีศักยภาพที่จะก้าวเข้าสู่มิติสูญสลายได้!
แต่จะค้นหาคนเหล่านี้มาเพื่ออะไรล่ะ?
ความหนาวเยือกเกาะกุมก้นบึ้งในหัวใจของชีอ้าวชวาง เพราะตอนนี้นางนึกถึงใครบางคน
คนที่ผ่านชั้นแปดในเข้าร่วมการทดสอบหอคอยดวงดาวเป็นครั้งแรก แต่ท้ายที่สุดกลับหันหลังให้กับคนจากสถาบันดวงดาวและเกือบจะทำลายหอคอยดวงดาวคนนั้น มีข่าวลือว่าตอนนั้นเขาได้ไปถึงเขตของมิติสูญสลายแล้ว แต่ต่อมาก็ไม่รู้เกี่ยวกับเขาเลย บ้างก็พูดว่าเขาตายแล้ว บ้างก็บอกว่าเขาหลบซ่อนอยู่
คนๆ นั้นไปพบอะไรหรือไม่?
หรือว่า?!
ชีอ้าวชวางตกใจมาก ชายลึกลับที่ปรากฏตัวขึ้นในหัว ชายลึกลับที่ขัดขวางไม่ให้นางขึ้นไปชั้นเก้า คนที่บอกว่าจะแก้ไขปัญหาเอง เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะเป็นคนที่ต่อต้านสถาบันดวงดาวคนนั้น?
จากการวิเคราะห์เบาะแสต่างๆ แล้ว มีความเป็นไปได้สูงเลยที่จะเป็นเช่นนั้น
“คุณหนู? คุณหนู?” จินเหยียนมองชีอ้าวชวางที่ตกอยู่ในภวังค์และเรียกอยู่หลายครั้ง แต่ชีอ้าวชวางก็ยังไม่มีการตอบสนอง
“หือ?” ในที่สุดชีอ้าวชวางก็หันกลับมามองจินเหยียน
“คุณหนูคิดอะไรอยู่หรือ?” จินเหยียนขมวดคิ้วถาม
“อืม ข้านึกถึงใครบางคน” ชีอ้าวชวางพยักหน้าและเล่าการคาดเดาทั้งหมดออกมา
“ที่คุณหนูพูดมามีเหตุผลมาก เรื่องนี้ดูเหมือนจะยุ่งยากมากทีเดียว แต่สิ่งที่เราต้องทำก็เหมือนกับที่คุณหนูตัดสินใจไว้แล้ว นั่นก็คือเงียบและดูสถานการณ์ อีกทั้ง…” จินเหยียนพูดแล้วก็หยุดไป “อีกทั้งตอนนี้เราก็ยังไม่มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะต่อกรกับสถาบันดวงดาวด้วย”
“ใช่ ตอนนี้ทำได้เพียงแค่ค่อยเป็นค่อยไปเท่านั้น” ชีอ้าวชวางพยักหน้า
“คุณหนูจะทำอะไรต่อหรือไม่?” จินเหยียนถาม
“อืม ข้าจะไปพบศิษย์ของสำนักเทียนต้าวหน่อย” ชีอ้าวชวางพูด
“สำนักที่คุณหนูเข้าร่วมในตอนนี้หรือ?”
“ใช่ ข้าจะไปดูว่ามีอะไรที่จะช่วยได้หรือไม่” ชีอ้าวชวางพยักหน้า “เมื่อกี้ตอนที่ยังไม่เจอกับเจ้า ข้าก็กำลังจะไปที่นั่นอยู่”
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปด้วย” จินเหยียนลุกขึ้นยืน
“ก็ดีเหมือนกัน แต่จะเรียกว่าคุณหนูไม่ได้แล้วนะ” ชีอ้าวชวางยิ้มจางๆ
“ครับ นายน้อย” จินเหยียนและชีอ้าวชวางต่างยิ้มให้กัน
ระหว่างที่เดินไปตามถนน จินเหยียนก็เคยชินกับการเดินตามหลังชีอ้าวชวางไปแล้ว เขามองแผ่นหลังของชีอ้าวชวางอย่างเงียบๆ แต่จิตใจกำลังครุ่นคิด พอได้พบกับคุณหนูอีกครั้งกลับต้องมาพบในสถานการณ์เช่นนี้ คุณหนูต้องพบเจอกับเรื่องราวมากมายขนาดนั้น แถมตอนนี้ก็ยังสลับร่างกับเฟิงอี้เซวียนอีก แต่ผู้ที่ทำเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือเหลิ่งหลิงยวิ๋น เพียงเพราะว่าคุณหนูไม่ยอมให้เฟิงอี้เซวียนตาย เหลิ่งหลิงยวิ๋นก็ทำถึงขนาดนี้เลย! จินเหยียนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เหลิ่งหลิงยวิ๋น เฟิงอี้เซวียน…คนสองคนนี้ สุดท้ายแล้วคุณหนูจะเลือกอย่างไรกันนะ?
พอชีอ้าวชวางก้าวเข้าไปที่ล็อบบี้ของโรงแรมที่สำนักเทียนต้าวอาศัยอยู่ เสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้น “อ้าว นี่เสี่ยวอ้าวชวางนี่? ทูตมาถึงที่นี่มีเรื่องอะไรหรือ? หรือว่าจะมาเลี้ยงข้าวข้า?”
ไม่ต้องพูดก็รู้เลยว่าอัลทิสแน่นอน
“ผู้อาวุโสอัลทิส” ชีอ้าวชวางหันไปมองตามเสียงแล้วยิ้ม ไม่รู้ว่าทำไม ตอนชีอ้าวชวางอยู่กับอัลทิสจะรู้สึกเหมือนเห็นเงาของคนคนนั้นบนร่างของอัลทิส แม้ว่ามันจะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่มันก็มีอยู่จริงๆ การพูดจาและความรู้สึกเหมือนกับคามิลล์เลย ความรู้สึกนี้ทำให้หัวใจของชีอ้าวชวางอบอุ่นอยู่เสมอ
“เสี่ยวอ้าวชวาง ฮ่าๆ ไม่เจอกันนานเลย” อัลทิสเดินจากมุมห้องโถงไปหาชีอ้าวชวาง
“อืม ก็เป็นเวลาสักพักแล้ว” ชีอ้าวชวางยิ้ม
“หือ นี่ใครกัน?” อัลทิสขมวดคิ้วมองจินเหยียนที่อยู่ข้างหลังชีอ้าวชวางแล้วถาม ลมหายใจของชายคนนั้นดูแปลกประหลาดเล็กน้อย แต่บอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร นั่นเป็นเหตุผลที่เขาถามขึ้น
“เขาคือ…” ชีอ้าวชวางยังไม่ทันได้พูดอะไรจินเหยียนก็ตอบก่อนแล้ว
“ข้าเป็นผู้ติดตามนายน้อย” จินเหยียนตอบ
“หือ?” อัลทิสเหลือบมองทั้งสองคนอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก
“อัลทิส ขอบคุณที่ช่วยเหลือข้าตั้งมากมาย การประชุมสี่เมืองครั้งนี้มีอะไรที่ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่?” ชีอ้าวชวางคิดอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็ตัดสินใจไม่บอกอัลทิสว่ากำลังกังวลสงสัยเกี่ยวกับสิ่งใดอยู่ ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่มีหลักฐาน แถมพวกเขาก็คงยังไม่มีใครเข้าไปในมิติสูญสลายด้วย