บทที่ 306 : ไม่สามารถถูกแทนที่ได้
โรเอลเหลือบมองนาฬิกาบนผนังพลางถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขารีบลุกขึ้นและเริ่มจัดของให้เรียบร้อย
ตามที่ตกลงไว้กับลิเลียน พวกเขาควรจะเปลี่ยนกะกันไปแล้ว แต่ทว่าลิเลียนกลับไม่ได้เดินเข้ามาปลุกเขาแต่อย่างใด
โชคดีที่การถูกอาร์เทเชียเรียกไป ทำให้เราตื่นนอนทันเวลา มิฉะนั้นเราคงจะหลับยาวไปจนถึงวันรุ่งขึ้นแน่ๆ
หลังจากจัดระเบียบตัวเองแล้ว โรเอลก็เดินออกจากห้องนอนไปหาลิเลียน เด็กสาวนั่งอยู่อย่างสง่างามที่โซฟาด้านนอก คอยเฝ้ายามอย่างขยันขันแข็ง เธอแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นโรเอลลุกขึ้นมา เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่เธอเข้าไปดูโรเอล…เขายังคงหลับสนิทอยู่
“ตื่นแล้วเหรอ? มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ?”
“ถึงเวลาที่เราจะเปลี่ยนกะกันแล้ว คุณน่าจะปลุกผมนะ”
“ฉันแข็งแกร่งกว่าเธอ นอกจากนี้ในฐานะพี่สาว ฉันควรจะดูแลน้องชายของฉัน…”
“…”
ท่าทีที่ยืนกรานของลิเลียนทำให้โรเอลถอนหายใจอีกครั้ง
“ไปนอนได้แล้ว” เขาพูด
“แต่…”
“การรักษาสภาพร่างกายให้สมบูรณ์เป็นหนึ่งในหลักการพื้นฐานของการทำสงคราม ความสามารถในการต่อสู้ของผมถูกจำกัดลงมามากในมิตินี้ มีแนวโน้มว่าผมจะต้องการความช่วยเหลือจากคุณในหลาย ๆ เรื่องหลังจากนี้”
“…ฉันเข้าใจ.”
เมื่อได้ยินว่าตนเองมีความจำเป็นลิเลียนก็อารมณ์ดีขึ้นมาก ทำให้เธอยอมเดินไปนอนอย่างเชื่อฟัง ในขณะเดียวกันโรเอลก็เหยียดร่างกายของเขาเล็กน้อย ก่อนที่จะนั่งลงบนโซฟาในที่สุด เพื่อเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับการต่อสู้ใด ๆ ก็ตามที่อาจจะเกิดขึ้นในคืนนี้
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้โรเอลเลือกเป็นฝ่ายนอนก่อน นั่นก็เพราะรูปแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์ประหลาดในกองทัพแห่งการกอบกู้ ทั้งทหารชุดเกราะดำและร่างชุดคลุมดำมักจะเคลื่อนไหวกลางดึก ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะออกมาเฝ้าในเวลานี้ เพื่อที่เขาจะได้ตอบสนองต่อเหตุการณ์ใด ๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องกังวลถึงลิเลียน
โชคดีที่การคาดเดาของโรเอลนั้นไม่เกิดขึ้นจริง…
คืนนี้ไม่มีเหตุฉุกเฉินเลย อันที่จริงมันสงบกว่าที่เคยเป็นด้วยซ้ำ
เกิดอะไรขึ้น? ภารดรภาพแห่งการกอบกู้รั้งตัวเองไว้เพราะกลัวความแข็งแกร่งของลิเลียนงั้นเหรอ?
โรเอลไม่สามารถหาเหตุผลรองรับความสงบอันแปลกประหลาดนี้ได้ มันทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าได้มองข้ามสิ่งที่สำคัญอะไรบางอย่างไป
ในไม่ช้าความคิดของเขาก็หยุดชะงักลง ด้วยเสียงตะโกนที่ดังมาจากห้องนอน
“โรเอล!”
“!”
โรเอลรีบเข้าไปในห้องนอนทันทีที่เขาได้ยินเสียงตะโกนของลิเลียน ทว่าไม่มีศัตรูใด ๆ อยู่ในห้อง มีเพียงลิเลียนเท่านั้นที่สั่นเทานั่งอยู่บนเตียง หายใจหอบเหนื่อย
เธอฝันร้ายงั้นเหรอ?
เมื่อสังเกตเห็นดวงตาสีอเมทิสต์ของลิเลียนที่สั่นเทาอย่างไม่สบายใจ โรเอลก็นึกตำหนิตัวเองในความประมาทของเขา มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้จน เขาลืมไปแล้วว่าลิเลียนไม่ได้อยู่ในสภาวะจิตใจที่สมบูรณ์
ก่อนเข้าสู่สถานะผู้เฝ้ามอง ลิเลียนได้เห็นศพอันน่าสยดสยองของคนรู้จัก การได้รู้ว่าพวกเขาสองคนเป็นเครือญาติทางพลังสายเลือดเดียวกัน ทำให้เธอหลุดจากอาการช็อกนั้นไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อทั้งสองคนถูกแยกออกจากกันในสถานะผู้เฝ้ามอง มันก็ยิ่งทำให้สภาพจิตใจของเธอแย่ลงไปอีก
ลิเลียนอาจจะสามารถระงับความบอบช้ำและความกลัวในใจได้ด้วยหลักเหตุผลตอนตื่น แต่เมื่อเธอหลับลงไปมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ความทรงจำเหล่านั้นจะหวนกลับมาในรูปแบบของฝันร้าย
โรเอล รู้สึกปวดใจกับเรื่องนี้มาก
“รุ่นพี่ ใจเย็น ๆ ผมอยู่ที่นี่แล้ว!”
“…โรเอล”
เมื่อโรเอลเดินมาที่ข้างเตียงพร้อมกับกระซิบถ้อยคำปลอบใจ ลิเลียนก็จ้องมาที่เขาอย่างว่างเปล่าครู่หนึ่งก่อนจะพุ่งเข้ามากอดเขาแน่นทันที
เธอแช่ตัวในความอบอุ่นจากอ้อมกอดของเขาเป็นเวลานาน ก่อนที่ความตึงเครียดจะคลี่คลายลง เมื่อเห็นสิ่งนี้โรเอลก็ดึงเก้าอี้มาที่ข้าง ๆ เตียงแล้ว เอนหลังลงไป เขายังคงจับมือของลิเลียนไว้ในขณะที่ค่อย ๆ เกลี้ยกล่อมเธอให้หลับลงอย่างนุ่มนวล…
“รุ่นพี่ ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ผมจะนั่งตรงนี้ ไม่ต้องห่วง นอนหลับให้สบายเถอะครับ”
“…”
คำพูดของเขาทำให้ลิเลียนรู้สึกเขินอายจากการแสดงความอ่อนแอก่อนหน้านี้ เธอจึงรีบซ่อนใบหน้าครึ่งหนึ่งเอาไว้ใต้ผ้าห่ม แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ไม่อยากปล่อยมือเขาเช่นกัน
ท้ายที่สุดแล้ว ลิเลียนจึงได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยเงียบๆ
แม้จะรู้ดีว่าควรนอนได้แล้ว แต่ดวงตาของลิเลียนก็ยังคงแอบมองไปทางโรเอลทุก ๆ สองสามวินาที สิ่งนี้ทำให้โรเอลถอนหายใจอีกครั้ง เธอคงจะไม่หลับเร็ว ๆ นี้แน่หากทำแบบนี้ต่อไป เขาจึงตัดสินใจเบี่ยงเบนความสนใจของเธอด้วยหัวข้ออื่น
“ก่อนหน้านี้คุณฝันถึงอะไรเหรอครับ?”
“…การต่อสู้.”
“การต่อสู้?”
“ใช่ มันวุ่นวายมาก จากนั้นพวกเราก็ต้องแยกจากกันอีกครั้ง”
“…เข้าใจแล้ว.”
โรเอลพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะนึกถึงเสียงตะโกนเรียกชื่อเขาก่อนหน้านี้ของลิเลียน มันได้นำความอบอุ่นมาสู่หัวใจของเขา
ย้อนกลับไปในเกมอายออฟโครนิเคิล ฝันร้ายของลิเลียนส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับคนรู้จักที่ตายไปแล้วในห้องเก็บไวน์ แต่ตอนนี้เธอเริ่มฝันว่าพวกเขาทั้งสองคนถูกแยกออกจากกันแทน นี่แสดงให้เห็นว่าเขาสำคัญมากสำหรับเธอ และมันคงเป็นเรื่องโกหกถ้าเขาจะบอกว่าไม่มีความสุขกับมันเลย
หัวข้อนี้จบลงอย่างเป็นธรรมชาติ ดังนั้นโรเอลจึงเริ่มค้นหาเรื่องอื่น ๆ เพื่อพูดคุยกัน และแล้วเขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ในทันใด หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ตัดสินใจเปล่งเสียงความคิดออกมาดังๆ
“…”
“รุ่นพี่ เกี่ยวกับกองทัพที่คุณควบคุมก่อนหน้านี้ พวกเขาถูกอัญเชิญมาใช่ไหม? คุณบอกว่าคุณไม่เคยเข้ามาในสถานะผู้เฝ้ามองมาก่อน แล้วคุณอัญเชิญพวกเขาออกมาได้อย่างไรกัน? อา…คุณไม่ต้องพูดถึงมันก็ได้ถ้าไม่สะดวก ผมแค่ถามเพราะว่าอยากรู้เฉยๆ ”
โรเอลพยายามหลีกเลี่ยงการพูดถึงกองทัพของลิเลียน เนื่องจากการสอบถามความสามารถของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอื่นไม่เพียงแต่เป็นเรื่องหยาบคายเท่านั้น แต่ยังถูกมองว่าเป็นการคุกคามทางอ้อม ทำให้หลังจากเลือกถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็ให้ตัวเลือกสำหรับปฏิเสธ เพื่อที่เธอจะได้ไม่รู้สึกขุ่นเคืองกับคำถาม…
ทว่าลิเลียนกลับจ้องมาที่เขาครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะเบาๆ
“ไม่มีความลับไหน ที่ฉันไม่สามารถแบ่งปันกับเธอได้หรอก ฉันได้รับกองทัพอัศวินเหล่านี้มาจากวัตถุโบราณ”
“วัตถุโบราณ?”
“ใช่ ตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อใดก็ตามที่ฉันสัมผัสสิ่งต่าง ๆ เช่น ธงการทหาร โล่ และตราสัญลักษณ์ ฉันจะเข้าสู่ความฝันอันแปลกประหลาด ในความฝันฉันจะได้พบกับอัศวินที่สัญญาว่าจะมอบความภักดีให้ ถ้าหากฉันทำตามความปรารถนาของพวกเขาได้สำเร็จ ความปรารถนาเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นการบันทึกความสำเร็จของพวกเขา การสร้างกองทัพใหม่และการกู้คืนชำระชื่อเสียงของพวกเขา…”
โรเอลเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาไม่คิดว่ากองทัพของลิเลียนจะได้มาด้วยวิธีที่ง่ายดายเช่นนั้น…
แต่ถ้าจะบอกว่าเธอได้มันมาอย่างง่ายดายก็ไม่ถูกต้องซะทีเดียว ที่ลิเลียนสามารถเติมเต็มความปรารถนาของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ก็เพราะอิทธิพลมหาศาลที่เธอมีในฐานะองค์หญิงแห่งจักรวรรดิออสทีน ความง่ายดายนี้อาจจะเป็นสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถทำได้ตลอดชั่วชีวิตเลยก็ว่าได้
ส่วนสาเหตุที่ลิเลียนไม่ได้ถูกลากเข้าสู่สถานะผู้เฝ้ามอง อาจจะเป็นเพราะวิญญาณมนุษย์ไม่แข็งแกร่งพอที่จะรักษาอาณาเขตของตนเองได้ ต่างจากกรันด้าหรือเปตรา…
หลังจากที่ไขปริศนาที่รบกวนจิตใจได้แล้ว โรเอลก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและชักนำการสนทนากลับไปสู่ฝันร้ายของเธอ เขาจับมือเธอแน่นและยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน…
“ผมรู้ว่าฝันร้ายที่คุณเจอนั้นน่ากลัว แต่นั่นจะไม่มีวันเกิดขึ้นแน่ ไม่ว่าจะเจออุปสรรคแบบไหน…พวกเราก็จะไม่มีวันแยกจากกันอีกแล้ว”
“!”
คำสัญญาของโรเอลทำให้ลิเลียนเบิกตากว้าง ครู่ต่อมาเธอก็ดึงมือของเขามาที่แก้มและคืนคำสัญญาด้วยแววตาที่ดึงดูดใจ
“ใช่แล้ว พวกเราจะไม่มีวันแยกจากกันอีก ฉันจะปกป้องเธอเป็นอย่างดีเอง”
หลังจากสนทนากันอย่างซาบซึ้ง ในที่สุดลิเลียนก็ผล็อยหลับไป ทำให้โรเอลถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะหันกลับมาสนใจสิ่งรอบตัว…
เมืองเลนสเตอร์ในคืนนี้นั้นเงียบผิดปกติ ไม่มีรายงานเหตุฉุกเฉินจากแนวหน้าหรือเหล่าสาวกที่เดินตรวจอยู่ตามทางเดิน มันจึงเป็นสภาพแวดล้อมที่น่าตกใจมากสำหรับโรเอล
ภายใต้ความเงียบนั้น จู่ ๆ เงาสีดำก็แวบผ่านหน้าต่างเข้ามาในการมองเห็นของเขา
“หืม?”
โรเอลหันความสนใจไปที่หน้าต่างอย่างรวดเร็ว ตรงนั้นมีนกน้อยตัวหนึ่งที่มีขนเจ็ดสีกระพือปีกอยู่ข้างนอก
เด็กหนุ่มเคยเห็นนกที่มีขนสีสันสดใสมามากมายในอดีตชาติ แต่นกตัวที่อยู่ข้างหน้าเขานั้นมีความพิเศษกว่าด้วยที่ขนของมันเปล่งแสงสีรุ้งออกมา
ความงามของมันสะดุดตาเขา อย่างไม่ต้องสงสัย แต่สิ่งที่โรเอลสนใจมากกว่าก็คือจี้ที่ห้อยอยู่ที่คอของมัน
มันคืออำพันอดามันไทน์!
โรเอลเบิกตากว้างเมื่อเห็นตราสัญลักษณ์ที่คุ้นเคย เขาเข้าใจได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ปล่อยพลังเวทย์ออกไปเบา ๆ กระตุ้นให้นกสีรุ้งเหลือบมองที่หน้าอกของมัน เหมือนจะยืนยันอะไรบางอย่าง
ครู่ต่อมา มันก็บินไปทางด้านข้างของโรเอล
มันวนเวียนอยู่เหนือศีรษะของเขาและเขย่าร่างของมัน ทำให้อำพันอดามันไทน์ตกลงไปในกำมือของโรเอลพร้อมกับขนนกสีรุ้ง
“นี่มัน…”
โรเอลมองดูขนนกที่ลอยอยู่อย่างสนใจ ไม่เข้าใจความหมายเบื้องหลังท่าทางนี้ อย่างไรก็ตามก่อนที่ขนนกจะร่อนลงมา จู่ ๆ มันก็แปรเปลี่ยนเป็นซองจดหมายที่มีแสงวาบ
“!”
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ทำให้โรเอลประหลาดใจ เขาเอื้อมมือไปหยิบซองที่หุ้มด้วยพลังเวทย์เรืองแสง ประเมินมันอย่างรอบคอบก่อนที่จะพยายามใส่พลังเวทย์ลงไป
ซองจดหมายพลังเวทย์มักจะถูกผนึกด้วยพลังเวทย์ที่เหลือ ซึ่งดึงมาจากสมบัติของผู้รับ ซึ่งในกรณีนี้น่าจะเป็นอำพันอดามันไทน์
ในการเปิดซองจดหมาย ผู้รับจะต้องใส่พลังเวทย์ลงไป เพื่อเป็นการยืนยันตัวตน หากซองจดหมายนี้ไม่ได้ถูกเปิดออกในระยะเวลาที่กำหนด หรือถูกเปิดออกอย่างแรง มันก็จะกระตุ้นการผนึกที่ร่ายอยู่ และส่งผลให้ซองจดหมายไหม้
เมื่อรู้เคล็ดลับเบื้องหลังแล้ว โรเอลก็วางนิ้วลงบนผนึก ปล่อยพลังเวทย์ลงไป จากนั้นเขาก็หยิบจดหมายออกมาจากซอง แล้วเริ่มอ่านอย่างระมัดระวัง ดวงตาของเขาเริ่มเบิกกว้างขึ้นอย่างช้าๆ
ตามที่เขาคาดไว้ มันเป็นจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของ ‘ผู้พิทักษ์’ แอนโตนิโอ จากสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ โดยระบุว่าสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าอยู่ภายใต้การคุ้มครองของเกราะเวทย์ขนาดใหญ่ ทำให้ยากสำหรับพวกเขาที่จะระดมกำลังออกไปนอกขอบเขตของสถานศึกษา ‘นักวิชาการ’ เองก็ไม่อยู่ในสถานะที่ดี พอที่จะออกจากสถาบันการศึกษาได้ด้วยเหตุผลหลายประการ
อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะรับพวกเขาทั้งสองคนที่ทำงานเป็นสายลับนอกเครื่องแบบอยู่เข้ามา เขาจะเปิดช่องว่างเล็ก ๆ ในเกราะพลังเวทย์ ทางเหนือของสถานศึกษาเพื่อนำตัวพวกเขาเข้ามา ตราบใดที่พวกเขามีจดหมายฉบับนี้อยู่ในครอบครอง พวกเขาก็จะสามารถเข้าสู่สถาบันการศึกษาได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ
ทำงานเป็นสายลับ?
โรเอลคิดว่าแอนโตนิโอคงจะเข้าใจผิดอะไรบางอย่างผิดไป แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ไม่ว่าในกรณีใด เด็กหนุ่มก็โล่งใจมากที่ตอนนี้พวกเขาสามารถไปหลบภัยภายในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าได้แล้ว นี่หมายความว่าเขาจะสามารถก้าวไปสู่ขั้นต่อไปของแผนการได้
เด็กหนุ่มสังเกตเห็นว่าจดหมายดังกล่าวลงนามโดย ‘นักวิชาการ’ และ ‘ผู้พิทักษ์’ แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรก็ตาม ทว่าระหว่างที่โรเอลกำลังจะเก็บจดหมายเขาก็สังเกตเห็นบางอย่าง
มันทำให้โรเอลรีบหยิบจดหมายออกมาอีกครั้งแล้วจ้องไปที่ชื่อหนึ่งบนจดหมายที่ทำให้เขาต้องขนลุกไปทั้งตัว
แอสตริด อาร์เด้…
“!”