ภาคที่ 2 การแข่งขันแพทย์แผนจีน บทที่ 21 ไม่ยุติธรรม? งั้นเอาอย่างนี้ก็ได้

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 21 ไม่ยุติธรรม? งั้นเอาอย่างนี้ก็ได้

ฮัวเหรินเชิง?

ฮัวเหรินเชิงที่เป็นหนึ่งในสิบแพทย์แผนจีนระดับประเทศน่ะหรือ?

ผู้ที่มีความสามารถถึงขนาดนั้นยังรักษาไม่ได้ แต่ซูเย่กลับรักษาได้สำเร็จ?

นี่มันเรื่องตลกแล้ว!

ผู้เข้าแข่งขันทั้ง 49 คน รวมถึงลวี่อวิ๋นเผิงกับลู่จวิ้นซึ่งมาจากมหาวิทยาลัยเดียวกับซูเย่ ก็ยังอดตกตะลึงในความเป็นจริงข้อนี้ไม่ได้

“คุณหนู สิ่งที่คุณพูดออกมาเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกกันแน่?” โปรดิวเซอร์ถามด้วยความตกตะลึง รายการของพวกเขาทำเรื่องราวเกี่ยวกับวงการแพทย์แผนจีนมาพอสมควร ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีใครที่จะไม่เคยได้ยินชื่อปรมาจารย์แห่งวงการแพทย์แผนจีนอย่างฮัวเหรินเชิงมาก่อน!

“ต้องเป็นเรื่องจริงแน่นอนอยู่แล้ว เสี่ยวเหอไม่เคยโกหก!”

ฮั่วเสี่ยวเหอตอบน้ำเสียงหนักแน่น

โปรดิวเซอร์ถึงกับทำหน้าไม่ถูก

“เสี่ยวเหอ คุณไปก่อนเถอะ เดี๋ยวพวกเราจะถ่ายรายการกันต่อ” ซูเย่พูดพร้อมกับยิ้มกว้าง

“ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะมาขอบคุณทีหลังนะ” ฮั่วเสี่ยวเหอพยักหน้าและหมุนตัวเดินออกไปอย่างเชื่อฟัง

เมื่อร่างของหญิงสาวหายลับไปจากสายตา

ทุกคนก็หันกลับมามองหน้าซูเย่อีกครั้ง

สิ่งที่พวกเขาได้ยินเมื่อสักครู่นี้

มันน่าตกตะลึงมากเกินไป!

พวกเขายังไม่หายตกตะลึงด้วยซ้ำ

“จากนี้ไปจะเป็นการแจกข้อสอบ”

สิบนาทีต่อมา เสียงพูดของพิธีกรคือสิ่งที่ฉุดทุกคนออกจากภวังค์

“การแข่งขันครั้งนี้มีเวลาสามชั่วโมง เวลาจะเริ่มต้นนับถอยหลังโดยอัตโนมัติเมื่อพวกคุณถือกระดาษข้อสอบเดินเข้าไปในเรือนกระจก”

หลังจากนั้น ทีมงานก็นำข้อสอบออกมาเตรียมแจกจ่ายให้แก่ผู้เข้าแข่งขันทุกคน

“เดี๋ยวก่อนครับ”

ซูเย่พลันยกมือขึ้นและพูดว่า “ผมเคยมาดูสมุนไพรที่เรือนกระจกนี้แล้วครับ”

“ผมมาจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากที่นี่เท่าไหร่ อาจารย์เคยพาผมมาดูสมุนไพรหลายตัวที่เรือนกระจกแห่งนี้ ผมจำแทบทุกอย่างที่อยู่ด้านในได้แล้ว ผมว่ามันจะไม่ยุติธรรมกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นเอานะครับ ไม่ทราบว่าทางพวกคุณช่วยเปลี่ยนการแข่งขันไปเป็นอย่างอื่นแทนได้ไหม?”

เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม

ไม่ว่าจะเป็นทางทีมงานหรือกลุ่มคนดูต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน

พวกเขาไม่แปลกใจเลยที่ซูเย่จะเคยมาที่นี่

แต่ทว่า…

ทำไมซูเย่ถึงต้องพูดความจริงออกมาด้วย?

ถึงทุกคนจะรู้ว่าเขาเคยรักษาโรคร้ายของฮั่วเสี่ยวเหอได้สำเร็จ แต่ก็ไม่มีหลักฐานใดยืนยันว่าซูเย่เคยมาที่นี่

คิดไม่ถึงเลยว่า

ชายหนุ่มกลับพูดออกมาด้วยตัวเอง?

ทั้งที่ถ้าปิดปากเงียบต่อไป เขาก็จะได้เปรียบคนอื่นแล้วแท้ๆ

ดวงตาของตัวแทนจากมหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตูทั้งสี่คนล้วนจ้องมองมาที่ซูเย่เป็นหนึ่งเดียวด้วยความสงสัย

“นี่มันอะไรกัน?”

“เขาพูดเปิดโปงตัวเองทำไม? หรือว่าอยากเรียกร้องความสนใจ?”

“ไม่สมกับเป็นหมอนี่เลยสักนิด”

“แน่ใจนะว่านี่คือซูเย่ที่เคยถูกกล่าวหาว่าโกงข้อสอบคนนั้นน่ะ?”

“ให้ตายสิ เขาทำแบบนี้เพื่ออะไร”

ในกลุ่มคนทั้งสี่นั้นมีหวังจี้เชารวมอยู่ด้วย และหวังจี้เชาก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับการกระทำของซูเย่เหลือเกิน

พวกเขาเคยคิดว่าซูเย่เป็นคนที่สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อความสำเร็จ ชายหนุ่มยินดีทำทุกเรื่องราวเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ

แต่ตอนนี้

พฤติกรรมของชายหนุ่มกลับผิดแผกแตกต่างไปจากสิ่งที่ทุกคนคิด

เป็นไปได้อย่างไร?

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

จ้าวเหมียนขมวดคิ้วหน้ายุ่ง ในหัวสมองเต็มไปด้วยความสงสัย

เพราะนี่เป็นเหตุการณ์ที่ทางทีมผู้กำกับต่างก็ไม่คาดคิดเช่นกัน

“รอก่อนนะ ขอเราประชุมกันแป๊บ เดี๋ยวจะกลับมาให้คำตอบ”

จ้าวเหมียนหันกลับไปพยักหน้ากับทีมผู้กำกับเป็นสัญญาณบอกให้ลุกขึ้น

หลังจากนั้น จ้าวเหมียนและทีมผู้กำกับซึ่งวางแผนการแข่งขันค้นหาสุดยอดแพทย์แผนจีนรุ่นใหม่ก็เริ่มประชุมกันอย่างเคร่งเครียด แม้แต่พิธีกรก็ถูกตามตัวมาเช่นกัน เพราะเขาก็คือหนึ่งในทีมงานการแข่งขันครั้งนี้

การประชุมดำเนินไปอย่างเร่งด่วน

ในระหว่างนี้

สายตาของผู้เข้าแข่งขันทุกคนจ้องมองมาที่ซูเย่

ก่อนหน้านี้ ซูเย่ได้รับการยืนยันว่าเป็นผู้ที่รักษาโรคที่แม้แต่ปรมาจารย์แห่งวงการแพทย์แผนจีนก็รักษาไม่ได้ และขณะนี้ ชายหนุ่มก็ยังยืนหยัดขึ้นมาเพื่อมอบความยุติธรรมให้แก่ทุกคน

หากซูเย่เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เขาก็จะยิ่งได้เปรียบผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ แต่การเปิดเผยความจริงด้วยตัวเองเช่นนี้ ก็ทำให้ซูเย่ช่วยลดจำนวนผู้คนที่คิดจะเป็นปรปักษ์กับเขาได้เยอะทีเดียว

หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ

ทีมงานก็ได้ข้อสรุป

“หลังจากที่ทางทีมงานและคณะกรรมการประชุมกันเสร็จเรียบร้อย” พิธีกรเดินกลับไปยืนอยู่หน้าผู้เข้าแข่งขันทุกคนอีกครั้งและแจ้งว่า “เราตัดสินใจที่จะไม่เปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันใหม่ ขอให้ทุกคนยึดถือตามกติกาเดิม และพยายามกันให้เต็มที่!”

“ถึงแม้ซูเย่จะเคยมาที่นี่ และเขาอาจจะจำสมุนไพรในเรือนกระจกได้หลายชนิด แต่เราคงไม่เปลี่ยนข้อสอบเพราะมีบางคนอ่านหนังสือมาเยอะแถมยังมีความจำดีมากกว่าคนอื่นอยู่แล้วจริงไหม? เพราะฉะนั้น นี่ไม่ใช่ประเด็นที่จะทำให้พวกเราต้องเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันไปใช้หัวข้ออื่น พวกเราจะแข่งขันกันตามกติกาเดิมต่อไป!”

เมื่อคำประกาศสิ้นสุดลง

ทุกคนก็นิ่วหน้า

โดยเฉพาะตัวแทนจากมหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตู ซึ่งแสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างชัดเจน

“ขอคัดค้านครับ!”

หวังจี้เชาลุกขึ้นยืนทันที

ทุกคนหันหน้ากลับไปมอง

เมื่อเห็นว่าคนที่พูดคือหวังจี้เชา หลายคนก็ถึงกับโล่งใจ

ดูเหมือนชายหนุ่มคนนี้จะมีความแค้นฝังหุ่นอยู่กับซูเย่เป็นทุนเดิม

“การที่รู้จักพืชสมุนไพรและมีความจำดีมากกว่าคนอื่นไม่ใช่เรื่องเสียหายหรอกนะครับ แต่เขารู้จักเรือนกระจกนี้เป็นอย่างดี นี่มันช่างไม่ยุติธรรมเอาซะเลย!” หวังจี้เชาพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “มันไม่ยุติธรรมสำหรับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ !”

“งั้นคุณมีแผนสำรองไหมล่ะครับ ถ้ามีก็บอกมาได้เลย” พิธีกรหันมาพูดกับหวังจี้เชาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ผมไม่มีแผนอะไรทั้งนั้น” หวังจี้เชาส่ายหน้าปฏิเสธ “ผมรู้แค่ว่าถ้าแข่งแบบนี้ต่อไปมันไม่ยุติธรรม!”

พิธีกรพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

ผู้กำกับจ้าวเหมียนมองเหตุการณ์ทุกอย่างผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ในรถบันทึกภาพที่จอดอยู่ห่างออกมา แล้วก็ต้องรู้สึกรำคาญใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

ไม่มีแผนแล้วจะพูดเพื่ออะไร!

แบบนี้ตั้งใจกวนประสาทกันชัดๆ

ถ้าต้องมาเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันกลางคันอย่างนี้ รับรองได้เลยว่าทุกอย่างพังทลายแน่!

บรรยากาศตกอยู่ภายใต้ความกระอักกระอ่วนใจ

ถึงทุกคนจะชื่นชมที่ซูเย่กล้าหาญเปิดเผยความจริง แต่นี่คือการแข่งขันหาคนที่เก่งที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่ใช่ผู้เข้าแข่งขันทุกคนที่จะกลายเป็นผู้ชนะ

ย่อมมีคนได้เปรียบและย่อมมีคนเสียเปรียบ

โดยเฉพาะสี่สมาชิกจากมหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตูที่รู้สึกว่าตนเองเสียเปรียบมากกว่าใครเพื่อน

การสอบก่อนหน้านี้ พวกเขาก็เคยแพ้ให้แก่ซูเย่มาแล้ว

ครั้งนี้พวกเขาจะไม่ยอมแพ้อีก เพราะว่าซูเย่น่ะ ‘ขี้โกง’ สิ้นดี!

ไม่ว่ายังไงก็ต้องคัดค้าน!

ถึงผู้กำกับจ้าวเหมียนจะไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่จะโกรธอะไรง่ายๆ อีกอย่าง นี่ไม่ใช่รายการของเขาเองแต่เพียงคนเดียว เพราะทีมงานที่วางแผนการแข่งขันนั้น ส่วนใหญ่เป็นคนจากกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุขต่างหาก

ด้วยเหตุนี้ การแข่งขันจึงต้องดำเนินต่อไปตามแผนเดิม

เมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้

“อย่าทำให้ทุกคนลำบากใจดีกว่าครับ” ซูเย่พูดออกมา “ผมมีข้อเสนอ”

“ข้อเสนออะไร?” พิธีกรถามออกมาทันที

ทันใดนั้น สายตาของทุกคนหันมาจ้องมองที่ซูเย่

“การแข่งขันในรอบนี้มีขึ้นเพื่อวัดความรู้เกี่ยวกับการจดจำรายชื่อสมุนไพรใช่ไหมครับ?”

“ถ้างั้นก็ให้คนอื่นๆ แข่งกันไปตามปกติ ส่วนของผม ผมจะให้ผู้เข้าแข่งขันทุกคนบอกชื่อสมุนไพรมาคนละ 20 ชนิด แล้วผมก็จะวาดพวกมันออกมาเป็นคำตอบ!”

“นี่ก็จะถือเป็นการพิสูจน์ความสามารถของผมเหมือนกัน!”

ซูเย่พูดเสียงเรียบ

เขาเพิ่งจะพูดจบเท่านั้น

ทุกคนก็ถึงกับตกตะลึง

ว่าไงนะ?

จะตอบคำถามด้วยการวาดรูป?

แถมเป็นการวาดรูปสมุนไพรจีน?

ผู้เข้าแข่งขันทุกคนต้องตะลึงไปกับคำพูดของซูเย่จริงๆ

พวกเขาอาจจะไม่เก่งเรื่องการจดจำสมุนไพรเท่าซูเย่ก็จริง แต่นี่ซูเย่คิดจะวาดสมุนไพรขึ้นมาจากคำตอบของพวกเขาเนี่ยนะ?

หมอนี่คิดว่าการวาดสมุนไพรจีนสามารถทำได้ง่ายๆ หรือไง ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดกิ่งก้านใบหรือรากไม้ที่มีลักษณะเฉพาะตัว ต่างก็จำเป็นต้องใช้ทักษะการวาดรูปขั้นสูงทั้งนั้น

แล้วซูเย่จะเอาอะไรมาวาด?

นี่ตั้งใจล้อกันเล่นใช่ไหม?

“หมอนี่บ้าไปแล้ว!” ลวี่อวิ๋นเผิงสูดหายใจลึกๆ พร้อมกับมองซูเย่ด้วยความเหลือเชื่อ

“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าเขาบ้าหรือเปล่า แต่รับรองได้เลยว่าเขากล้าทำทุกอย่างตามที่พูดแน่!”

ลู่จวิ้นยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น

ส่วนคนอื่นๆ กำลังจ้องมองซูเย่ด้วยความมึนงง

ที่ด้านหน้าสุดของกลุ่มผู้เข้าแข่งขัน

หวังจี้เชาผู้คัดค้านการแข่งขันในขณะนี้มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปแล้ว

เขาไม่คิดเลยว่าซูเย่จะมีข้อเสนอโง่ๆ เช่นนี้ออกมา

ทำให้ในตอนนี้…

หวังจี้เชาไม่รู้ว่าตนเองควรทำอย่างไรดี!

“คุณคิดว่ายังไง?”

จ้าวเหมียนถามความคิดเห็นจากพิธีกร

ทุกคนต่างนิ่งเงียบเพราะรู้สึกว่าตนเองกำลังโดนดูถูก

ซูเย่กล้าเสนอออกมาเช่นนี้ ก็หมายความว่าเขาต้องมีความมั่นใจ

แต่จะให้ทุกคนบอกชื่อสมุนไพรมา 20 ชนิด ผู้เข้าแข่งขันมี 49 คน ก็เท่ากับซูเย่ต้องวาดสมุนไพร 980 ชนิด

แล้วเขาจะไปวาดไหวได้อย่างไร?

ต้องใช้เวลานานขนาดไหนในการวาดให้เสร็จ?

เมื่อเห็นบรรยากาศตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ซูเย่ก็พูดออกมาว่า “เลิกเสียเวลากันได้แล้วครับ มาแข่งกันต่อเลยดีกว่า”

ถ้ามัวแต่เสียเวลากันอยู่อย่างนี้ ซูเย่ก็รู้สึกว่าตนเองสมควรเอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า!

“ผมว่าเอาตามที่เขาว่าก็ได้ครับ” หวังจี้เชาส่งเสียงพูดขึ้นมา “ถึงมันอาจจะสร้างความลำบากให้นายอยู่สักหน่อย แต่ในเมื่อนายกล้าพูดออกมาเอง พวกเราก็จะเชื่อนายแล้วกัน”

“ส่วนผมยังไงก็ได้ครับ”

“หมอนี่เพิ่งจะเรียนแพทย์แผนจีนได้ครึ่งปีเองไม่ใช่เหรอ”

“ฉันว่าเขาก็น่าจะทำได้นะ ขนาดฉันยังวาดรูปสมุนไพรได้เป็นพันชนิดเลย”

“แต่พวกเราก็จะไม่เอาเปรียบนายเหมือนกัน ผู้เข้าแข่งขันมี 49 คน ให้ทุกคนบอกชื่อสมุนไพรมาแค่คนละ 10 ชนิดก็พอแล้ว นายคิดว่าไง?”

ทุกคนพยักหน้า

พวกเขารู้สึกว่าการบอกชื่อสมุนไพรคนละ 20 ชนิดออกจะเป็นการเอาเปรียบซูเย่ไปหน่อย

ลดลงมาเหลือแค่คนละ 10 ชนิด น่าจะทำให้ซูเย่สบายขึ้นบ้าง

แต่ทุกคนก็ยังรู้สึกว่าตนเองเอาเปรียบซูเย่อยู่ดี

“ไม่มีปัญหาครับ”

ซูเย่ตอบกลับไป

เมื่อทีมงานได้ข้อสรุปว่าคงไม่มีวิธีไหนดีไปมากกว่านี้แล้ว พวกเขาก็มีแต่ต้องทำตามข้อเสนอของซูเย่เท่านั้น

ภารกิจพิสูจน์ความรู้ของซูเย่เริ่มขึ้น

เมื่อทางทีมงานเตรียมกระดาษและปากกาให้ผู้เข้าแข่งขันทุกคนเรียบร้อยแล้ว กลุ่มผู้เข้าแข่งขันก็เขียนชื่อสมุนไพรลงบนกระดาษคนละสิบชนิด

ผู้เข้าแข่งขันมีอยู่ 49 คน จึงได้ออกมาเป็นรายชื่อสมุนไพร 490 ชนิด

เมื่อผู้เข้าแข่งขันทั้ง 49 คนตรวจสอบกระดาษคำตอบของตนเองแล้วว่าไม่มีชื่อสมุนไพรซ้ำกัน พิธีกรก็นำกระดาษทั้งหมดนั้นมาส่งมอบให้แก่ซูเย่

ซูเย่เองก็ขอกระดาษกับปากกาจากทีมงานเช่นกัน “ผมก็ถือเป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันเหมือนกันนะครับ เดี๋ยวผมจะเพิ่มชื่อสมุนไพรของผมลงไปอีกสิบชนิดจะได้รวมเป็น 500 ชนิดพอดี”

เมื่อได้ยินดังนั้น

ทุกคนที่อยู่ในการแข่งขันก็พูดอะไรไม่ออก

ขณะนี้ พวกเขาไม่รู้อีกแล้วว่าชายหนุ่มกำลังพยายามโอ้อวดความสามารถหรือกำลังหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเองกันแน่!

“เอาสิ!” พิธีกรพยักหน้าและจ้องมองซูเย่ด้วยความแปลกใจ “รอหน่อยนะ ทางทีมงานกำลังจัดเตรียมพื้นที่ให้คุณได้ใช้วาดรูป”

“เข้าไปวาดในรถผมก็ได้”

เสียงหนึ่งดังขึ้นมา

เป็นเสียงของผู้กำกับจ้าวเหมียน

ทุกคนเห็นเขาเดินลงมาจากรถตู้ที่ใช้สำหรับเก็บอุปกรณ์การถ่ายทำและเดินตรงมาหากลุ่มผู้เข้าแข่งขันพร้อมกับพูดว่า “ทีมงานติดกล้องวงจรปิดในรถแล้ว ให้ซูเย่เข้าไปนั่งวาดรูปอยู่ในนั้นได้เลย…”

“ขอบคุณครับ”

ซูเย่พยักหน้า

“แต่คุณจะวาดสมุนไพร 500 ชนิดนั้นในเวลาสามชั่วโมงได้จริงๆ เหรอ?”

ผู้กำกับเดินเข้ามาถาม

“ได้สิครับ”

ซูเย่พยักหน้า

เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น พวกเขาก็เริ่มคำนวณเวลาทันที

สามชั่วโมงมี 180 นาที

โดยเฉลี่ยแล้ว ซูเย่จะต้องวาดให้ได้สามถึงสี่ภาพต่อนาที

นี่คือความเร็วที่เป็นไปไม่ได้

ซูเย่รู้ตัวหรือเปล่านะว่าเสนออะไรออกมา?

“ดีมาก!”

“แจกข้อสอบได้!”

โดยไม่ปล่อยให้ทุกคนได้มีเวลาคิดสิ่งใดอีก พิธีกรก็ส่งสัญญาณให้ทีมงานแจกจ่ายกระดาษข้อสอบแก่ผู้เข้าแข่งขันทันที

หลังได้รับข้อสอบแล้ว

ทีมงานก็เดินนำผู้เข้าแข่งขันทั้ง 49 คนเข้าไปในเรือนกระจก

ส่วนซูเย่

ทีมงานเดินนำเขามายังรถของผู้กำกับจ้าวเหมียนและเริ่มต้นวาดรูปอย่างรวดเร็ว

ภายในห้องโดยสารของรถตู้

ชายหนุ่มนั่งหันหน้าเข้าหาขาตั้งวาดรูป

ซูเย่หยิบปากกาหมึกดำที่ทางทีมงานเตรียมเอาไว้ให้ออกมาเริ่มวาดรูปอย่างว่องไว

ขณะนี้ มีทีมงานของทางรายการคนหนึ่งคอยยืนอยู่ข้างตัวชายหนุ่ม และนำกระดาษรายชื่อสมุนไพรแปะลงไปบนกระดานไวท์บอร์ดทีละแผ่นเพื่อให้ซูเย่มองเห็นได้อย่างถนัดตา

รูปสมุนไพรที่เขาวาดออกมานี้ยึดตามลักษณะที่ปรากฏอยู่ใน[1]ตำราเปิ๋นเฉ่ากังมู่

ชายหนุ่มเชื่อว่าสำหรับคนที่เข้าใจจะสามารถดูออกได้ในทันทีที่มองเห็น

ในตอนแรก

ซูเย่มีความเร็วอย่างน่ามหัศจรรย์

เมื่อสมาธิของเขาจดจ่ออยู่กับการวาดรูป ความเร็วก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม เพียงซูเย่ตวัดมือไม่กี่ครั้ง ก็ได้รูปสมุนไพรออกมาหนึ่งชนิดแล้ว

[1] ตำราทางการแพทย์เล่มสำคัญในประวัติศาสตร์จีนยุคราชวงศ์หมิง