ภาคที่ 2 การแข่งขันแพทย์แผนจีน บทที่ 22 วาดด้วยสองมือ

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 22 วาดด้วยสองมือ

ในห้องรับแขกของตึกหลังใหญ่

“นี่มันอะไรกัน? ปกติหลบหน้าหลบตาไม่อยากเจอฉัน แต่พอรู้ข่าวว่าซูเย่อยู่ที่นี่ คุณก็รีบมาทันที ไม่กลัวว่าจะต้องเจอฉันอีกแล้วหรือไง?”

ฮั่วชือฉิงมองหน้าหลี่เคอหมิงซึ่งรีบยิ้มตอบกลับไป…

“ผมเป็นคณบดีในมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง การแข่งขันครั้งนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญของมหาวิทยาลัย ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องมาดูอยู่แล้ว” ปรากฏความเขินอายอยู่ในแววตาของหลี่เคอหมิงระหว่างที่เขาพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง

“หึหึ” ฮั่วชือฉิงหัวเราะในลำคอ “ฉันมีข่าวเกี่ยวกับซูเย่จะมาบอก”

“ข่าวอะไร?”

หลี่เคอหมิงรีบถามด้วยความอยากรู้

“เดิมที การแข่งขันรอบต่อไปจะให้ทุกคนเข้าไปตอบชื่อสมุนไพรในเรือนกระจก” ฮั่วชือฉิงอธิบาย “แต่ลูกศิษย์ของคุณเคยมาที่นี่แล้ว และเขาก็จำสมุนไพรในเรือนกระจกได้ทั้งหมด ถ้ายึดตามกติกานี้ เขาก็จะต้องเป็นที่หนึ่งแน่นอน แต่ซูเย่กลับรู้สึกว่านี่ไม่ยุติธรรมต่อคนอื่นมากเกินไป เขาจึงเปลี่ยนวิธีแข่งขันใหม่สำหรับตัวเองโดยเฉพาะ”

“เขาใช้วิธีไหน?”

“เขาจะวาดรูปสมุนไพรจีน 500 ชนิด”

“ว่าไงนะ?!”

หลี่เคอหมิงอุทานด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป

“ตกใจละสิ” ฮั่วชือฉิงยิ้มออกมา “ฉันเองก็ตกใจเหมือนกัน แต่เด็กคนนี้มีความจริงใจมากนะ ถ้าเขาไม่บอกมาคนอื่นก็ไม่รู้หรอก ทีนี้พวกเราก็ได้รู้กันแล้วว่านอกจากจะเป็นคนจริงใจแล้ว ซูเย่ยังเป็นคนโง่อีกด้วย”

“ตัวคุณเองก็อยู่ในวงการแพทย์แผนจีน” ริมฝีปากของหลี่เคอหมิงบิดตัวเป็นรอยยิ้ม “ในวงการของเราเกลียดชังผู้ที่คดโกงคนอื่นมากที่สุด แม้ว่านี่จะไม่ใช่การโกงก็ตาม แต่ในเมื่อการแข่งขันต้องมีความยุติธรรมสำหรับทุกคน การที่ซูเย่ทำเช่นนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว!”

แต่ถึงอย่างนั้น หลี่เคอหมิงก็ยังอดรู้สึกเป็นห่วงซูเย่ไม่ได้

“ฉันเป็นนักธุรกิจ จะไปรู้เรื่องในวงการของพวกคุณได้ยังไง” ฮั่วชือฉิงหัวเราะเยาะออกมาเล็กน้อย “ในเมื่อคุณต้องการความยุติธรรมมากถึงขนาดนี้ งั้นขอถามหน่อยเถอะว่าคุณอยากให้ทุกคนผ่านเข้ารอบด้วยกันทั้งหมด หรือคุณแค่ต้องการให้ซูเย่ผ่านเข้ารอบคนเดียวกันแน่?”

“ผมก็ย่อมต้องการให้ซูเย่ผ่านเข้ารอบคนเดียวน่ะสิ!”

หลี่เคอหมิงตอบน้ำเสียงหนักแน่น

ฮั่วชือฉิงพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

ขณะนี้

ผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วโมง

ซูเย่นั่งอยู่ในรถตู้ ใช้มือข้างเดียววาดรูป ตอนนี้เขาวาดออกมาได้ 100 รูปแล้ว

ชายหนุ่มสะบัดข้อมือ

คำนวณระดับความเร็วของตนเอง

แล้วหัวคิ้วของเขาก็ขมวดมุ่น

“ความเร็วระดับนี้ไม่น่าจะทัน”

“เราคงวาดเสร็จไม่ทันในสามชั่วโมงแน่”

“คงต้องเร่งความเร็วหน่อยแล้วสิ!”

ซูเย่สูดหายใจลึกและใช้มือซ้ายหยิบปากกาดำอีกแท่งหนึ่งขึ้นมาถือพร้อมกับมือขวา

หลังจากนั้น

เขาก็ใช้สองมือวาดรูปในเวลาเดียวกัน

ด้านนอกเรือนกระจก

ผู้กำกับจ้าวเหมียนที่กำลังดูสถานการณ์ในเรือนกระจกหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาถามว่า “สถานการณ์ของซูเย่เป็นยังไงบ้าง”

“ทำได้ดีเชียวครับ เขาวาดรูปไม่หยุดพักเลย”

เสียงจากอีกฝั่งหนึ่งของวิทยุสื่อสารดังตอบกลับมา

“ไม่เลวเลยนะ” จ้าวเหมียนพยักหน้า ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถือว่าชายหนุ่มทำได้ดี จากนั้นเขาถามต่อ “ตอนนี้วาดได้ถึงไหนแล้ว?”

“วาดได้ 100 รูปแล้วครับ”

หัวหน้าตากล้องผู้นั่งอยู่หน้าจอมอนิเตอร์ตอบคำถามด้วยสีหน้าตกตะลึง ก่อนที่จะเสริมอีกหนึ่งประโยคว่า “เขาวาดได้เร็วมาก แต่ว่า…”

“แต่ว่าอะไร?”

จ้าวเหมียนถามด้วยความสงสัย

“เขาใช้สองมือวาดในเวลาเดียวกัน!”

“ว่าไงนะ?!”

จ้าวเหมียนตกตะลึงและสงสัยว่าตนเองอาจจะหูฝาด

ใช้สองมือวาดรูปในเวลาเดียวกันเนี่ยนะ?

สมองไม่ตีกันหรือไง?

นี่ไม่ใช่การวาดรูปสี่เหลี่ยมด้วยมือซ้ายและวงกลมด้วยมือขวาสักหน่อย แต่นี่คือการวาดรูปสมุนไพรจีนที่มีความซับซ้อน และต้องทำให้ผู้คนดูออกด้วยว่าวาดอะไรออกมา

ภายใต้ข้อจำกัดเช่นนี้

ซูเย่จะสามารถใช้สองมือวาดรูปไปพร้อมกันได้อย่างไร?

ด้วยเหตุนี้ จ้าวเหมียนจึงรีบเดินจากเรือนกระจกไปยังที่จอดรถตู้เพื่อดูหน้าจอมอนิเตอร์ด้วยตาของตนเอง

เมื่อเห็นภาพบนหน้าจอ

เขาก็ต้องตกตะลึง

เพราะว่าซูเย่กำลังใช้สองมือวาดรูปอยู่จริงๆ!

และมันเป็นรูปที่สวยงามอีกต่างหาก!

สามารถมองเห็นได้ถึงกิ่งก้านใบและลักษณะที่แตกต่างของพืชสมุนไพรแต่ละชนิดอย่างชัดเจน

“นี่มันอะไรกันเนี่ย!”

จ้าวเหมียนถึงกับอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว…

“น่าทึ่งใช่ไหมล่ะครับ?” หัวหน้าตากล้องถามพร้อมกับยิ้มแหย “หมอนี่น่าเหลือเชื่อมากเลยครับ เขาทำเหมือนกับว่ารูปพวกนี้วาดออกมาได้ง่ายๆ งั้นแหละ!”

“นายจบจากสถาบันศิลปะใช่ไหม?” จ้าวเหมียนมองหัวหน้าตากล้องและรีบถามต่อ “งั้นช่วยบอกฉันหน่อยว่าฝีมือการวาดรูปของเขาเป็นยังไงบ้าง?”

“ลายเส้นสวยมากครับ” หัวหน้าตากล้องตอบทันที “เดาว่าเขาน่าจะมีพื้นฐานเรื่องการวาดภาพแลนด์สเคปพอสมควร แถมมีฝีมือดีมาก แต่เขาเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนไม่ใช่เหรอครับ ทำไมถึงวาดรูปเก่งขนาดนี้?”

“เจ้าเด็กนี่ทำให้ฉันประหลาดใจได้อยู่เรื่อย!” จ้าวเหมียนพูด “ฉันอยากรู้จริงๆ ว่ารายการของพวกเราจะเปิดเผยอะไรออกมาได้อีกบ้าง”

เมื่อคิดได้ดังนี้

ผู้กำกับจ้าวก็หยิบโทรศัพท์ออกมาตรวจดูบางอย่าง

ปรากฏว่ารายการที่ซูเย่ไปบันทึกเทปถ่ายทำเอาไว้นั้น มีกำหนดจะออกอากาศคืนวันเสาร์ที่จะถึงนี้ และนั่นก็หมายความว่ายังเหลือเวลาอีกสี่วัน

“เมื่อถึงตอนนั้น ชื่อของซูเย่จะต้องติดในรายชื่อคำค้นหายอดนิยมแน่!”

จ้าวเหมียนแอบคิดอยู่ในใจ

เขาทำงานเป็นผู้กำกับมาหลายปี รู้ดีว่าโอกาสที่รายการของตนเองจะได้เรตติ้งสูงเช่นนี้ไม่น่าจะมีมาอีกแล้ว

มิน่าล่ะ

พวกรายการวาไรตี้โชว์กับพวกรายการเกมตอบคำถามถึงชอบเอาพวกอัจฉริยะมาเป็นแขกรับเชิญ

ซูเย่ก็คือหนึ่งในคนประเภทนั้น

แต่สิ่งสำคัญก็คือซูเย่มีความน่าสนใจมากกว่าอัจฉริยะทั่วไปหลายเท่า!

การแข่งขันยังคงดำเนินต่อ

ในเรือนกระจก

ผู้คุมสอบหลายสิบคนที่ทางทีมงานจัดเตรียมเอาไว้เดินตรวจตรารอบบริเวณและคอยป้องกันไม่ให้ผู้เข้าแข่งขันแอบกระซิบกระซาบบอกคำตอบกันระหว่างที่อยู่ในเรือนกระจก

นอกจากนี้ ยังมีทีมงานตากล้องอีกหลายชีวิต

เรียกได้ว่าผู้เข้าแข่งขันถูกจับตามองทุกฝีก้าว

ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 49 คนไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา

พวกเขาเดินสำรวจในเรือนกระจกอย่างเงียบงัน และเขียนคำตอบใส่ลงไปในกระดาษข้อสอบเป็นระยะ

ขณะนี้ ผ่านไปสองชั่วโมงครึ่งแล้ว

ในขณะที่หลายคนเหงื่อตกเพราะเวลาใกล้หมด หวังจี้เชาจากมหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตูก็ยกมือขึ้นในอากาศ

ทันใดนั้น

ทุกคนหันมาจ้องมองเขาเป็นตาเดียว

หวังจี้เชายื่นส่งกระดาษข้อสอบของตนเองให้แก่ผู้คุมสอบที่อยู่ใกล้ที่สุดด้วยความมั่นใจ

“ผู้ที่ทำข้อสอบเสร็จเป็นคนแรกในเรือนกระจก คือนักศึกษาหวังจี้เชาจากมหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตู”

ด้านนอกเรือนกระจก

พิธีกรพูดกับกล้อง

หลังจากส่งข้อสอบเสร็จเรียบร้อย หวังจี้เชาก็เดินตรงไปที่ประตูพร้อมกับมีรอยยิ้มมั่นใจอยู่บนใบหน้า

ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ มองแผ่นหลังของหวังจี้เชาด้วยความประหลาดใจ

“เร็วจัง!”

“สมแล้วที่มาจากมหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตู!”

หวังจี้เชาเดินออกมาจากเรือนกระจกด้วยความมั่นใจ

ปรากฏว่า

เพิ่งเปิดประตูออกมาเท่านั้น

เขาก็เจอซูเย่กำลังนั่งดื่มน้ำแร่อย่างสบายอารมณ์อยู่ด้านนอก

“หมอนี่ก็ทำเสร็จแล้วเหมือนกันเหรอเนี่ย?”

หวังจี้เชาถึงกับชะงักกึก

เขาหันไปมองทางรถตู้ของผู้กำกับและพบว่ามีทีมงานและผู้คุมสอบจำนวนมากกำลังชุลมุนวุ่นวายกับการถ่ายรูปภาพวาดสมุนไพรจีนจากฝีมือของซูเย่ทั้ง 500 รูปนั้น

สมุนไพรแต่ละรูปมีชื่อเขียนกำกับเอาไว้

ขณะนี้การตรวจสอบดำเนินมาได้ครึ่งทางแล้ว!

กลุ่มผู้กำกับถ่ายภาพรูปวาดเหล่านั้นส่งไปให้อาจารย์จากมหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตูดู เพื่อให้คณะอาจารย์ช่วยตรวจสอบว่าซูเย่สามารถวาดออกมาได้ถูกต้องหรือไม่

“วาดเร็วขนาดนี้ได้ยังไง?”

หวังจี้เชาขมวดคิ้วนิ่วหน้า

เมื่อสักครู่ ชายหนุ่มยังรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้สูงส่ง มาตอนนี้เขากลับรู้สึกหนาวยะเยือกไปทั้งตัว

“หมอนั่นรู้หรือเปล่านะว่าวาดอะไรออกมาบ้าง?”

หวังจี้เชาหัวเราะในลำคอเหยียดหยามก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น

ไม่ไกลออกมาบนชั้นสาม

ที่ระเบียง ฮั่วเสี่ยวเหอกำลังใช้กล้องส่องทางไกลแอบมองภาพวาดของซูเย่ เมื่อเห็นอย่างถนัดตาแล้ว เธอก็รีบวิ่งลงบันไดมาอย่างตื่นเต้น

“หนูเห็นแล้ว หนูเห็นแล้ว” ฮั่วเสี่ยวเหอวิ่งเข้ามาแจ้งต่อหลี่เคอหมิงกับฮั่วชือฉิงในห้องรับแขกด้วยความกระตือรือร้น “ซูเย่วาดเสร็จแล้วค่ะ”

“ถ้างั้นคงต้องออกไปดูสักหน่อยแล้วละ”

เมื่อได้ยินดังนั้น

หลี่เคอหมิงก็ลุกขึ้นรีบออกจากห้องรับแขกและไปหาซูเย่ที่นั่งพักอยู่โดยทันที

เขาดึงชายหนุ่มออกมา

“อ้าว?”

ซูเย่คิดไม่ถึงว่าหลี่เคอหมิงจะมาที่นี่ด้วย

หลี่เคอหมิงลากชายหนุ่มมาที่ด้านข้าง

ก่อนกระซิบว่า “เธอเล่นใหญ่เกินไปแล้วนะ”

“แต่ผมไม่มีทางเลือกนี่ครับ” ซูเย่ทราบว่าอีกฝ่ายกำลังหมายถึงเรื่องการวาดรูปของเขา จึงได้แต่ยิ้มและอธิบาย “พอฮั่วเสี่ยวเหอออกมาพูดแบบนั้น ผมก็มีแต่ต้องทำแบบนี้”

“เรื่องที่ผมเคยมาที่นี่ อีกไม่นานเดี๋ยวทางทีมงานก็คงต้องรู้แน่ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาตัดสิทธิ์ผมจากการแข่งขันในอนาคต ผมก็มีแต่ต้องทำแบบนี้เท่านั้น ไม่งั้นมันอาจจะเป็นปัญหากับผมในภายหลังเองได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือถ้าผมไม่บอกความจริง นั่นก็หมายความว่าผมกำลังเอาเปรียบทุกคนอยู่”

“ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะนะ แต่นายมีความชำนาญเรื่องการวาดรูปมากหรือไง?”

หลี่เคอหมิงถาม

“เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบดีกว่าครับ”

ซูเย่ยิ้มตอบกลับมา

หลี่เคอหมิงได้ยินดังนั้นก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง

เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ

ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่น่ามีปัญหาแล้วละมั้ง!

“ขอให้โชคดีนะ”

หลี่เคอหมิงผงกศีรษะและมีสีหน้าที่ผ่อนคลายมากขึ้นแล้ว

ทันใดนั้น

เวลาในการแข่งขันสามชั่วโมงก็จบลง!

“การแข่งขันจบแล้ว” เมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากทางทีมงาน หลี่เคอหมิงก็บอกต่อซูเย่ว่า “เดี๋ยวฉันกลับมา”

พูดจบ อาจารย์หนุ่มใหญ่ก็เดินออกไปจากสถานที่แข่งขัน

พิธีกรเรียกซูเย่และผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ให้มารวมตัวกัน

ดวงตาทุกคู่จ้องมองมาที่ซูเย่เป็นตาเดียว

ทุกคนล้วนอยากรู้ว่าการวาดรูปของเขาเป็นอย่างไรบ้าง

“ผมขอประกาศอย่างเป็นทางการว่าการแข่งขันตอบชื่อสมุนไพรจบลงแล้ว” จ้าวเหมียนประกาศต่อกลุ่มผู้เข้าแข่งขันและกล่าวต่อ “วันนี้พวกคุณต้องพักค้างคืนที่นี่หนึ่งคืน แต่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน เราจึงไม่อนุญาตให้ใครออกไปไหนทั้งสิ้น และพวกเราจะเดินทางกลับปักกิ่งวันพรุ่งนี้”

ได้ยินดังนั้น

ประสาทที่ตึงเครียดของผู้เข้าแข่งขันแทบทุกคนก็ผ่อนคลายลง แต่หลายคนก็มีสีหน้าที่แตกต่างกันไป บางคนตื่นเต้น บางคนหมดหวัง

“ทุกคนไปขึ้นรถได้”

นี่คือคำสั่งจากผู้กำกับ

ผู้เข้าแข่งขันจึงเดินเรียงแถวตรงไปที่รถบัส

รถบัสนำพาทุกคนไปเข้าพักที่โรงแรมห้าดาว

วันต่อมา หลังรับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย ทุกคนก็ขึ้นรถบัสอีกครั้ง และเดินทางกลับสู่เมืองปักกิ่ง เพื่อรอคอยการประกาศผลการแข่งขัน

ปรากฏว่าเมื่อรถบัสแล่นออกมาจากโรงแรมแล้ว มันกลับมุ่งหน้าเข้าสู่เส้นทางของตลาดขายสมุนไพรจีน

ไม่นานต่อมา รถบัสก็หยุดวิ่ง

“เอาละ” พิธีกรลุกขึ้นยิ้มกว้างและแจ้งต่อผู้เข้าแข่งขันทุกคนว่า “พวกคุณลงจากรถไปได้แล้ว”

กลุ่มผู้เข้าแข่งขันขมวดคิ้วด้วยความฉงน

พวกเขาเพิ่งจะออกจากโรงแรมมาได้เพียง 20 นาที ทำไมถึงให้ลงจากรถแล้วล่ะ? นี่พวกเขามาถึงปักกิ่งแล้วหรือ?

ทุกคนเดินลงจากรถบัสมาพร้อมกับความสงสัย และหลังจากนั้น พวกเขาก็พบว่าตนเองมาอยู่ที่สนามฟุตบอลแห่งหนึ่ง

มันเป็นสนามฟุตบอลที่มีโต๊ะตัวยาวตั้งเรียงแถวกันราวกับเป็นมังกรตัวหนึ่ง!

บนโต๊ะเหล่านั้นมีกองสมุนไพรวางไว้มากมายหลายชนิด

เมื่อเห็นเช่นนี้ ทุกคนก็ยิ่งงงหนักมากกว่าเดิม

จะให้ทำอะไรอีกนะ?

กลุ่มผู้เข้าแข่งขันหันไปมองทีมงานด้วยความไม่เข้าใจ

ทันใดนั้น

ผู้กำกับจ้าวเหมียนเดินเข้ามา

“ขอบคุณมากนะทุกคน” เพียงประโยคเดียวก็ดึงดูดความสนใจจากทุกคนได้สำเร็จ จ้าวเหมียนพูดต่อไปพร้อมกับยิ้มกว้าง “อันที่จริง การแข่งขันในรอบที่สองนี้จะแบ่งออกเป็นสองส่วน เมื่อวานนี้เป็นการแข่งขันในส่วนแรก เรื่องที่บอกว่าจะพาทุกคนกลับสู่เมืองปักกิ่งนั้นจึงไม่เป็นความจริง เพราะการแข่งขันยังไม่จบ แต่ที่ต้องโกหกทุกคนก็เพื่อป้องกันไม่ให้มีการแอบเตรียมข้อมูลเอาไว้ล่วงหน้าสำหรับการแข่งในวันนี้”

กลุ่มผู้เข้าแข่งขันรับฟัง

พูดอะไรไม่ออก

ได้แต่สบถคำหยาบอยู่ในใจ!

นอกจากใช้ให้พวกเขามาถ่ายรายการแล้ว ยังมาโกหกพวกเขาอีกงั้นหรือ?

นี่ทางทีมงานเห็นผู้เข้าแข่งขันเป็นตัวอะไร?

จ้าวเหมียนยิ้มแย้มและเดินเข้ามาพยักหน้าส่งสัญญาณบอกกับพิธีกร

“ทุกคนฟังให้ดี” พิธีกรเดินออกมาข้างหน้าและพูดว่า “จากนี้ไปจะเป็นการประกาศกฎกติกาในการแข่งขันส่วนที่สอง โปรดตั้งใจฟัง”

ได้ยินดังนั้น

ทุกคนก็ตั้งใจฟังสิ่งที่พิธีกรกำลังจะพูดทันที