ตอนที่ 192 อาหารมื้อใหญ่

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

จื่อโยวไม่ใช่มนุษย์รึ ? มู่เฉียนซีตกใจเล็กน้อย

ในตอนแรกจิ่วเยี่ยก็บอกนางแล้วว่าจื่อโยวไม่ใช่มนุษย์ เวลานั้นนางคิดว่าจิ่วเยี่ยเพียงแค่พูดจาส่งเดชไปก็เท่านั้น แต่ว่า… ท่านอาของนางก็พูดเช่นนี้ด้วยอีกคน

เขาไม่ใช่มนุษย์ ? แล้วเป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาเป็นเทพที่แปลงร่างมาเป็นมนุษย์ ?

“ซีเอ๋อร์ ต่อไปอยู่ห่าง ๆ เขาเอาไว้หน่อยก็จะดี”

จะใช่มนุษย์หรือไม่นั้นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าบุรุษผู้นี้รูปงาม มีเสน่ห์เกินไป และเขาเกิดมาเพื่อทำร้ายใจของสตรีใต้หล้านี้ต่างหาก  ให้ซีเอ๋อร์อยู่ห่างเขาไว้จะเป็นการดี เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา ผู้เป็นอาอย่างเขา อดไม่ได้กลัวว่าบุรุษรูปงามนั่นจะลักพาตัวซีเอ๋อร์หลานรักไป

ทุกวันนี้ตระกูลมู่มีบุรุษเพียงคนเดียวนั่นก็คือมู่อวู่ซวง เพื่อไม่ให้เจ้าหญิงตัวน้อยเพียงคนเดียวของตระกูลถูกบุรุษลักพาตัวไป เขาจึงต้องระวังในทุกอย่างเพื่อความปลอดภัยของหลานสาวเพียงคนเดียว

งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้น และในขณะที่ทุกคนกำลังจะเริ่มลิ้มรสอาหารในงานเลี้ยงนี้ก็ต้องตกใจจนตะเกียบแทบหล่น  อาหารในมื้อนี้นั้นทำให้แขกผู้มาร่วมตื่นตะลึงไปทั่วทั้งแคว้น

เหล้าที่ยกมาล้วนแต่เป็นเหล้าวิญญาณที่ปรุงมาจากสมุนไพรวิญญาณหลายร้อยชนิด แค่เพียงหยดเดียวก็มีค่ามากล้นเหลือคณานับ

พวกเขาจิบไปเพียงอึกเดียวก็รู้สึกได้ทันทีว่าร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา อีกทั้งอาหารหลากหลายที่ยกมา ก็ทำมาจากสมุนไพรวิญญาณนับไม่ถ้วน เนื้อสัตว์ก็เป็นสัตว์วิญญาณระดับเจ็ดอย่างดี

อาหารที่ดูสุรุ่ยสุร่ายมากมายเช่นนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกปวดใจในขณะตักกิน พวกเขาจะต้องกินอาหารเหล่านี้ให้เพียงพอหลังจากที่ขาดแคลนมาเป็นเวลานาน

ตระกูลมู่ช่างเป็นตระกูลร่ำรวยอันทำให้ผู้คนอิจฉาริษยาอย่างแท้จริง!

ขณะที่พวกเขากำลังสองจิตสองใจกันอยู่นั้น จวินโม่ซีผู้เห็นแก่กินเริ่มลงมือคีบเนื้อสัตว์วิญญาณและอาหารอันโอชะเหล่านั้นเข้าปากอย่างไม่เกรงใจผู้ใดแล้ว ของดี ๆ รสชาติถูกปากเช่นนี้ เขาจวินโม่ซีจะพลาดได้อย่างไรกัน ?

จวินโม่ซีกล่าวกับชิงอิ่ง “เจ้าท่อนไม้ คนอย่างเจ้ากินแต่หยูกแต่ยาวิญญาณ ไม่รู้จักกินอาหารอันโอชะเหล่านี้ ข้าสิ้นหวังกับเจ้าจริง ๆ”

ชิงอิ่งเพียงมองดู ไม่ได้กล่าวตอบอะไร

เมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดลง แขกเหรื่อทยอยกันกลับไป งานเลี้ยงเฉลิมฉลองวันเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของมู่เฉียนซีเป็นอันจบลง

ในเมื่อวันนี้นางกำจัดผู้เฒ่าเหล่านั้นไปแล้ว มู่เฉียนซีเริ่มคัดเลือกคนมารับช่วงต่อ นางกล่าวถามขึ้นว่า “ท่านผู้เฒ่าเก้า ท่านคิดว่าใครกันที่เหมาะสมจะมารับช่วงต่อให้กับตระกูลมู่เรา ?”

ท่านอาเล็กของนางเคยบอกว่าผู้เฒ่าเก้าเป็นหมากม้ามืดที่ท่านพ่อทิ้งเอาไว้ ท่านพ่อของนางเป็นผู้ฉลาดหลักแหลมทันคน เขาคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าวันหนึ่งเหล่าบรรดาผู้อาวุโสในตระกูลต้องหักหลังเป็นแน่

ผู้เฒ่าเก้ากล่าวว่า “ท่านผู้นำ พวกพี่ใหญ่ก่อเรื่องใหญ่โตเอาไว้ถึงเพียงนั้น ท่านผู้นำไม่คิดบ้างรึว่าตาเฒ่าอย่างข้าจะมีเจตนาไม่ดี”

มู่เฉียนซี “ใช้คนอย่าระแวง หากระแวงก็ไม่ต้องใช้ ถึงอย่างไรแล้วข้าก็เชื่อสายตาของท่านพ่อ”

ผู้เฒ่าเก้า “ท่านผู้นำตระกูล นี่คือรายชื่อของผู้ที่เชื่อใจได้ในตระกูลมู่ ท่านลองดูรายชื่อเหล่านี้สักหน่อยเถอะ”

“ได้”

เมื่อกวาดสายตาดูรายชื่อทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว มู่เฉียนซีมีคำสั่งให้องครักษ์เงาไปกำจัดคนที่คิดไม่ซื่อเหล่านั้นทันที

หลังจากที่จัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้น ท้องนภาก็ค่อย ๆ มืดลง นางยืดเส้นยืดสาย วันนี้เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ในที่สุดนางก็กลับไปพักผ่อนได้เสียที

ขณะที่มู่เฉียนซีกลับไปยังเรือนสุ่ยซี ทันใดนั้นมู่อีปรากฏตัวขึ้น “ท่านผู้นำตระกูล”

มู่เฉียนซีผงะไปครู่หนึ่ง ถามขึ้นว่า “มู่อี เจ้ามีอะไร ?”

มู่อีกล่าวอย่างจนปัญญา “ข้าก็บอกไม่ถูก ท่านผู้นำไปดูเถอะขอรับ แล้วจะรู้เอง”

ในขณะที่มู่เฉียนซีมุ่งหน้าไปที่ห้อง ทันใดนั้นประตูห้องนางเปิดขึ้น!

— ปัง! —

ร่างบุรุษชุดขาวถูกโยนออกมาจากภายในห้อง มู่เฉียนซีตกใจเล็กน้อย นางอุทาน “องค์รัชทายาท!”

ใบหน้าซวนหยวนหลี่ซางเวลานี้ตื่นตระหนกราวกับเห็นผีสาง เขาร้องตะโกนด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน “ท่านผู้นำตระกูล ช่วยข้าด้วย! ช่วยด้วย!”

ทันใดนั้นร่างที่น่าเกรงกลัวปรากฏขึ้น จิ่วเยี่ยนั่นเอง

มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “องค์รัชทายาท ท่านไปอยู่ในห้องข้าได้อย่างไรกันล่ะ ?”

ซวนหยวนหลี่ซางตอบ “ข้ามาตามคำสั่งของเสด็จแม่ ตั้งใจจะมาชี้แนะเจ้าเกี่ยวกับเรื่องการวางตัวเป็นผู้ใหญ่ แต่…”

ซวนหยวนหลี่ซางรู้สึกอยากตายอย่างมากในเวลานี้ กว่าเขาจะหลบหลีกเหล่าองครักษ์เงาของตระกูลมู่ และลอบเข้ามาในห้องนางได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผู้ใดจะไปคาดคิดว่าเปิดประตูเข้ามาแล้วจะเจอปีศาจร้ายจิ่วเยี่ยนั่งอยู่ข้างใน

ในเวลานั้นเลือดของเขาแทบจะแข็งตัว

แวบแรกเขากลัวมาก ยืนแข็งทื่อทว่าซวนหยวนจิ่วเยี่ยกลับนั่งอยู่เฉย ๆ ไม่ได้สนใจอะไรเขาแม้แต่น้อย หากแต่เขาก็ยังขาแข็งยืนอยู่ภายในห้องด้วยความหวาดกลัวและรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง ท้ายที่สุดเมื่อมู่เฉียนซีกลับมา ซวนหยวนจิ่วเยี่ยถึงลุกขึ้นถีบเขาออกมาเช่นนี้

มู่เฉียนซีหมดคำพูดกับสองคนอย่างฮ่องเต้และฮองเฮาแล้วจริง ๆ ฮ่องเต้ยอมขายโอรสของตัวเองเพื่อเงิน ช่างไร้ยางอาย!  ส่วนฮองเฮาก็ไม่ทราบว่ามีจุดประสงค์อันใดจึงได้ส่งโอรสของตนเองมาให้นางเช่นนี้

สองกษัตริย์คู่นี้ สมกับเป็นคู่สร้างคู่สมดีแท้

มู่เฉียนซี “องค์รัชทายาทแน่ใจหรือไม่ว่าจะอยู่ต่อ ?”

ซวนหยวนหลี่ซางรับรู้ได้ถึงสายตาเย็นยะเยือกจากข้างหลังนั้น เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน “เอ่อ… ช่างมันเถอะ ข้า…”

หากซวนหยวนจิ่วเยี่ยอยู่ ต่อให้เขามีความกล้ามากเพียงใด เขาก็ไม่กล้าอยู่ต่อ ใครกล้าอยู่ต่อก็เป็นคนโง่เง่าแล้ว!

มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าฝากขอบพระทัยฮองเฮา และฝากบอกว่าข้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว ข้าไม่ชอบใช้บุรุษซ้ำกับหญิงคนอื่น ต่อไปห้ามทำเช่นนี้อีก ไม่เช่นนั้นข้าจะส่งไปอยู่อีกโลกโดยไม่เกรงใจใครหน้าไหนทั้งนั้น”

ดวงตาดำขลับคู่นั้นเต็มไปด้วยจิตสังหาร ซวนหยวนหลี่ซางถึงกับหวาดกลัวจนตัวสั่น เขารีบกล่าว “ผู้นำตระกูลมู่ เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะกลับไปบอกเสด็จแม่ให้ตรงตามที่เจ้าบอกทุกประการ”

มู่เฉียนซี “มู่อีส่งแขก”

“ขอรับ”

หลังจากที่มู่อีไปส่งซวนหยวนหลี่ซาง มู่เฉียนซีหันมาหาจิ่วเยี่ย “จิ่วเยี่ย เจ้ามาแล้ว”

มุมปากของจิ่วเยี่ยโค้งเล็กน้อย “ซี ขอให้เจ้ามีความสุขในวันเกิดของเจ้า”

มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว ‘เจ้าก้อนน้ำแข็งนี่รู้จักอวยพรวันเกิดด้วยรึ ?’

“จิ่วเยี่ย ขอบใจเจ้ามาก”

จิ่วเยี่ยมองว่าห้องของนางกลายเป็นห้องของตัวเขาเองไปแล้ว เขาเดินเข้าไปในห้องโดยมีมู่เฉียนซีตามเข้าไป นางรับรู้ได้ทันทีว่าเยี่ยอ๋องผู้นี้ไม่อยากกลับจวนตัวเองแล้ว

มู่เฉียนซีกล่าวว่า “จิ่วเยี่ย นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้า…”

จิ่วเยี่ยเดินไปตรงหน้ามู่เฉียนซี ทันใดนั้นเขายื่นมือออกมาถอดปิ่นปักผมของนาง เส้นผมของนางทั้งผืนหล่นลงมาเคลียไหล่

จิ่วเยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “อืม ดึกมากแล้ว ควรพักผ่อนได้”

“ปิ่นปักผมของข้า!” มู่เฉียนซีอุทาน  ปิ่นปักผมของนางถูกถอดออกมาแล้ว นางก็เพิ่งจะได้มองดูมันอย่างละเอียดก็ตอนนี้ บนปิ่นปักผมสีม่วงเข้มมีหงส์ที่แกะสลักเหมือนจริงมาก ที่หางของมันแกะสลักรูปแมนดาลาอย่างประณีต มันเสมือนเปล่งพลังอันน่าอัศจรรย์ใจออกมา

จิ่วเยี่ยกล่าว “ซี… ปิ่นปักผมนี้ เจ้ามอบให้ข้าได้หรือไม่ ?”

“จิ่วเยี่ย เจ้าเป็นบุรุษ จะเอาปิ่นปักผมนี้ไปทำไมหรือ ?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม

ปิ่นปักผมของนางนั้นมีมาก มอบให้เขาสักอันคงไม่เป็นอะไร  ทว่าปิ่นปักผมอันนี้เป็นปิ่นปักผมที่ท่านอาเพิ่งจะมอบให้ในงานเลี้ยงเมื่อครู่นี้เอง หากนางมอบต่อให้ผู้อื่นไป ไม่รู้ว่าท่านอาจะโกรธหรือไม่โกรธนาง

จิ่วเยี่ยค่อย ๆ กล่าวออกมาอย่างช้า ๆ “มันมีประโยชน์ต่อข้า”

มู่เฉียนซีกล่าวถาม “มีประโยชน์กับเจ้ามากหรือไม่ ?”

จิ่วเยี่ยไม่ได้แย่งอาถิงไป เขามอบแหวนมังกรเทพวารีให้นาง อีกทั้งยังมอบยาวิญญาณและของมีค่าอื่น ๆ อีกมากมาย หากปิ่นปักผมอันนี้มีประโยชน์ต่อเขามาก มอบให้เขาก็คงจะไม่เป็นไร

จิ่วเยี่ยพยักหน้าพลางกล่าว “มีประโยชน์ต่อข้ามาก”

มู่เฉียนซีมองไปที่ปิ่นปักผมนั้น นอกจากพลังที่น่าอัศจรรย์และความสวยงามประณีตแล้ว ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น  แล้วเหตุใดผู้มีสายตาอันกว้างไกลอย่างจิ่วเยี่ยถึงได้ต้องการของสิ่งนี้ ?

มู่เฉียนซีพยักหน้า กล่าวขึ้น “อืม ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าให้เจ้าได้ เอาไปเถอะ”

ส่วนท่านอาเล็ก เอาไว้ค่อยไปชี้แจงให้ท่านอาเข้าใจก็น่าจะไม่มีปัญหาอันใด

“ซี… มาเถอะ ข้าช่วยเปลี่ยนชุดให้” จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงแผ่ว

ในขณะที่จิ่วเยี่ยยื่นมือออกมานั้น มู่เฉียนซีรีบกล่าวขึ้นว่า “ช้าก่อนจิ่วเยี่ย เจ้าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชุดให้ข้าก็ได้  จะ… เจ้ารีบกลับเถอะ”

“จื่อโยวมอบของที่เจ้าชอบให้เจ้าแล้ว ส่วนข้าไม่มีอะไรดี ๆ จะให้เจ้าเลย  จื่อโยวบอกว่าเจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ข้าควรมอบอาหารมื้อใหญ่ให้เจ้า นั่นก็คือตัวข้า”

“…”

“ดังนั้นวันนี้ข้าจะนอนกับเจ้า”

.