ตอนที่ 885 เรียนรู้ความหมายของคำว่าเสียใจ

วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์

ในขณะที่จู้ซิงมีเดียมารับศิลปินของตัวเอง เครื่องบินส่วนตัวของโม่ถิงจอดอยู่ที่เมืองใกล้เคียง

 

 

ในฐานะนายใหญ่ของจู้ซิงมีเดีย ถังหนิงมั่นใจในความปลอดภัยของศิลปินของเธอและได้พบกับซย่าหันโม่และหลินเฉี่ยนในที่สุด

 

 

“พี่หนิง พวกเราสองคนไม่เป็นไรค่ะ หลินเฉี่ยนเพิ่งกินยาแล้วหลับไปเมื่อกี้นี้เอง ตอนนี้แฟนของเธอกำลังดูแลเธออยู่ค่ะ” ซย่าหันโม่เอ่ยพลางก้าวเข้ามาในห้องนั่งเล่นหลังจากอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย

 

 

ถังหนิงเอนตัวพิงโซฟาและพยักหน้ารับขณะมองไปทางซย่าหันโม่ “เห็นพวกเธอปลอดภัยแบบนี้ฉันก็โล่งใจแล้ว”

 

 

“คุณก็รู้ว่าคุณไม่จำเป็นต้องมาถึงที่นี่นะคะ” ซย่าหันโม่ท้วงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย จะว่าไปแล้วมีเจ้านายที่ไหนบินมาถึงเมืองเล็กๆ เพียงเพื่อจะมาดูหน้าศิลปินด้วยตัวเองกัน

 

 

“ถ้าฉันมั่นใจว่าพวกเธอสองคนไม่เป็นไรแล้วเดี๋ยวฉันก็ไปเองนั่นแหละ อีกอย่างนะ แฟนของหลินเฉี่ยนนี่มันอะไรกันล่ะ” นอกจากเฉวียนจื่อเยี่ย ถังหนิงไม่เคยได้ยินเรื่องของแฟนหนุ่ม คนนี้ มาก่อนเลย

 

 

ในจังหวะที่ซย่าหันโม่กำลังจะอธิบาย หลี่จิ่นก้าวออกมาจากห้องของหลินเฉี่ยน

 

 

รูปร่างของเขาสูงใหญ่พอๆ กับโม่ถิง แต่กลับให้ความรู้สึกมั่นคงและเด็ดเดี่ยวผิดกับรังสีน่ายำเกรงของโม่ถิง

 

 

ไม่ว่าโม่ถิงจะอยู่ที่ไหนเขาก็เป็นเหมือนดั่งราชา

 

 

ไม่เหมือนชายคนนี้…

 

 

“ทันทีที่หลินเฉี่ยนตื่น ผมจะพาเธอกลับบ้านเองครับ” หลี่จิ่นว่าขึ้นกับถังหนิง

 

 

“คุณ…” ถังหนิงงุนงง หลินเฉี่ยนไปรู้จักกับคนคลั่งรักขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหนกัน

 

 

“ผมชื่อหลี่จิ่นครับ” สิ้นประโยคแนะนำตัว หลี่จิ่นหันหลังกลับเข้าไปในห้อง เขาไม่อยากพูดคุยกับใคร ถึงอย่างไรเขาเองก็มีเวลาจำกัด

 

 

ถังหนิงมองหน้าซย่าหันโม่ และอีกฝ่ายทำเพียงยักไหล่ให้พลางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นบนเขาและเรื่องที่ทุกคนทิ้งหลินเฉี่ยนให้เธอฟัง

 

 

หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด แววตาของถังหนิงก็เปลี่ยนไปคล้ายกับแววตาของหลี่จิ่นก่อนหน้านี้

 

 

“เยี่ยมเลย…”

 

 

ซย่าหันโม่อดไม่ได้ที่จะขนลุกจากท่าทีของเธอจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “ประธานโม่อยู่ที่ไหนละคะ เขาไม่ได้มาที่นี่กับคุณเหรอ”

 

 

“เขากำลังทำงานในห้องน่ะ” ถังหนิงตอบก่อนจะเอ่ยเตือนเธอ “เก็บข้าวของ คืนนี้เราจะกลับปักกิ่งกัน”

 

 

เดิมทีข่าวน้ำหลากนั้นได้รับความสนใจมากอยู่แล้ว ทว่าเรื่องที่เหล่าคนดังเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยยิ่งทำให้ข่าวใหญ่โตขึ้นมาก ทั้งจู้ซิงมีเดียยังมารับศิลปินของตัวเองไปก่อนอีก ดังนั้นเมื่อพวกเขาลงจากเครื่องบินส่วนตัวกองทัพนักข่าวจะรุมล้อมพวกเขาในทันที

 

 

“ซย่าหันโม่ คุณอธิบายว่าพวกคุณเอาตัวรอดมาได้ยังไงได้ไหมคะ”

 

 

“ซย่าหันโม่…”

 

 

เมื่อโม่ถิงปรากฏตัวขึ้น ไม่มีนักข่าวคนไหนกล้าเข้ามาใกล้อีก ถังหนิงจึงตอบคำถามของทุกคนด้วยท่าทีเป็นกันเอง “ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงนะคะ แต่ซย่าหันโม่เพิ่งจะผ่านเรื่องความเป็นความตายมาและก็เหนื่อยล้ามาก ฉันหวังคุณจะปล่อยให้เธอกลับไปพักผ่อนที่บ้านก่อนนะคะ”

 

 

“ซย่าหันโม่ ผมได้ยินมาว่าระหว่างที่คุณและผู้จัดการหนีเอาตัวรอดกับทีมงาน คุณจงใจทิ้งทุกคนไว้ด้านหลังและหนีออกมาคนเดียว จริงหรือเปล่าครับ”

 

 

ทันทีที่นักข่าวถามคำถามนี้ ถังหนิงหันขวับไปมองเขาทันที

 

 

“ได้ยินมาจากไหนกันคะ”

 

 

นักข่าวนิ่งเงียบไปชั่วขณะ อึ้งกับท่าทีของถังหนิงไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบในเวลาถัดมา “ผมได้ข่าวนี้มาจากเพื่อนที่อยู่ในเขตภัยพิบัติน่ะครับ”

 

 

“เพื่อนของคุณบอกว่าอะไรคะ”

 

 

“เขาบอกว่าซย่าหันโม่กับหลินเฉี่ยนหนีออกมาด้วยความช่วยเหลือของทหารคนหนึ่ง แต่ไม่ได้กลับมาช่วยทุกคนที่เหลือครับ…”

 

 

“อย่างนั้นเพื่อนของคุณคงไม่ได้บอกว่าพวกเขาคงกลายเป็นศพไปแล้วถ้าซย่าหันโม่ไม่เสนอให้ออกจากบ้านพักมาตั้งแต่ทีแรกใช่ไหมคะ” ถังหนิงถามเสียงเรียบหากแต่จริงจัง

 

 

“และเพื่อนของคุณคงไม่ได้บอกเหมือนกันว่าซย่าหันโม่ช่วยทุกคนแก้ปัญหามาตลอดทาง และอาสาจะเดินรั้งท้ายเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนจะปลอดภัยใช่ไหมคะ…

 

 

…เพื่อนของคุณไม่รู้อะไรเลย ความจริงแล้วเขาไม่รู้ว่าผู้จัดการของซย่าหันโม่ไข้ขึ้นและสงสัยว่าจะติดเชื้อไวรัส ทำให้พวกเธอสองคนถูกทีมงานทอดทิ้งต่างหากค่ะ”

 

 

“นี่มัน….” นักข่าวพลันพูดไม่ออก เขาคิดถึงว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริง

 

 

“ผู้จัดการของเอเจนซี่ของฉัน หลินเฉี่ยน เธอยังคงไม่ได้สติ ถ้าพวกเขายังมีจิตสำนึกสักนิด อย่าใช้เหตุการณ์นี้มาสร้างกระแสดีกว่านะคะ ไม่อย่างนั้นจู้ซิงมีเดียจะสอนให้พวกเขาเรียนรู้ความหมายของคำว่าเสียใจเองค่ะ”

 

 

พูดจบ ถังหนิงหันไปมองหน้าซย่าหันโม่ จากนั้นจึงเอ่ยกับบรรดานักข่าว “ฉันพูดในสิ่งที่ควรพูดแล้ว กรุณาหลีกทางให้ด้วยค่ะ”

 

 

ทุกคนรู้ดีว่าไม่อาจต่อกรกับถังหนิงได้ พวกเขาจึงหลีกทางให้เธอและคนอื่นๆ ได้เดินออกไป

 

 

โม่ถิงเดินไปข้างหน้าพร้อมโอบภรรยาของเขาเอาไว้ ขณะที่เหลือบมองเพื่อจำชื่อนักข่าวคนนั้นเอาไว้

 

 

เป็นไปตามที่ที่โจวชิงคาดการณ์เอาไว้

 

 

ใครบางคนกลัวว่าจะถูกแฉว่าเป็นฝ่ายทอดทิ้งอีกฝ่ายก่อน พวกเขาจึงพยายามเริ่มเรื่องนี้ขึ้นก่อน…

 

 

ในเวลาเดียวกัน ภับพิบัติในครั้งนี้ยังดำเนินต่อไปและกระแสน้ำหลากเชี่ยวกว่าที่เคยมีมา

 

 

เพราะมันเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่ ผู้คนจากทั่วสารทิศจึงให้ความสนใจ หลังจากถังหนิงชี้แจงไปครั้งหนึ่งแล้ว เธอไม่ได้บอกให้ซย่าหันโม่ออกมาพูดอะไรอีก แต่กลับบอกให้เธอช่วยทางตำรวจช่วยเหลือคนอื่นโดยการช่วยเขาทำความเข้าใจสภาพภูมิประเทศ หลังจากนั้นจู้ซิงมีเดียได้ทำการบริจาคเงินจำนวนมากเพื่อเยียวยาผู้ประสบภัย

 

 

ด้วยการตัดสินใจของจู้ซิงมีเดีย ศิลปินคนอื่นๆ ไม่อาจพูดสิ่งใดได้เมื่อเขากลับมาถึงปักกิ่ง มีเพียงศิลปินคนเดียวที่พยายามออกมาแก้ตัว แต่สาธารณชนต่างตราหน้าว่าเขาออกมาสร้างกระแสในทันทีก่อนเจ้าตัวจะยอมแพ้ไปอย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

ในเวลาเดียวกัน หลินเฉี่ยนนอนหลับไปตลอดทั้งวันก่อนที่จะฟื้นขึ้นมา เมื่อลืมตาตื่นเธอพบว่าตัวเองอยู่ในบ้านของหลี่จิ่น

 

 

เธอจำเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้สักอย่างหลังจากที่ผล็อยหลับไป ดูเหมือนว่าอาการป่วยของเธอจะยังไม่หายดี

 

 

“ในที่สุดคุณก็ตื่นแล้ว” หลี่จิ่นเอ่ยขณะที่ผลักประตูเข้ามาพร้อมกับชามโจ๊กในมือ “กินสักหน่อยสิครับ ไม่อย่างนั้นคุณจะไม่มีแรงนะ”

 

 

“คนอื่นละคะ”

 

 

“พวกเขาไม่เป็นไรแล้วครับ” เขาตอบเสียงเบาก่อนส่งชามโจ๊กให้กับเธอ “คุณมีเจ้านายดีนะ”

 

 

“หมายความว่ายังไงคะ”

 

 

หลี่จิ่นเล่าเรื่องที่ถังหนิงต่อว่านักข่าวที่สนามบิน อันที่จริงจากที่ถังหนิงบินมาถึงเขตภัยพิบัติก็เห็นได้ชัดว่าเธอเอาใจใส่ลูกน้องด้วยใจจริงและไม่นิ่งนอนใจ

 

 

“ถ้าคุณหายดีขึ้นเมื่อไรเดี๋ยวคุณก็รู้เองครับ” เขาไม่อยากจะเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวงการบันเทิง เขาสนใจแค่ผู้หญิงของเขาเท่านั้น

 

 

หลินเฉี่ยนพยักหน้าและก้มหน้าทานโจ๊กไปไม่กี่คำ แต่เพราะว่ามันจืดเกินไปเธอจึงไม่ได้อยากอาหารมากนัก

 

 

“หลังจากคุณอาการดีขึ้น คุณควรมาฝึกที่ค่ายทหารบ้างนะครับ”

 

 

“หือ” หลินเฉี่ยนตกใจไปเล็กน้อย

 

 

“ไม่อย่างนั้นคุณจะเป็นภาระของศิลปินของคุณ”

 

 

หลินเฉี่ยนไม่อยากจะยอมรับสิ่งที่เขาพูด แม้ว่าจะเป็นความจริงก็ตาม แต่เขาต้องพูดตรงขนาดนี้เลยหรืออย่างไร

 

 

“ฉันไม่ไปหรอก”

 

 

“คุณเป็นครอบครัวของผม คุณต้องไปครับ” เขาเอ่ยอย่างคล้ายจะออกคำสั่ง

 

 

“ฉันไม่ชอบถูกบังคับนะคะ”