บทที่ 543 เปิดให้เข้ามา แต่ไม่ให้กลับออกไป + บทที่ 544 รอให้เปลวไฟลุกโชน

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 543 เปิดให้เข้ามา แต่ไม่ให้กลับออกไป

หลิงฮ่องเต้เขวี้ยงฎีกาที่อีกฝ่ายนำมากราบทูลใส่หน้าเขา ก่อนจะพูดด้วยโทสะ “ข้าดูเหมือนคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเช่นนั้นหรือ ต่อให้ข้ารู้แล้วจะให้ทำอย่างไรเล่า” เขาจะเหาะกระโจนเข้าไปจับตัวนางได้เช่นนั้นหรือ

‘เดี๋ยวก่อน เหาะหรือ’

“ส่งคนลอบเข้าไปในจวนของผู้สำเร็จราชการตอนกลางคืน แล้วจับเป็นหนิงเมิ่งเหยาหรือลูกชายของนางมา” ตราบใดที่หลิงฮ่องเต้มีตัวแม่หรือเด็กน้อยอยู่ในกำมือ เขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมประนีประนอมด้วย

“พ่ะย่ะค่ะ”

คืนนั้น จู่ๆ ชิงซวงก็ลืมตาขึ้นมาท่ามกลางความมืด พร้อมกับยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน คนพวกนั้นยังมีเวลามาจับตัวคุณหนูอีกหรือ ถ้าอย่างนั้น นางก็ยินดีต้อนรับ แต่อย่าได้คิดว่าจะได้ออกไปอีกเลย

ชิงซวงลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบๆ พร้อมกับถือขวดสีแดงที่ไม่มีอะไรเขียนกำกับขึ้นมา

เมื่อมีกลุ่มคนแอบลักลอบเข้ามาด้านใน ชิงซวงที่ยืนดักอยู่ตรงประตูทางเข้าก็รีบเปิดฝาขวดและโยนมันออกไป

เมื่อขวดนั้นตกกระแทกพื้น ผงโอสถที่สัมผัสกับอากาศก็เปลี่ยนเป็นควันสีแดงฟุ้งกระจายไปทั่ว

“ยาพิษ…” คนที่เดินนำมาพูดขึ้นก่อนจะล้มลงกับพื้น ส่วนคนที่ตามหลังมานั้นก็ล้มลงไปด้วยทันที โดยที่ไม่มีโอกาสได้พูดอะไร

หลังจากชิงซวงจัดการกับคนเหล่านั้นเสร็จ หนานกงหมิงก็นำกำลังคนตามเข้ามาติดๆ

หนานกงหมิงมองดูกลุ่มคนในชุดดำที่นอนอยู่ตรงพื้น แล้วริมฝีปากของเขาก็กระตุก ก่อนหน้านี้ เขารู้สึกได้ว่ามีกลุ่มคนกำลังลักลอบเข้ามาในจวน จึงรีบวิ่งมาจัดการ แต่ใครจะรู้ว่าพวกมันจะนอนกองที่พื้นเช่นนี้แล้ว

ขณะนั้นเอง หนานกงหมิงก็มองดูชิงซวงด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป เพราะไม่เคยคาดคิดว่าหญิงสาวตรงหน้าจะเก่งกาจเพียงนี้

ชิงซวงมองกลุ่มคนบนพื้น “ข้าเกรงว่าหลิงฮ่องเต้จะเป็นคนส่งตัวพวกมันมา เราควรจะส่งพวกมันกลับไปโดยเร็วที่สุด” ชิงซวงเตือนเขาด้วยน้ำเสียงปกติดี แต่ประกายในดวงตาของนางนั้นช่างดูชั่วร้ายยิ่งนัก

หนานกงหมิงเองก็ต้องการจะสั่งสอนหลิงฮ่องเต้เช่นกัน เขาจึงพยักหน้าเห็นด้วย “ตกลง”

ชิงซวงพึงพอใจ และหมุนตัวกลับเข้าห้อง ก่อนจะถือขวดสองสามใบออกมาและโยนให้หนานกงหมิง “ใส่โอสถเหล่านี้ในปากของพวกเขา หลังจากนั้น เจ้าก็ส่งตัวพวกมันกลับไปเสีย”

หนานกงหมิงมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย “มันคืออะไรหรือ”

“เจ้าอยากรู้จริงๆ หรือ” ชิงซวงมองหนานกงหมิงด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ ดูเหมือนว่านางรอให้เขาถามคำถามนี้อยู่แล้ว

มือของหนานกงหมิงหยุดชะงักขณะมองอีกฝ่าย และในที่สุดเขาก็ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างหนักแน่น “ช่างมันเถอะ” ในอีกไม่ช้า เขาก็จะรู้เองว่าโอสถนี้มีผลข้างเคียงอย่างไร ดังนั้นตอนนี้ การที่เขาไม่รู้จึงถือเป็นเรื่องดีที่สุด

ชิงซวงทำเสียงเดาะลิ้น ก่อนจะส่ายศีรษะอย่างผิดหวัง “น่าเสียดายจริงเชียว”

หนานกงหมิงยัดโอสถใส่ปากของผู้ที่ลักลอบเข้ามาอย่างเงียบๆ ก่อนจะสังเกตเห็นว่ากล้ามเนื้อของพวกเขาได้สลายหายไปกับตาอย่างรวดเร็ว จนเหลือเพียงแค่ผิวหนังที่หุ้มกระดูกเท่านั้น

หนานกงหมิงก็รู้สึกเสียใจขึ้นมากะทันหัน เพราะถ้าหากเขารู้ก่อน ก็คงจะยัดโอสถพวกมันภายหลัง จะได้ไม่ต้องทนเห็นสิ่งที่น่าขยะแขยงเช่นนี้

ชิงซวงหัวเราะ “ทำใจให้สบายเถอะ แค่นี้มันยังไม่สาแก่ใจเลยด้วยซ้ำ”

หนานกงหมิงหันไปมองนาง และเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มอย่างน่ากลัว ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่าผู้คนที่อยู่รอบตัวองค์หญิงนั้นไม่ปกติกันสักคน

“ส่งพวกมันกลับไปที่วังหลวง จากนั้นก็คอยเฝ้าดูอยู่ที่นั่นก่อน” หนานกงหมิงไม่ได้มุ่งหน้าไปที่นั่นด้วยตนเอง แต่สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนไปแทน และดูเหมือนว่าพวกเขาจะยินดีรับคำสั่งอย่างกระตือรือร้น ราวกับว่าชื่นชอบเรื่องแบบนี้

หลังจากพวกเขาจากไป หนานกงหมิงก็กลับเข้าห้องเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจของตนเองหลังจากเห็นภาพเมื่อครู่

ชิงซวงยิ้มมุมปาก ขณะมององครักษ์ที่แบกคนสองสามคนออกไป ‘นั่นสิ แค่นี้มันจะสาสมอะไรกันเล่า’

ตอนนั้น หลิงฮ่องเต้พักผ่อนอยู่ในห้องของสนมที่เขารักใคร่ แต่ขณะที่กำลังหลับใหลอยู่นั้นเอง จู่ๆ เขาก็นึกถึงราชโองการที่ตนเองสั่งเอาไว้ขึ้นมา จึงลุกขึ้นและมุ่งหน้าไปยังวังหลวง

เมื่อหลิงฮ่องเต้เดินเข้ามาในวังหลวง ก็ได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว ทำให้เขารู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก

เขาเดินเข้าไปด้านในอย่างไร้สติ จากนั้นก็เห็นว่ามีคนๆ หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่าง

ชายผู้นั้นมีเพียงผิวหนังที่ปกคลุมใบหน้าเท่านั้น แก้มทั้งสองข้างแห้งเหี่ยวและไร้ซึ่งกล้ามเนื้อใดๆ นอกจากนี้ดวงตาทั้งสองข้างยังเป็นสีแดงสด ราวกับว่าลูกตาทั้งคู่ถูกย้อมด้วยสีเลือด ก่อนที่เบ้าตานั้นจะกดลงอย่างวิกลจริต

เมื่อหลิงฮ่องเต้เห็นภาพอันน่าสยดสยองตรงหน้า ก็ถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้น จากนั้นหัวหน้าขันทีที่ติดตามเขามาก็เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว เขาส่งเสียงร้องดังสนั่น จนเหล่าองครักษ์ทั้งหลายต่างก็ได้ยินเสียงร้องนั้น

บทที่ 544 รอให้เปลวไฟลุกโชน

เหล่าองครักษ์จำนวนมากเดินเข้ามาด้านใน และเมื่อพวกเขาเห็นภาพเหตุการณ์ภายในห้องนั้น แม้แต่คนที่กล้าหาญยังรู้สึกตกใจจนล้มลงไปกองกับพื้น ส่วนคนที่อ่อนแอกว่านั้นก็ถึงกับเป็นลมหมดสติไป

ในขณะที่ทุกคนต่างหวาดผวากับฉากตรงหน้า ทันใดนั้น เหล่าศพทั้งหลายที่มีแต่โครงกระดูกก็เคลื่อนไหว มันส่งเสียงครืดคราดแสบแก้วหู

หลิงฮ่องเต้มองซากกระดูกเหล่านั้นด้วยสีหน้าซีดเผือด ราวกับว่าเขากำลังฟังเสียงตอนที่พวกมันกำลังถูกสังหารอย่างทารุณ และต้องเจ็บปวดอย่างทุกข์ทรมานก็ไม่ปาน

“รีบกำจัดพวกมันเสีย เผาพวกมันให้มอดไหม้เดี๋ยวนี้” หลิงฮ่องเต้ตะโกนร้องเสียงดังลั่นโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของตนอีกต่อไป

องครักษ์จำนวนหนึ่งรู้สึกหวาดกลัว จนพูดตะกุกตะกักและไม่กล้าเข้าไปเผชิญหน้ากับบรรดาซากศพเหล่านั้น

“ข้าสั่งให้พวกเจ้าจัดการพวกมันเดี๋ยวนี้” เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่กล้าลงมือ หลิงฮ่องเต้ก็รู้สึกฉุนเฉียวอย่างยิ่ง พวกองครักษ์เหล่านี้เป็นเพียงขยะไร้ค่าที่ไม่สามารถทำหน้าที่ได้เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ขึ้นหรือ

แต่แล้ว หัวหน้าองครักษ์ก็รวบรวมความกล้าของตน ก่อนจะสั่งให้ลูกน้องที่อยู่ใต้บังคับบัญชานำศพเหล่านั้นออกไป ก่อนที่คนอีกกลุ่มจะเข้ามาช่วยเช็ดล้างและจุดธูปหอม หลังจากนั้นไม่นานนัก กลิ่นคาวเลือดทั้งหลายก็จางหายไป

แต่ทว่าหลิงฮ่องเต้ก็ไม่ประสงค์จะอยู่ที่นั่นต่อ เพราะเมื่อใดก็ตามที่เขาเข้ามาในห้องนี้ ก็จะอดนึกถึงภาพโครงกระดูกเหล่านั้นไม่ได้

พวกเขาเสียชีวิตในขณะที่กำลังยืนอยู่ นั่นทำให้หลิงฮ่องเต้รู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง

“ทูลฝ่าบาท ทุกอย่างพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เผาพวกมันให้หมด” เมื่อพวกมันมอดไหม้จนสิ้น ก็จะไม่มีร่องรอยใดหลงเหลืออีก

หลิงฮ่องเต้ยืนอยู่ตรงทางเข้า และเฝ้าดูเหล่าองครักษ์ที่กำลังก่อฟืนและราดน้ำมันตังอิ้ว บนร่างของศพพวกนั้น

หัวหน้าองครักษ์หยิบคบเพลิงขึ้นมา ก่อนจะโยนลงบนกองซากศพดังกล่าว

ขณะที่หลิงฮ่องเต้เพิ่งจะรู้สึกสบายใจขึ้น จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงแหลมสูงดังขึ้นมา จากนั้นเขาก็มองไปทางเปลวเพลิงนั้นอย่างไม่รู้ตัว

หลิงฮ่องเต้เห็นอะไรน่ะหรือ เขาเห็นกู่พิษสีดำขนาดเล็กจำนวนมากที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน กำลังคืบคลานมาทางพวกเขา

ทันทีที่กู่พิษขนาดเล็กสัมผัสกับร่างกายของเหล่าองครักษ์ หลิงฮ่องเต้ก็ได้ยินพวกเขาส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา นอกจากนี้ กู่พิษเหล่านี้ยังชอนไชและกัดกินพวกเขาจนเหลือแต่กระดูกอีกด้วย

หลิงฮ่องเต้เห็นดังนั้น จึงรีบวิ่งเข้าห้องและปิดประตูอย่างแน่นหนา

“ฝ่าบาท เราต้องขอความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์แห่งเหมียวเจียงพ่ะย่ะค่ะ”

“ใช่ รีบเชิญให้เขามาที่นี่เร็วเข้า”

หลังจากนั้นไม่นาน ชายชราคนหนึ่งก็รีบเดินเข้ามา และเมื่อเห็นกู่พิษสีดำพร้อมกับกองกระดูกสีขาวบนพื้น ดวงตาของเขาก็เผยให้เห็นถึงความน่ากลัว

เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่เป็นฝีมือของผู้เชี่ยวชาญจากเหมียวเจียง แต่เหมียวเจียงกับเมืองหลิงนั้นเป็นพันธมิตรต่อกัน พวกเขาจึงไม่น่าจะโจมตีอีกฝ่ายได้

ดังนั้น ข้อสันนิษฐานจึงเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวว่า นี่เป็นฝีมือของคนอื่น

“ท่านอาจารย์รีบช่วยเหลือพวกเราเร็วเข้า” น้ำเสียงของหลิงฮ่องเต้ฟังดูหวาดกลัวอย่างยิ่ง เขามองดูกู่พิษเหล่านั้นด้วยแววตาที่ราวกับว่าพวกมันกำลังจะพรากชีวิตของเขาไป

ชายชราคนนั้นส่ายศีรษะอย่างจนใจ ก่อนจะหยิบขวดขนาดเล็กใบหนึ่งออกมาและสะบัดของเหลวภายในนั้นออกมากลางอากาศ

เมื่อของเหลวนั้นสัมผัสโดนเหล่ากู่พิษ พวกมันก็กลายเป็นเถ้าถ่านในทันที

นอกจากนี้ บรรดากู่พิษที่ได้กลิ่นของเหลวนั้น แต่ยังไม่โดนมัน ก็รีบคลานไปหาชายชราผู้นั้น ราวกับเป็นแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟอย่างไรอย่างนั้น

หลิงฮ่องเต้รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่ากู่พิษทั้งหมดถูกทำลายจนสิ้น จากนั้นชายชราก็ถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น

หลิงฮ่องเต้กลืนน้ำลายและเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟัง เมื่อชายชราได้ยินดังนั้นก็หน้านิ่วคิ้วขมวดในทันที “เรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยพ่ะย่ะค่ะ หากฝ่าบาทไม่เผาร่างศพพวกนั้น” เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายส่งซากศพเหล่านี้มา เพื่อหวังให้พวกเขาเผาพวกมันอย่างแน่นอน

แต่เมื่อคิดดูแล้ว ลูกสาวของผู้สำเร็จราชการสามารถจัดการเรื่องราวได้ขนาดนี้ ก็นับว่าน่าทึ่งมากทีเดียว

โชคดีที่กู่พิษชนิดนี้เป็นระดับล่างสุดในบรรดากู่พิษทั้งหลาย เพราะพวกมันแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ถ้าหากมันอยู่ในระดับที่สูงกว่านี้ เขาก็คงจะเกรงกลัวผู้ที่เพาะพันธ์กู่พิษชนิดนี้อย่างมาก เพราะแม้แต่ตัวเขาเองยังจัดการกับมันได้ยากเลยทีเดียว

หลิงฮ่องเต้มองดูชายชราผู้นี้อย่างตกตะลึง ดูเหมือนว่ามันจะเกิดจากไฟหรือนี่

“ท่านอาจารย์ ตอนนี้ข้าควรทำเช่นไรดี” หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว หลิงฮ่องเต้ก็เกือบจะหัวใจวายตายด้วยความหวาดกลัว แล้วเขาจะกล้าทำเรื่องอื่นๆ ได้อย่างไรกันเล่า

“ตอนนี้ อย่าเพิ่งโจมตีอีกฝ่าย เพราะดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีผู้เชี่ยวชาญอยู่ในกลุ่มด้วย” และเขาคนนั้นก็เก่งกาจยิ่งกว่าชายชรานัก เขายังคงไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจัดการกับกู่พิษเหล่านี้ได้อย่างไร

เหล่าองครักษ์ลับจากจวนผู้สำเร็จราชการมองดูเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ในความมืด พวกเขามองหน้ากันก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ลึกๆ เพราะยังรู้สึกว่าไม่สาแก่ใจเท่าไหร่นัก