บทที่ 545 องค์หญิงผู้ไม่ธรรมดา + บทที่ 546 ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 545 องค์หญิงผู้ไม่ธรรมดา

หลิงฮ่องเต้มองดูชายชราด้วยแววตาโกรธเคืองอย่างมาก เขาขบฟันกรอด ก่อนจะตะคอก “เจ้าบอกให้ข้าปล่อยมันไปเช่นนั้นหรือ ต้องยอมให้พวกมันหยามหน้าข้าเช่นนี้หรือ”

ชายชรามองหลิงฮ่องเต้ “ไม่ว่าฝ่าบาทจะส่งคนไปสักกี่คน พวกเขาก็จะไม่มีทางรอดกลับมาพ่ะย่ะค่ะ หากฝ่าบาทต้องการให้เกิดเรื่องเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฝ่าบาทก็ลองส่งคนไปเพิ่มอีกก็ได้พ่ะย่ะค่ะ แล้วรอดูว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นไปตามที่ฝ่าบาทต้องการหรือไม่”

หลิงฮ่องเต้ถึงกับสะอึก วันนี้เขาเห็นภาพติดตามามากเกินพอแล้ว หากเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นอีกซ้ำๆ แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่อย่างปกติได้อย่างไรกัน

“นี่มัน…”

“ระหว่างที่เรากำลังหาทางออกสำหรับเรื่องนี้ ฝ่าบาททรงอย่าได้ผลีผลามเป็นดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ” ชายชรามองอีกฝ่ายและเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า

หลิงฮ่องเต้มองเขาเดินจากไปอย่างโกรธจัดจนหน้าซีดเผือด ชายคนนั้นเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญจากเหมียวเจียง แต่เขากลับยอมจำนนเพราะเรื่องนี้หรือ

“บัดซบ” หลิงฮ่องเต้สบถ “ส่งคนไปจับตาดูจวนผู้สำเร็จราชการ หากมีใครออกมาเพ่นพ่านด้านนอก ก็ฆ่าทิ้งได้โดยไม่ต้องปรานี” เขาไม่เชื่อว่าหนิงเมิ่งเหยาและคนอื่นๆ จะอยู่แต่ในจวนเท่านั้น

หัวหน้าขันทีต้องการจะบอกกับหลิงฮ่องเต้ว่าตอนนี้ ไม่ควรจะไปยั่วโทสะคนพวกนั้น แต่เมื่อเห็นสีหน้าอันโกรธเกรี้ยวและซีดเผือดของเขาแล้ว จึงต้องกล้ำกลืนคำพูดที่ตนอยากจะเอ่ยเอาไว้ เพราะไม่กล้าจะพูดมันออกมา มิเช่นนั้นหลิงฮ่องเต้คงจะลากตัวเขาไปประหารอย่างแน่นอน

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

หลิงฮ่องเต้หันตัวมองดูวังหลวงของตนด้วยแววตาตื่นตระหนก ก่อนใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ “ไปซะ”

หลังจากที่องครักษ์ลับกลับมาถึงจวนของผู้สำเร็จราชการ พวกเขาก็รายงานสิ่งที่พบเจอต่อหนานกงหมิง ทำให้ร่างกายของเขาเสียสมดุลจนเกือบล้มไปกองกับพื้น

หนานกงหมิงมองหน้าทั้งหมด พร้อมกับอยากจะไถ่ถามว่าพวกเขาไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่ แต่เมื่อเห็นว่าทุกคนดูตื่นเต้น ก็รู้ได้ทันทีว่ามันคือเรื่องจริง มิเช่นนั้นพวกเขาคงจะไม่ตื่นเต้นถึงเพียงนี้แน่

หนานกงหมิงบีบนวดหน้าผากของตน ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าองค์หญิงของพวกเราจะไม่ธรรมดาจริงๆ “

หนิงเมิ่งเหยารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในวังหลวง แต่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งนี้นางสนใจในตัวของชายชราผู้นั้นเสียมากกว่า

“ชายคนนั้นน่าจะมาจากเหมียวเจียงหรือ” หนิงเมิ่งเหยาก้มหน้ามองลูกชายในอ้อมแขน พร้อมกับเผยรอยยิ้มตรงมุมปากเล็กน้อย

“เจ้าค่ะ”

ชายชราผู้นั้นต้องเป็นคนเหมียวเจียงโดยกำเนิดอย่างแน่นอน เพราะเขาสามารถทำลายเหล่ากู่พิษขนาดเล็กเหล่านั้นได้ในเวลาอันสั้น ถ้าหากเขาไม่ใช่คนเหมียวเจียง ก็คงจะเป็นเรื่องแปลกยิ่งนัก

“อย่างนั้นหรือ หากเรายังโจมตีคนพวกนั้นต่อไป เขาจะปรากฏตัวอีกหรือไม่” หนิงเมิ่งเหยาใคร่รู้

มือของชิงซวงหยุดชะงักขณะมองใบหน้าของคุณหนูอย่างสงสัย ก่อนจะผงกศีรษะด้วยความสุขุม “เป็นไปได้สูงเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นหรือ”

“นอกจากร้านอาหารแห่งนั้นแล้ว ต้องกดดันพ่อค้าหลวงของหลิงฮ่องเต้ให้ถึงที่สุด” หนิงเมิ่งเหยายิ้มมุมปากอย่างโหดเหี้ยม

หญิงสาวต้องการจะรู้ว่าหลังจากที่นางลงมือแล้ว ชายชราคนนั้นหรือผู้คนที่อยู่เบื้องหลังจะออกมาแสดงตัวหรือไม่

ชิงซวงขมวดคิ้วมองคุณหนูของตน ก่อนจะคิดได้เพียงอย่างเดียวว่าใครบางคนกำลังจะโชคร้าย

ชิงจู๋ชอบเรื่องแบบนี้อย่างมาก หลังจากได้รับคำสั่งมา นางก็แอบออกไปข้างนอก ก่อนจะกลับมาอีกครั้งด้วยท่าทีอันสุขุม

ส่วนท่าทีของเหล่าพ่อค้าหลวงจากเมืองหลิงนั้นแตกต่างจากนางโดยสิ้นเชิง พวกเขาไม่รู้สึกสงบสุขอีกต่อไป

เมื่ออวี้เฟิงและเหมยรั่วหลินที่อยู่ในสำนักอวี้หลินรับรู้ถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ดวงตาของพวกเขาก็บ่งบอกว่าตนเองไม่อาจจะทำอะไรได้ หากหญิงสาวคนนี้คิดจะลงมือทำอะไรแล้ว ก็ดูเหมือนว่านางจะไม่มีวันยอมแพ้เด็ดขาด

ณ วังหลวง หลิงฮ่องเต้ขว้างถ้วยชาของตนลงพื้น “เจ้าพูดว่าอะไร”

“ทางด้านของพ่อค้าหลวงถูกทงเป่าไจกดดันพ่ะย่ะค่ะ นอกจากร้านอาหารแห่งนั้นแล้ว ธุรกิจอื่นๆ จะอยู่รอดได้อีกเพียงห้าวันเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีการคลังเอ่ยพลางเกร็งลำคอของตน

พวกเขาไม่คิดว่าทงเป่าไจจะลงมือรวดเร็วเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ทงเป่าไจยังไม่เว้นช่องว่างให้พวกเขาได้มีโอกาสถอยหลังไปตั้งหลักอีกด้วย

ดวงตาของหลิงฮ่องเต้เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดและฉุนเฉียว “ดี ดีมาก” เขาพูดประชดพลางขบฟันกรอด

“ฝ่าบาท ตอนนี้พวกเราควรทำเช่นไรกันดีพ่ะย่ะค่ะ”

“นำเรื่องนี้ไปแจ้งท่านอาจารย์” ชายที่เป็นชาวเหมียวเจียงเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้ และหลิงฮ่องเต้นั้นไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้นัก

“พ่ะย่ะค่ะ”

หลังจากที่ชายชรารู้เรื่อง เขาก็ขมวดคิ้วราวกับไม่เคยคาดคิดว่าเรื่องราวมันจะกลายเป็นเช่นนี้ได้

“ข้ารู้เรื่องนี้แล้ว และจะจัดการเอง” ชายชราใคร่ครวญถึงเหตุผลว่าทำไมอีกฝ่ายจึงไม่โจมตีร้านอาหารแห่งนั้นเพียงที่เดียว เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาล่วงรู้ความลับของที่แห่งนั้นแล้ว

บทที่ 546 ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

ชายชราผู้นั้นครุ่นคิดเป็นเวลานาน แต่ยังคงส่ายศีรษะไปมา เพราะรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้นอกจากคนๆ นั้น

“นายท่าน…”

“ออกไป”

เสนาบดีการคลังไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหมุนตัวเดินออกมาพร้อมหัวใจที่เต้นระส่ำระส่าย เกิดเรื่องใหญ่อะไรหรือ ทำไมเขาจึงทำตัวเช่นนี้

หลังจากที่เสนาบดีการคลังจากไป ชายชราก็ออกจากวังหลวงและมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารในเมืองหลวงแห่งนั้น

“ข้าต้องการพบนายท่านของเจ้า” ชายชราหยิบป้ายออกมาขณะมองหน้าเสี่ยวเอ้อร์ที่ดูแลร้าน

ผู้ดูแลร้านมองดูป้ายนั้น ก่อนจะส่ายศีรษะ “นายท่านหายตัวไปประมาณสองสามวันก่อนขอรับ”

“หืม เกิดอะไรขึ้นหรือ” ท่าทีของชายชราเปลี่ยนไป

เจ้าของร้านอาหารแห่งนี้เกี่ยวข้องกับคนๆ นั้น เขาอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานและไม่เคยจากไปไหน แต่ตอนนี้เขากลับหายตัวไปได้อย่างไรกัน

ชายหนุ่มมองหน้าชายชราขณะเอ่ยตอบ “ข้าก็ไม่แน่ใจขอรับ”

“แล้วเจ้าพอจะรู้เรื่องอื่นอีกหรือไม่” ชายชรารู้สึกฉุนเฉียว เสี่ยวเอ้อร์ผู้นี้ไม่คิดจะแจ้งให้เขารู้ว่าคนๆ นั้นหายไปเลยหรือ แล้วเขาขึ้นมาเป็นผู้ดูแลร้านได้อย่างไรกัน

ผู้ดูแลร้านขมวดคิ้วขณะมองชายชรา “ข้าไม่รู้อะไรเลยขอรับ” เมื่อพูดจบ เขาก็หมุนตัวไปทำงานต่อ

หลังจากได้รับการปฏิบัติอย่างเย็นชา ชายชราผู้นั้นก็มีสีหน้าถมึงทึง ก่อนจะมองอีกฝ่ายและพูดขึ้นอย่างขุ่นเคือง “หยุดอยู่ตรงนั้นก่อน”

ผู้ดูแลร้านอาหารชะงักฝีเท้า ก่อนจะหันหน้ามองเขา “ท่านมีเรื่องอะไรอีกหรือขอรับ หากไม่มี ข้าขอตัวไปทำงานก่อน” เขามีเรื่องมากมายให้จัดการ จึงไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับคนอื่น

“ก่อนที่นายท่านของเจ้าจะหายตัวไปนั้น เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้างหรือไม่” ทันใดนั้น ชายชราก็นึกถึงหนิงเมิ่งเหยาขึ้นมา เขาหรี่ตาลง คนๆ นั้นหายตัวไปอย่างน่าผิดสังเกต

ผู้ดูแลร้านอาหารครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นขอรับ แต่มีอยู่คืนหนึ่ง จู่ๆ นายท่านก็บอกให้ข้าออกไปข้างนอกสักพักหนึ่ง”

ชายชราจ้องมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อในคำพูดของอีกฝ่าย

ร้านอาหารแห่งนี้มีเสี่ยวเอ้อร์อยู่มากมาย และคนๆ นั้นก็เป็นผู้คัดเลือกพวกเขาด้วยตัวเอง ส่วนใหญ่แล้ว บรรดาเสี่ยวเอ้อร์จะรับฟังคำสั่งจากเจ้าของร้านอาหารแห่งนี้เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ส่วนกับคนอื่นๆ พวกเขามักจะมีท่าทีเย็นชาและเฉยเมย เหมือนกับตอนนี้นั่นเอง

ผู้ดูแลร้านมองชายชราอย่างเรียบเฉย “หากท่านไม่มีธุระอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อนนะขอรับ”

ชายชราอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นท่าทีอันเฉยชาของอีกฝ่าย เขาก็ทำได้เพียงโบกมือและปล่อยเขาไป แต่ก่อนที่จะจากไป ชายชราก็สั่งอีกฝ่ายเอาไว้ว่า “หากนายท่านของเจ้าติดต่อมา รายงานให้ข้ารู้ด้วย”

ผู้จัดการเงียบลงครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับด้วยการพยักหน้า

ชายชราเดินทางกลับไปยังวังหลวงโดยไม่ได้ข้อมูลอะไร แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ หลังจากที่กลับมา ผู้ดูแลร้านอาหารคนนั้นได้ส่งนกพิราบสื่อสารที่มีกระบอกไม้ไผ่ขนาดเล็กติดอยู่ใต้ปีกของมัน

อู๋โยวที่อยู่ในจวนของผู้สำเร็จราชการยื่นมือไปรับข้อความจากนกพิราบตัวนั้น ก่อนจะอ่านสาส์นภายในนั้นด้วยรอยยิ้มมุมปาก แต่ทว่าแววตาของเขากลับเยือกเย็น

ชายชราออกตามหาเขาทันทีที่ได้รู้ข่าว ช่างเป็นคนที่ไม่มีความอดทนเสียจริง

“เกิดอะไรขึ้นหรือ” เมื่อเห็นว่าอู๋โยวมีท่าทีแปลกไป หนิงเมิ่งเหยาจึงเอ่ยถามอย่างใคร่รู้

ชายหนุ่มถอนหายใจ ก่อนยื่นกระดาษในมือให้หญิงสาว “ชายชราในวังหลวงไปตามหาข้าที่ร้านอาหารแห่งนั้น”

หนิงเมิ่งเหยารับกระดาษแผ่นนั้นมาอ่าน ก่อนจะผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ “ข้าต้องการให้เขาออกตามหาเจ้าอยู่แล้ว” เมื่อชายชราหาอู๋โยวไม่พบ เขาก็ต้องติดต่อคนที่อยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้ว นางจะได้พบกับคนๆ นั้นหรือไม่

“ใช่ ข้าเดาว่านางจะมาที่นี่ในไม่ช้า” อู๋โยวพึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา สายตาของเขาดูดุดันอย่างยิ่ง

จริงๆ แล้ว หนิงเมิ่งเหยาค่อนข้างสงสัยในตัวของหญิงสาวที่ชายหนุ่มเคยกล่าวถึง แต่เมื่อเห็นท่าทีของเขาเช่นนี้ นางก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อ

“หากนางมา เจ้าก็สามารถถามนางถึงเหตุผลที่ทำกับเจ้าเช่นนั้นได้” ตราบใดที่อู๋โยวยังมีปมอยู่ในหัวใจเช่นนี้ เขาก็เหมือนกับถูกสาปให้ต้องอยู่อย่างเดียวดายไปตลอดชีวิต

มือของชายหนุ่มที่กำลังถือถ้วยชาอยู่นั้นหยุดชะงักลงครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะ “ตกลง แต่เจ้าก็ต้องระมัดระวังตัวด้วย เพราะนางเป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง”

“ระหว่างนางกับหนานอวี่ ใครแข็งแกร่งกว่ากันหรือ” หนิงเมิ่งเหยาหันหน้ามองอู๋โยว ก่อนจะกะพริบตาและเอ่ยถามด้วยท่าทีจริงจัง

อู๋โยวมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างไม่มีทางเลือก เมื่อไหร่หญิงสาวตรงหน้าจะเลิกจับผิดคำพูดของเขาเสียที

“เดิมทีนางเป็นหญิงสาวผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ ข้าไม่รู้เลยว่านางกลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” พวกเขารู้จักกันตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นทั้งคู่ต่างมาจากตระกูลของชนชั้นสูง เขาจึงมั่นใจว่าจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป แต่ไม่รู้ว่าตัวตนของหญิงสาวคนนั้นเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ชายหนุ่มต้องตกอยู่ในความมืดมน หรือบางทีนางอาจไม่เคยจริงใจกับเขาเลย