ตอนที่ 194 ทําลายผู้นำตระกูล

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

มู่เฉียนซีถามว่า “ท่านอาเป็นอะไรไป ?”

“เรื่องปิ่นปักผม เจ้าอย่าไปสนใจเลย อย่าไปจวนเยี่ยอ๋องอีกเลย”

เขารู้สึกว่าการที่หลานสาวของตนเองไปที่จวนเยี่ยอ๋อง นั่นเป็นการที่หมาป่าเข้าไปในปากของพยัคฆ์  ในเมื่อชายผู้นั้นสามารถหลอกเอาปิ่นปักผมของซีเอ๋อร์ไปได้โดยไร้ร่องรอยใด ๆ เขาคงไม่ส่งปิ่นปักผมคืนมาให้ง่าย ๆ

ทว่ามู่อวู่ซวง เขาไม่รู้เลยว่าแม้มู่เฉียนซีจะไม่ไปตําหนักเยี่ยอ๋อง แต่องค์ชายเยี่ยก็แวะเวียนมาเยี่ยมนางทุกคืน

มู่เฉียนซีถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลางกล่าว “เช่นนั้นก็ตามที่ท่านอาว่า”

ความจริงแล้วถ้าหากนางไปขอปิ่นปักผมที่ตำหนักเยี่ยอ๋องจริง ๆ นางก็ไม่แน่ใจว่าจะนำมันกลับมาได้ เพราะเมื่อคืนจิ่วเยี่ยบอกว่ามันมีประโยชน์ต่อเขาอย่างมาก

หลังจากมู่เฉียนซีเข้าสู่วัยที่เรียกได้ว่าเป็นผู้ใหญ่ นางก็มีอํานาจเต็มที่ที่จะควบคุมตระกูลมู่ ผู้เฒ่าใหญ่ที่ถูกคุมขังมาเกือบครึ่งเดือนนั้นก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวเสียงต่ำ “อย่าให้มู่เฉียนซีหยิ่งยโสเช่นนี้ต่อไปอีกเลย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเราจะซวยเอาได้”

“ใช่! นางมีสิทธิ์อะไร พวกเราสู้เพื่อตระกูลมู่มาครึ่งชีวิต สุดท้ายนางมาขับไล่ให้พวกเราจากไปอย่างไร้ประโยชน์”

“ใช่!…”

“ดูท่าจะถึงเวลาลงมือแล้ว”

จวนสกุลมู่สงบลงได้ไม่นาน  ลูกหลานตระกูลมู่ทั้งหมดกลับมายังจวนสกุลมู่ เหล่าผู้เฒ่าผู้อาวุโสต่างแดนและมัคนายกทั้งหลาย ไม่มีตกหล่นแม้แต่คนเดียว

ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว “ท่านผู้นําตระกูลหยิ่งยโสและทำลายคนในวงศ์ตระกูล  ข้าขอประกาศในวันนี้ว่าข้าจะทําลายตําแหน่งผู้นําตระกูลมู่!”

“ไปเชิญท่านผู้นำตระกูลมาเถอะ”

มู่เฉียนซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นางจึงกล่าวขึ้น “ผู้เฒ่าพวกนั้นต้องการทําลายตําแหน่งผู้นําตระกูลของข้า ในที่สุดพวกเขาก็จะลงมือแล้ว”

“ไป! ในเมื่ออีกฝ่ายคิดจะเปิดสงครามแล้ว ก็ไม่อาจนั่งรอความตายได้”

ขณะที่ห้องประชุมกําลังหารือกันเรื่องการทําลายตําแหน่งผู้นำตระกูลมู่เฉียนซี เสียงที่เย็นชาดังขึ้น “ตาเฒ่าหงำเหงือกอย่างพวกเจ้าคิดว่าตําแหน่งผู้นำตระกูลไม่ใช่ของข้า พวกเจ้าบอกว่าจะทำลายก็ทำลายได้รึ ? น่าขันนัก!”

ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว “ผู้นำตระกูล ข้าคิดทั้งหมดนี้ก็เพื่อตระกูลมู่ เจ้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต่อไปก็ต้องแต่งงานออกเหย้าเรือน พวกข้าไม่สามารถเฝ้ามองตระกูลมู่ของเราตกไปอยู่ในมือของคนอื่นได้”

ผู้อาวุโสสองกล่าว “ข้าก็เห็นด้วยว่าท่านผู้นําตระกูลโตเต็มวัยแล้ว อย่างไรเสียก็ต้องแต่งงานออกไป ไม่เหมาะสมที่จะเป็นท่านผู้นําตระกูล โปรดถอนตําแหน่งไปเสียเถอะ”

ในตอนนั้นเอง หญิงสาวชุดขาวประหนึ่งลอยออกมา นางกล่าวว่า “ซีเอ๋อร์ ท่านปู่พูดถูก ในอนาคตซีเอ๋อร์ก็ต้องดูแลลูก ๆ และสามี ถ้าหากทั้งตระกูลมู่ต่างต้องการซีเอ๋อร์ เกรงว่าถึงเวลานั้นเจ้าคงเหนื่อยมาก”

มู่เฉียนซีเหลือบมองมู่หรูเหยียนก่อนจะกล่าวเสียงเย็น “เรื่องของข้า พวกเจ้ายังไม่ต้องกังวล ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนไสหัวออกไปจากตระกูลมู่ซะ”

ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวอย่างหนักแน่น “มู่เฉียนซี คนที่ควรไสหัวออกไปจากตระกูลมู่คือเจ้า สาวน้อยที่โผล่ออกมาเมื่อสามปีก่อน เป็นบุตรสาวของผู้นำตระกูลหรือไม่ก็ยังไม่อาจบอกได้”

“ใช่แล้ว!  มู่เฉียนซีเจ้าเป็นสาวป่าที่ไม่รู้ต้นกําเนิด มีสิทธิ์อะไรถึงได้มาครอบครองตําแหน่งผู้นําตระกูลมู่ ?”

ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวสั่ง “เข้ามา จับสาวน้อยผู้นี้ไว้ ข้าจะต้องสอบปากคําให้ดี”

— ฟึ่บ!  ฟึ่บ!  ฟึ่บ! —

ฉับพลันทันใดมียอดฝีมือระดับราชาแห่งภูติจำนวนมากก้าวออกมาจากที่มืด คนเหล่านี้ล้วนถูกผู้อาวุโสสูงสุดเลี้ยงดูมาอย่างลับ ๆ

มู่เฉียนซีแค่นเสียง “ผู้อาวุโสสูงสุด ท่านคิดว่าขยะพวกนี้จะทำอะไรข้าได้หรือ ?”

วินาทีนั้น องครักษ์เงาตระกูลมู่เคลื่อนไหว เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งระดับจักรพรรดิขององครักษ์เงาทั้งหมดนั้น ก็แทบจะเป็นลมสลบไป

เป็นไปได้อย่างไร ? ความแข็งแกร่งขององครักษ์เงาเหล่านี้ เหตุใดจึงได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึงเพียงนั้น

องครักษ์เงาของตระกูลมู่กลายเป็นระดับจักรพรรดิ ผู้อาวุโสสูงสุดและพวกฝึกมาเพียงระดับราชาเท่านั้น แน่นอนว่าองครักษ์เงาสังหารพวกเขาได้อย่างง่ายดายราวกับฆ่าไก่

ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวอย่างเกรี้ยวโกรธ ใบหน้าเกลียดชังไม่ปกปิด “มู่เฉียนซี ข้าจะฆ่าเจ้า!”

เวลานี้ผู้อาวุโสสูงสุดระเบิดพลังระดับจักรพรรดิออกมาแล้ว

ดวงตามู่เฉียนซีส่องประกายกล้า ดูเหมือนว่าตาเฒ่าผู้นี้น่าจะทะลวงผ่านระดับจักรพรรดิมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เขากลับอดทนรอจนกระทั่งมันระเบิดออกมา มู่อีและพวกอุทานออกมาด้วยความตกใจ “ผู้นำตระกูลระวังตัวด้วย!”

ขณะที่ตระกูลมู่ตกอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย มู่เฉียนซีเหลือบมองผู้อาวุโสสูงสุด มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชา “ผู้อาวุโสสูงสุด ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตาย เช่นนั้นข้าก็จะสงเคราะห์เจ้าเอง อ้อ ข้าจะบอกเจ้าด้วยว่าการสังหารพวกเจ้านั้นง่ายเสียยิ่งกว่าการบีบมดให้ตายเสียอีก”

มู่เฉียนซีหยิบยาวิเศษออกมาและกลืนกินมันลงไป ทันใดนั้นความแข็งแกร่งของนางเพิ่มขึ้นเป็นจักรพรรดิวิญญาณระดับหนึ่ง  นางไม่สามารถใช้ยาฟ้าดินซวนหวงได้ แต่นางกลับเตรียมยาชนิดใหม่ขึ้นมา ยาที่มีพื้นฐานจากยาฟ้าดินซวนหวง ทําให้นางมีความแข็งแกร่งระดับจักรพรรดิได้ในระยะเวลาอันสั้น  แต่น่าเสียดาย แน่นอนว่ายาที่ต่อต้านสวรรค์เช่นนี้ย่อมมีผลข้างเคียง นั่นก็คือพลังที่ถดถอยไปหนึ่งขั้น

หากพลังถอยกลับคืนก็ยังสามารถฝึกฝนได้ แต่วันนี้นางต้องล้างทําความสะอาดตระกูลมู่ให้สะอาดเกลี้ยง! — ตูม! —

เกิดเสียงดังสนั่น ผู้อาวุโสสูงสุดกัดฟันกล่าว “มู่เฉียนซี เจ้าใช้ยาวิเศษเพื่อช่วยให้ตนเองเลื่อนระดับเป็นจักรพรรดิวิญญาณ แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าคิดว่าเจ้าจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้หรือ ?”

มู่เฉียนซีกล่าวตอบโต้ “จะใช่หรือไม่ใช่ ก็ไม่อาจเป็นไปตามที่เจ้าพูด”

เวลานี้กระบี่มังกรเพลิงส่งเสียงหวีดออกมา “มังกรเพลิงสังหาร!”

“ผนึกมังกรวารี!”

ขณะที่มู่เฉียนซีเพิ่มความแข็งแกร่งมากขึ้น ผู้อาวุโสสูงสุดไม่ทันได้เตรียมตัว

“อ๊าาาา!”

ทุกคนตะลึงตาค้าง ผู้นำตระกูลช่างชั่วร้ายโดยแท้ แม้แต่กับผู้อาวุโสสูงสุดนางก็ไม่เว้น

ผู้อาวุโสสูงสุดกัดฟันกล่าว “ข้าไม่เชื่อว่าประสิทธิภาพยาของเจ้าจะไม่จํากัดเวลา  รอยาหมดฤทธิ์ เจ้าจะต้องตายแน่นางเด็กโอหังมู่เฉียนซี!”

มู่เฉียนซี “เชิญปากเก่งไปเถอะ ข้าจะฆ่าเจ้าได้ก่อนที่ฤทธิ์ของยาจะหมดลงเสียอีก ตายซะเถอะ!”

ทั้งสองเริ่มต่อสู้กันอย่างดุเดือด ในที่สุดกระบี่มังกรเพลิงก็พุ่งผ่านความกระหายเลือด ตรงดิ่งเข้าหาผู้อาวุโสสูงสุด

— ฉึก!  ฉึก! —

กระบี่เล่มหนึ่งทะลุผ่านหัวใจของผู้อาวุโสสูงสุด กระบี่มังกรเพลิงกลืนกินวิญญาณของเขาอย่างมีความสุข

ขณะนั้นมีคนอุทานออกมาด้วยเสียงอันดัง “ผู้อาวุโสสูงสุดสิ้นลมหายใจแล้ว!”

“ท่านผู้นำตระกูลสังหารผู้อาวุโสสูงสุด!”

“พี่ใหญ่…”

เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดตาย พวกเขาก็ไม่มีที่พึ่งทางใดเหลือแล้ว พวกเขาไม่สามารถประคับประคองกันได้อีกต่อไป

เงาร่างสีม่วงพุ่งออกไป กระบี่ยาวในมือราวกับถูกไฟแห่งนรกแผดเผา สังหารชีวิตของคนทรยศเหล่านี้  ทุกกระบี่นั้นเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาด ทําให้คนทรยศต้องสูญเสียวิญญาณไปในจุดนั้น!

— ปัง!  ปัง!  ปัง! —

มุมปากองครักษ์เงากระตุก ผู้นำตระกูลลงมือเร็วเกินไป นางไม่ได้ให้โอกาสพวกเขาแสดงฝีมือ

ไม่นาน กากเดนของผู้อาวุโสสูงสุดก็ถูกทําลายล้างสิ้นไป

งานเฉลิมฉลองการเป็นผู้ใหญ่ไม่เหมาะที่จะเห็นเลือดในตระกูลมู่เลย ทว่าตอนนี้จวนตระกูลมู่ถูกย้อมสีเลือดจากการฆ่าสังหารจํานวนมาก โดยผู้ที่เป็นผู้นำในกระบี่สังหารคือมู่เฉียนซี

ทุกคนต่างจ้องมองไปยังหญิงสาวที่ถือกระบี่ขึ้นสนิมสีแดงเข้มอย่างตกตะลึง

นางเย็นชา นางเด็ดขาด นางไม่กลัวเกรงผู้ใด และการสังหารของนาง… ทําให้หัวใจของทุกคนสั่นระรัว

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชา “ในเมื่อกล้าทรยศตระกูลมู่ของข้าก็จะต้องเป็นเช่นนี้ พวกเจ้ามีใครอีกที่ปฏิเสธที่จะยอมรับข้า ยืนขึ้นมา!”

ฝั่งตรงข้ามทั้งหมดถูกสังหารจนเกลี้ยง เหล่าคนที่เหลือกําลังมองมู่เฉียนซีอยู่

นี่เป็นการสยบปัญหาด้วยเลือด ทําให้คนเหล่านี้ที่ยังเหลืออยู่ของตระกูลมู่ไม่กล้าคิดไม่ซื่อ

มู่เฉียนซีกล่าวถามขึ้น “แล้วมู่หรูเหยียนล่ะ ? นางไปมุดอยู่รูใด ?”

.