บทที่ 549 กระดูกของเขาแข็งแกร่งเพียงใด
หนานอวี่เดินสำรวจรอบจวนของผู้สำเร็จราชการ และสังเกตเห็นว่าบางคนนั้นถูกกู่พิษระดับล่างควบคุมอยู่
เขาแอบใช้กำลังฟาดคนเหล่านั้นให้สลบ ก่อนจะบังคับให้กู่พิษทั้งหลายออกมา หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาจึงไปหาหนิงเมิ่งเหยาด้วยความสบายใจ
“พี่สะใภ้ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายต้องการจะโจมตีจวนของผู้สำเร็จราชการ นอกจากนี้ พวกเขายังมุ่งมั่นที่จะเป็นฝ่ายชนะอีกด้วย ข้าเกรงว่าเป้าหมายของพวกเขาคือท่านและลูกน้อยคนนี้ขอรับ” หากเฉียวโม่ซางถูกลักพาตัวไป ก็คงจะวุ่นวายมากทีเดียว เพราะเขาเพิ่งจะอายุเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น
หนิงเมิ่งเหยาผงกศีรษะ “ข้ารู้ ช่วงนี้ จึงต้องขอรบกวนเจ้าหน่อย และในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว ข้าก็อยากจะเอาคืนคนพวกนั้นสักหน่อย”
หญิงสาวไม่ใช่คนประเภทที่จะอ่อนน้อมกับคนที่ชั่วช้า นางรู้เพียงว่าหากมีใครมารังแกตนถึงที่ นางก็จะเอาคืนให้สาสม
หนานอวี่พยักหน้ารับ “พี่สะใภ้อย่าได้กังวลเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิดขอรับ”
“ข้าไว้ใจให้เจ้าจัดการ”
หนิงเมิ่งเหยาลุกขึ้นไปหาอู๋โยว “นางอยู่ที่นี่แล้ว เจ้าไม่คิดจะไปพบนางหน่อยหรือ” ดูเหมือนว่าหญิงสาวคนนั้นก็อยากจะเห็นว่าชายหนุ่มยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
อู๋โยวยิ้มเยาะ ก่อนส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง “มันยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม”
“ตอนนี้ นางโจมตีเสี่ยวเอ้อร์ในร้านอาหารแล้ว และอาจจะจับตัวผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้ามาทรมานก็เป็นได้” หนิงเมิ่งเหยามองอีกฝ่ายขณะที่พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
อู๋โยวหันหน้ามองนางในทันที “ข่าวของเจ้าเชื่อถือได้หรือไม่”
“แน่นอน”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะไปหาเขา” ชายคนนั้นเป็นผู้ติดตามเขามาตั้งแต่อดีต และยังเป็นองครักษ์ประจำตัวที่คอยช่วยเหลือเขาทุกเรื่อง อู๋โยวจะไม่ยอมให้เขาต้องเสียชีวิตเช่นนี้
หนิงเมิ่งเหยาเอื้อมมือไปรั้งตัวชายหนุ่มเอาไว้ “เจ้าอยากตายหรือ จึงคิดจะออกไปตอนนี้” หญิงสาวมองอีกฝ่ายอย่างเคร่งขรึม ทำไมเขาถึงเป็นคนใจร้อนขนาดนี้
“ข้าไม่ยอมให้เขาต้องตายเพราะข้าหรอก” แววตาของอู๋โยวดูกังวลใจอย่างมาก
“เขาเป็นคนสำคัญของเจ้าหรือ” หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์บางอย่างต่อกัน
“เขาติดตามข้าตั้งแต่ยังเด็ก และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะคอยจัดการทุกอย่าง ความสัมพันธ์ของพวกเรานั้นแตกต่างจากนายท่านและข้ารับใช้ทั่วไป พวกเราเป็นเหมือนพี่น้องกันมากกว่า” หลังจากที่อู๋โยวออกมาจากร้านอาหารแห่งนั้น คนๆ นั้นก็ยังอยู่ เพื่อช่วยจัดการกับปัญหาที่อาจจะตามมาภายหลัง แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าสุดท้ายแล้ว เขาจะมีชีวิตรอดหรือไม่ เขาก็ยังคงเลือกที่จะอยู่ที่นั่น
หลังจากหนิงเมิ่งเหยาได้ยินเช่นนั้นจึงรู้สึกโล่งใจที่พวกเขามิได้มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกัน
“อย่ากังวลไปเลย นางจะไม่ทำอะไรน้องชายของเจ้า จนกว่าจะเจอตัวเจ้า และระหว่างนี้ เจ้าก็ขอให้หนานอวี่ช่วยตามหาเขาก็แล้วกัน”
“ตกลง” ในตอนแรก อู๋โยวคิดจะคัดค้าน แต่เมื่อเห็นแววตาของหญิงสาว เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้
ณ วังหลวงของเมืองหลิง หญิงสาวหน้าตางดงามคนหนึ่งกำลังมองชายชราจากเหมียวเจียว พร้อมกับตะคอกอย่างเยือกเย็น “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเรื่องมันถึงเป็นเช่นนี้ได้”
“พระสนม กระหม่อมเพิ่งทราบเรื่องนี้หลังจากที่ร้านค้าถูกโจมตีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ใบหน้าของชายชราคนนั้นเต็มไปด้วยเหงื่อ เขาดูหวาดกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
“ไม่ได้เรื่อง” หญิงสาวผู้นี้คือพระสนมของเหมียวเจียง มีนามว่าซ่งลี่
นางเป็นชาวจงหยวนโดยกำเนิด แต่มีความสนใจเรื่องกู่พิษ ทำให้ชายชราจากเหมียวเจียงเกิดความสนใจและรับเป็นลูกศิษย์ ซ่งลี่เรียนรู้ศาสตร์ของกู่พิษมาตั้งแต่เด็ก นอกจากนี้ยังเพาะเลี้ยงกู่พิษจำนวนนับไม่ถ้วนอีกด้วย กู่พิษสองตัวที่นางใส่ในร่างกายของอู๋โยวนั้น ถือเป็นกู่พิษที่ดีที่สุดของนาง
แต่ตอนนี้ พวกมันถูกทำลายจนหมดสิ้น และยังทำให้นางได้รับบาดเจ็บอีกด้วย ซ่งลี่จึงรู้สึกแค้นเคืองอย่างยิ่ง
ผู้ใต้บังคับบัญชาของอู๋โยวนั้นเป็นคนที่กล้าแกร่งอดทน จนถึงตอนนี้ เขายังไม่ยอมปริปากบอกข้อมูลใดๆ และไม่ว่าพวกเขาจะลงไม้ลงมืออย่างไร เขาก็ตอบกลับเพียงแค่ตนเองไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ซ่งลี่ไม่เชื่อว่าเขาจะไม่รู้จริงๆ ว่าอู๋โยวอยู่ที่ไหน สัญชาตญาณของนางบอกว่าองครักษ์คนนี้รู้เรื่องทุกอย่าง รวมถึงสาเหตุที่คนๆ นั้นหนีออกไป
เมื่อคิดเช่นนั้น หญิงสาวจึงหรี่ตาลงอย่างเยือกเย็น
“พระสนม เราควรทำอย่างไรกันต่อพ่ะย่ะค่ะ”
“โจมตีทงเป่าไจ”
ชายชรามองดูหญิงสาว พลางยิ้มอย่างขมขื่น “พระสนมพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่แน่ใจว่ากองกำลังใดในเมืองหลิงเป็นของทงเป่าไจบ้าง นอกจากนี้ ในบรรดาธุรกิจทั้งหมดของพวกเรา มีเพียงร้านอาหารนั่นแห่งเดียวเท่านั้นที่ยังเปิดกิจการอยู่” หากเป็นไปได้ ชายชราก็ต้องการจะโจมตีทงเป่าไจเช่นกัน แต่ตอนนี้เขาไม่มีอำนาจพอที่จะทำเช่นนั้นได้
ซ่งลี่มองอีกฝ่ายอย่างเคร่งขรึม “เจ้าจัดการเขาเสีย ข้าอยากจะเห็นนักว่ากระดูกของเขาจะแข็งเพียงใด”
บทที่ 550 เขาหายไปแล้ว
ชายชราเข้าใจความหมายในคำพูดซ่งลี่ดี โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยถามว่าหมายถึงใคร “พ่ะย่ะค่ะ”
นางดูโหดเหี้ยม จนทำให้ความงดงามบนใบหน้านั้นหายไปในทันที
ชายชรามองชายหนุ่มที่กำลังอ้าปากค้างอยู่นั้น ก่อนจะส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ “เพียงแค่เจ้ายอมบอกพวกเรามาว่าคนๆ นั้นอยู่ที่ไหน ก็ไม่จำเป็นต้องเจ็บปวดถึงเพียงนี้แล้ว บอกข้าหน่อยสิ ว่าเจ้าจำเป็นต้องทนทรมานเช่นนี้หรือ”
ทันใดนั้น ชายที่ถูกมัดตัวไว้ก็เงยหน้าขึ้นมามองเขา ก่อนจะหัวเราะ “ข้ามีเพียงคำพูดเดียวที่จะบอก นั่นคือข้าไม่รู้ พวกเจ้าคิดจะทำอะไร ก็ทำไปเถอะ” ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นกับเขา ก็คือความตายเท่านั้นเอง
ชายชราขมวดคิ้วขณะมองชายหนุ่มผู้ดื้อด้านตรงหน้า ก่อนจะส่ายศีรษะอย่างไม่มีทางเลือก “เมื่อเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของพระสนมแล้ว ความตายคือการหลุดพ้น นางจะทำให้เจ้ารู้สึกว่าตายไปนั้นยังดีเสียกว่าต้องทนทุกข์ทรมาน”
หนานอวี่ตามร่องรอยกู่พิษมายังที่แห่งนี้ และได้แอบฟังบทสนทนาของพวกเขา โดยคิดไม่ถึงว่าจะได้พบเจอกับคนที่พี่สะใภ้เคยกล่าวถึง
ชายหนุ่มหัวเราะ “ถ้าเช่นนั้นก็ลองดู” เขาทนความเจ็บปวดได้ทุกรูปแบบ แล้วจะต้องหวาดกลัวอะไรเล่า
ชายชรามีสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าต้องการเช่นนั้นจริงๆ หรือ”
“หยุดพูดพล่ามไร้สาระ แล้วลงมือทำอย่างเจ้าต้องการเถอะ เลิกพูดจากวกไปวนมาเสียที”
ชายชราโกรธจนหน้าเขียว “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็อยากจะเห็นนัก ว่าเจ้าจะทนได้นานเพียงใดกัน”
หนานอวี่ได้ยินเสียงอู้อี้ ก่อนจะผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ ชายผู้นี้ช่างเป็นคนกล้าหาญยิ่งนัก
วันนั้นทั้งวัน ชายที่อยู่ด้านในไม่ส่งเสียงร้องใดๆ เลย แม้ว่าตอนที่กำลังถูกทรมานอย่างเจ็บปวด เขาก็ยังอดกลั้นได้
ชายชรามองท่าทีของเขา และขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ดูเหมือนว่าเขาจะต้องไปปรึกษากับพระสนม เพราะชายคนนี้ช่างกล้าแกร่งเหลือเกิน กระดูกของเขาคงจะทนทานยิ่งกว่าภูผาเสียอีก
รอจนชายชราเดินออกไป หนานอวี่ก็แอบลักลอบเข้าไปในห้องใต้ดินอย่างเงียบๆ และมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายต้องโดนทรมานขนาดนี้แต่ก็ยังทนได้ เขาไม่รู้ว่าควรจะเรียกชายคนนี้ว่าเป็นคนซื่อสัตย์ หรือเป็นคนตายด้านกันแน่
หนานอวี่เอื้อมมือไปปลดโซ่ตรวนที่ปักตรึงอยู่ตรงหัวไหล่ของเขา ก่อนจะแอบพาเขาออกจากวังหลวง
และเมื่อชายชราพาซ่งลี่มาที่ห้องใต้ดิน ร่างของเขาก็ไม่อยู่ที่นั่นแล้ว
“คนล่ะ” ซ่งลี่มองอีกฝ่ายอย่างเคร่งขรึม
ดวงตาของชายชราดูประหลาดใจอย่างยิ่ง เพราะตอนที่เขาออกมา อีกฝ่ายนั้นหมดสติไปแล้ว และเขายังตัดเส้นเลือดในฝ่ามือฝ่าเท้าออก ทำให้ทักษะการต่อสู้ของเขาถูกลดทอนลง นอกจากนี้ ยังมีโซ่ตรวนตรึงอยู่ตรงหัวไหล่ของเขาอีกด้วย จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะหลบหนีไปเอง
“มัน…เป็นไปได้อย่างไรกัน”
“ออกตามหาเขาเดี๋ยวนี้ เขาได้รับบาดเจ็บหนัก จะต้องไปหาหมออย่างแน่นอน ลองตรวจสอบหมอทุกคนในเมืองหลวงแห่งนี้ดู” ซ่งลี่ออกคำสั่งอย่างเคร่งเครียด
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อชายชราเดินออกมา เขาก็ปาดเหงื่อตรงหน้าผากของตน โชคดีที่ซ่งลี่มิได้โกรธเคืองจนลงโทษเขา
อู๋โยวมองชายคนที่หนานอวี่พากลับมา ความแค้นในใจของเขาก็ปะทุขึ้นทันที เพราะไม่คาดคิดว่าพวกนั้นจะทรมานเขาถึงเพียงนี้
“เมิ่งเหยา…” อู๋โยวหันหน้ามองหนิงเมิ่งเหยาอย่างไม่รู้ตัว หากน้องชายคนนี้ไม่ได้พบหมอ เขาก็ไม่อาจมีชีวิตรอดได้อย่างแน่นอน
หนิงเมิ่งเหยามองชายหนุ่ม “เจ้าน่าจะเข้าใจนิสัยของหญิงสาวคนนั้นดี เจ้าคิดว่านางจะปล่อยให้พวกเราหาหมอมารักษาเขาได้เช่นนั้นหรือ”
“แต่…” แล้วเขาจะปล่อยให้อีกฝ่ายต้องเสียชีวิตลงเช่นนั้นหรือ
“ไม่เป็นไรหรอก เรายังมีชิงซวงอยู่ที่นี่ เจ้าคิดว่าอย่างไรบ้าง” หญิงสาวพูดขัด ก่อนจะโบกมือ และมองชิงซวงที่อยู่ข้างๆ หลังจากได้พักผ่อนมาอย่างเต็มที่แล้ว
ชิงซวงตรวจดูอาการ ก่อนจะตอบ “เขาบาดเจ็บสาหัสเจ้าค่ะ ต้องใช้เวลารักษานานพอสมควร”
“ไม่เป็นไร ให้เขาหายดีก็พอ” หนิงเมิ่งเหยาโบกมืออย่างไม่สนใจนัก
โชคดีที่ในจวนของผู้สำเร็จราชการมีสมุนไพรหลากหลายชนิด พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องออกไปหาวัตถุดิบจากข้างนอก ทำให้ซ่งลี่ยังคงตามหาพวกเขาและอู๋โยวไม่เจอ
หลังจากที่ได้รับการช่วยเหลือ ก็ดูเหมือนว่าคนจะหายไปกับอากาศธาตุ
“เจ้าบอกว่าเขาหายตัวไป โดยที่ไม่ได้จ้างหมอคนใดเลยเช่นนั้นหรือ” ซ่งลี่มองชายชรา พร้อมกับตะคอกอย่างโมโห
ชายชราผงกศีรษะ “เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้น เขาจะอยู่ที่ใดเล่า” ซ่งลี่พึมพำเสียงเบา
“เขาอาจจะอยู่ในจวนของผู้สำเร็จราชการพ่ะย่ะค่ะ” จู่ๆ ชายชราก็นึกถึงสถานที่แห่งนั้นขึ้นมา จึงพูดขึ้นอย่างไม่มั่นใจนัก
ซ่งลี่หรี่ตามองอีกฝ่าย “มีวิธีให้ลอบเข้าไปในจวนแห่งนั้นได้หรือไม่”
“กระหม่อมเกรงว่าไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”